บทแปด
หนทางสู่อิสระ การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนคืออะไร เจินจิ่วหรงเป็นพวกลงมือจัดการต้นเหตุก่อนเสมอ ในเมื่อการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุนับว่าไร้ประโยชน์ นางก็มิควรจะเสียเวลามากเกินความจำเป็น แรกเริ่มทุกอย่างเป็นเพราะเสด็จแม่ต้องการใช้นางเป็นฐานอำนาจหนุนน้องสิบสาม เพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาท นั่นหมายความว่าต่อให้หย่ากับไท่หย่งเสียนไป มารดาก็ยังคงให้นางแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี สุดท้ายย่อมกลับสู่วังวนเดิม ๆ มิมีจุดสิ้นสุด สิ่งที่ควรทำมากยิ่งกว่าอะไร คือการนำตนออกห่างจากพวกเขา จะน้องสิบสามหรือมารดา หากพวกเขาต้องการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท นางจะมิขอเข้าไปยุ่งอีก พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะมิใช้ประโยชน์จากนาง ส่วนเรื่องของไท่หย่งเสียน มันมิใช่เรื่องยากนัก ด้วยนิสัยของเขาแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควร รั่วซินเป็นอีกหนึ่งคนซึ่งมิเข้าใจวิธีการของเจินจิ่วหรง อีกฝ่ายทำตัวราวกับจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดวงหน้าขาวผ่องเต็มไปด้วยร้อนรน แม้นจะผ่านไปถึงสามวันนับแต่ตอบจดหมายเสด็จแม่ นั่นช่างแตกต่างกับท่าทีสงบนิ่งที่นางแสดงออก “ไยต้องร้อนรนเพียงนั้น”นางกล่าวเสียงเรียบ ทำลายความเงียบสงบ พลางเดินไปเปิดผ้าม่านผืนบางภายในห้องออก หมายให้แสงแดดสาดส่องเข้ามา “เสด็จแม่มิอาจออกจากวังหลวงมาปรับทัศนคติของเปิ่นกงได้หรอกนะ แม้นว่าตอนนี้จะทรงกระเสือกกระสนมากเพียงใดก็ตาม” ขนาดนางที่มิใช่พระสนมเสียนเฟยยังตกตะลึงกับความหัวกบฏขององค์หญิงเก้าเพียงนี้ มิต้องคิดเลยว่าพระสนมเฟยจะมีอาการเช่นไร ข้ารับใช้สาวสูดหายใจเข้าช้า ๆ “พระสนมเสียนเฟยใช่ว่าจะเหมือนคนอื่น แสดงออกชัดเจนเกินไปเช่นนี้ หม่อมฉันเกรงว่าจะได้รับผลตรงกันข้ามนะเพคะ” พระสนมเสียนเฟยมีหรือจะไยดี ยิ่งต่อต้าน ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมเลวร้ายลงอย่างแน่นอน การเอาแต่ใจ เปิดเผยความเป็นตนเองเป็นสิ่งที่ดี ทว่าควรอยู่ในขอบเขตที่เพียงพอ “เจ้าคิดว่ามารดาที่มีบุตรีอยู่ในเส้นกรอบมาโดยตลอด หากวันหนึ่งบุตรีผู้นั้นเกิดเดินเข้าไปบอกว่าจะมิยอมอยู่ในเส้นกรอบอีกแล้ว หรือทำอะไรเลยทันที ปฏิกิริยาตอบโต้ของมารดาจะเป็นเช่นไร?” รั่วซินขมวดคิ้ว “อย่างแรกย่อมตื่นตระหนก” องค์หญิงเก้าขยับยิ้ม “ต่อมาต้องเกิดความยุ่งยากในการสนทนา ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากจะมิได้อะไรกลับมา เสด็จแม่คงยิ่งเกรี้ยวกราด” เพราะมารดาของนาง นิสัยเป็นเช่นไรนางย่อมเป็นผู้รู้ดีกว่าใคร ดูจากการที่ยินยอมให้นางหย่า แต่ต้องรอเวลา นั่นหมายความว่าเสด็จแม่มิได้ถึงขั้นมิใส่ใจอะไร เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย “เปิ่นกงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เสด็จแม่ตระเตรียมใจเอาไว้ส่วนหนึ่ง การสนทนาของเราจะได้เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้”นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หลุบมองพื้นหินอ่อน “หลายสิ่งมิใช่เรื่องง่าย มันจำเป็นต้องใช้เวลา ค่อยเป็นค่อยไปและใจเย็น” หนึ่งสิ่งที่ต้องตระหนักถึงเสมอคือความจริงที่ว่าพวกเขาต่างมิได้ย้อนเวลา มิได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคต ความเป็นไปรวมถึงจุดจบของเจินจิ่วหรง ถ้าดึงดันทำให้อะไรทันที ความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลวนั้นมีมาก “ยกตัวอย่าง หากเปิ่นกงออกตัวว่าจะหย่ากับเขา หลังจากแต่งงานได้เพียงสองเดือน เจ้าคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น” รั่วซินมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงพอเข้าใจนางได้มิยากนัก “ความวุ่นวายมากมาย นั่นจะยิ่งทำให้ผู้อื่นสนใจ เป็นการผูกมัดมากกว่าเดิม ทางที่ดีควรทำทุกอย่างตามปรกติ จัดการไปทีละเรื่อง” “หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” แท้จริงแล้วองค์หญิงเก้าคิดคำนวณทุกสิ่งเอาไว้ทั้งหมดแล้ว รั่วซินกลืนน้ำลายลงในลำคอที่แห้งเหือด ก่อนยื่นมืออกไปเปลี่ยนถ้วยน้ำชาที่เย็นชืด หากมีหนึ่งเรื่องที่นางสงสัยและต้องการคำตอบจากอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ องค์หญิงเก้ามิได้พูดถึงเรื่องของไท่หย่งเสียนออกมาแม้นเพียงครึ่งคำ “แล้วเรื่องรองแม่ทัพไท่ล่ะเพคะ” ชั่วขณะรั่วซินตระหนักได้ถึงบางอย่าง นึกอยากจะตบปากตนเองเสียหลายที นางลืมไปได้อย่างไรว่าไท่หย่งเสียนและองค์หญิงเก้าอยู่ด้วยกันมากว่าครึ่งชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันมิใช่แค่สามีภรรยา “เขาจะมีชีวิตของเขา เปิ่นกงก็จะมีชีวิตของเปิ่นกง”นางหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับรั่วซิน “ทุกอย่างมันมาไกลเกินกว่าจะกลับไปตั้งคำถามหรือระลึกถึงวันแรกแย้ม นั่นคือสิ่งเปิ่นกงรู้” รั่วซินพยักหน้า ทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี “น่าชังที่บางครั้งความรักก็มิได้มาพร้อมกับความสุข ตราบใดที่เปิ่นกงยังต้องการความสุขมากกว่าความรัก ไท่หย่งเสียนย่อมมิอยู่ในตัวเลือก”เจินจิ่วหรงยกมือขึ้นกอดอก นัยน์ตาฉายแววเย็นชายิ่งกว่าคราใด “หรือถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน ความรักก็ต้องกลายเป็นความสุข ถึงเวลานั้น มือของเปิ่นกงย่อมเปื้อนเลือดของตงเหลียนฮวาและอีกหลายคน” “...” “ทว่ารั่วซิน ความรักมันมิใช่สิ่งเดียวในชีวิต ต่อให้ไม่มีมัน เจินจิ่วหรงก็ยังมีชีวิตอยู่ได้มิใช่หรือ” ‘ท้องฟ้าและผืนหญ้าเป็นของเจ้า’ “บางคราการท่องไปทั่วใต้หล้า เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เหลืออยู่มันก็มิได้แย่เท่าไหร่นัก” สามวันหลังจากนั้นองค์หญิงเก้าตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเข้าวังหลวง... อาภรณ์สีม่วงปักลายดอกเบญจมาศถูกสวมลงบนร่างกาย เรือนผมดำขลับเกล้าเป็นมวยสูงปักด้วยปิ่นหยกแสนเรียบง่าย หากกลับดูสูงค่า ริมฝีปากอวบอิ่มแต้มสีชาด แตกต่างจากเจินจิ่วหรงในวันปรกติสิ้นเชิง อย่างน้อยก็นับแต่ย้อนเวลากลับมา รั่วซินไล่สายตาสำรวจความเรียบร้อย ก่อนยื่นมือออกไปพยุงอีกฝ่ายขึ้น “หม่อมฉันให้คนเตรียมรถม้าไว้แล้วเพคะ” เจินจิ่วหรงพยักหน้า ยามก้าวออกมานอกตัวเรือน กลับพบว่าสภาพอากาศหนาวเย็นกว่าเมื่อหลายวันก่อนมากพอควร รั่วซินขมวดคิ้ว รีบนำเสื้อคลุมขนสัตว์มาสวมให้นางอีกตัว ดวงหน้างดงามแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้ม และมันช่างหม่นหมอง ทั้งที่ควรเป็นแรกเช้าอันสดใส “มีอะไรหรือเพคะ” ฝ่ามือยกขึ้นระดับสายตา “ใกล้จะเดือนสองแล้ว ไยหิมะแรกถึงยังมิตกลงมา” รั่วซินคิดว่านั่นเป็นคำถามที่องค์หญิงเก้ามิได้ต้องการคำตอบ สังเกตได้จากมุมปากซึ่งยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเรียวขางามจะขยับออกไป โดยที่นางยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใด รถม้าประจำจวนแม่ทัพประจิมถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อม ระยะห่างจากจวนถึงวังหลวงนั้นมิได้ห่างไกล ใช้เวลามิถึงสองเค่อ ก็ถึงที่หมาย เส้นทางในวังหลวงสลับซับซ้อน ทว่ามันมิใช่ปัญหาสำหรับคนที่เติบโตภายในวัง รั่วซินมองชายอาภรณ์ลากยาวประพื้นขององค์หญิงเก้า สลับกับแผ่นหลังซึ่งเหยียดตรง แลดูหยิ่งทะนงและสง่างาม ภาพจากทางด้านหลังอันคุ้นชิน องค์หญิงเก้าที่สง่างาม ไร้ข้อผิดพลาด… สิ่งแรกซึ่งได้กลิ่น เมื่อก้าวเข้าไปในตำหนักหลังใหญ่ คือกลิ่นของกำยานหอมที่ลอยอบอวลอยู่ทั่ว นางกำนัลข้างกายของเสด็จแม่ดูตื่นตระหนกเล็กน้อยยามเห็นนาง อาจเป็นเพราะว่าครานี้เจินจิ่วหรงมิได้เขียนจดหมายบอกหรืออะไร นั่นช่างแตกต่างจากเดิม กระนั้นแล้วมันกลับมิได้มีผลอันใดกับพระสนมเสียนเฟย แต่ไหนแต่ไรมา เสด็จแม่เป็นสตรีที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญารวมถึงความทะเยอทะยานยิ่งกว่าใคร ดวงตาเรียวดั่งหงส์คล้ายคลึงกับนาง เพียงปรายมองมาอย่างไร้อารมณ์ ปลอกเล็บสีทองสะท้อนกับแสงสว่างจากภายนอก เจินจิ่วหรงย่อตัวลงทำความเคารพมารดาเฉกเช่นในอดีต บรรยากาศที่สัมผัสถึงกับสายตาที่ใช้มองมิได้ต่างจากเมื่อก่อน ส่วนที่สังเกตได้ชัดนั้นคือความเยาว์วัย เส้นผมดกดำ ริมฝีปากรูปกระจับ ทุกสิ่งล้วนเป็นพระสนมเสียนเฟยผู้ได้รับความโปรดปราน “ถวายพระพรเสด็จแม่เพคะ” เจินจิ่วหรงเคยหวาดกลัวอยู่เสมอ หลายครั้งที่การเผชิญหน้ากับมารดาเป็นเรื่องน่าหวั่นใจ เพราะสำหรับนางแล้ว ใต้หล้านี้มิมีใครที่รับมือได้ยากเท่าเสด็จแม่ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไร้เสียงตอบกลับ เรียวขานั้นเหยียดออกแสดงถึงความเกียจคร้าน พระสนมเสียนเฟยยกมือเท้าคาง “นึกว่าเจ้าจะลืมแม่ไปแล้ว มิยอมเข้าวังเสียหลายวัน”เสด็จแม่เอ่ย นัยน์ตาจดจ้องนาง“ทั้งจดหมายที่เขียนตอบยังไร้สาระและกลับกลอกยิ่งนัก” “ลูกมิได้กลับกลอก”นางตอบเสียงเรียบ ส่งผลให้รอยยิ้มของเสด็จแม่แข็งค้าง อย่างไรเสียในชีวิตนี้ เจินจิ่วหรงก็มิเคยเถียงพระสนมเสียนเฟยเลยสักครั้งเดียว “แต่ถ้าเสด็จแม่ทรงคิดเช่นนั้นก็มิเป็นไร” เสด็จแม่มักเรียนรู้ว่าควรควบคุมผู้อื่นอย่างไร ดังนั้นการกรีดร้องหรือตวาดลั่นย่อมมิมีทางเกิดขึ้น สตรีที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ย่อมเก็บมันเอาไว้ภายใน กลบเกลื่อนให้สถานการณ์ดำเนินไปตามปรกติ และการเปลี่ยนเรื่องย่อมเป็นทางเลือกที่ดีมากที่สุด จนกว่าจะหาวิธีตั้งรับได้ “เจ้ามิได้คัดลายมือให้แม่ดูนานแล้ว”พระสนมเสียนเฟยโบกมือไปมาเป็นเชิงให้ลุกขึ้นได้ แล้วหันไปออกคำสั่งกับนางกำนัลข้างกาย “ไปนำแท่งหมึก พู่กันแล้วก็กระดาษมา” แต่ว่า…มันช่างน่าเสียดายที่นางมิได้มาเพื่อเป็นเด็กดีของใคร นางเพียงใช้สายตาอันนิ่งสงบกวาดมองทุกสิ่งรอบตัว “เสด็จแม่ ท่านอยากเห็นอะไรบนผืนกระดาษ อักษรที่ลูกร่างลงไป หรือว่าเด็กดีที่ชื่อเจินจิ่วหรง” ฝ่ายตรงข้ามย่อมมิเข้าใจในสิ่งที่นางเป็น ในหัวตอนนี้คงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย มิอาจแลเห็นหนทางที่จะใช้เพื่อรับมือกับนาง “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” “เราต่างต้องถอยกันคนละก้าว” พระสนมเสียนเฟยขมวดคิ้ว ตวัดเรียวขาลงสัมผัสกับผืนพรม “เป็นอะไรของเจ้า” เพียงสิ่งเดียวที่นางต้องการในเวลานี้คือความกล้าหาญ “หรงเอ๋อร์ เจ้าพึ่งแต่งงานกับบุรุษที่หมายปอง ชีวิตแสนจะรุ่งโรจน์ ไยจึงเป็นเช่นนี้”น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ซึ่งความห่วงหา เสด็จแม่ก้าวประชิดตัว ฝ่ามือทาบลงบนข้างแก้มของนาง “ตระกูลไท่ซื่อสัตย์ต่อเสด็จพ่อของเจ้าเยี่ยงสุนัข พวกเขามิน่าจะรังแกเจ้า ใครทำอะไรเจ้า” บางทีมันอาจเป็นเพราะความทะเยอทะยาน การชิงดีชิงเด่นภายในวังหลัง ทำให้ความรักในใจของเสด็จแม่เลือนหายไปทีละนิด จนในที่สุดก็กลายเป็นดั่งเช่นในช่วงเวลานั้น พระสนมเสียนเฟยผู้เต็มไปด้วยทะเยอทะยาน ร้ายกาจ ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ “หรือเป็นพวกบ่าวไพร่” ชั่วขณะนั้นนางมิสามารถหยุดยั้งความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงไปได้ ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบ แล้วก็สั่นระริก ทั้งที่ปฏิกิริยาพวกนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย ‘น้องชายของเจ้าเป็นองค์ชาย เขาเปรียบเสมือนที่พึ่งของแม่และเจ้าในอนาคต’ ‘ส่วนเจ้าเป็นองค์หญิง ขอแค่แต่งงานกับบุรุษสักคนที่ช่วยสนับสนุนน้องชายเจ้าได้นับว่าเพียงพอแล้ว หลังจากนั้นก็คอยอยู่เป็นเพื่อนข้างกายแม่’ หากถามว่าทำไมมันถึงได้ทรมานและยากนัก คงเป็นเพราะว่านางมักมองเห็นความดีของพวกเขา ท่ามกลางความเลวร้าย สองสิ่งซึ่งแตกต่างทว่ากลับปะปนอยู่ด้วยกัน…น่าชิงชังยิ่ง เจินจิ่วหรงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปสวมกอดมารดา รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากร่างหนากว่า รวมถึงกลิ่นกายน่าโหยหา เสด็จแม่ยืนนิ่งคล้ายทำอะไรมิถูก นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ลูกได้ยินว่าบุตรีคนรองของแม่ทัพบูรพาถึงวัยปักปิ่นแล้ว ทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะล้วนคู่ควรกับน้องสิบสาม” ‘พวกเจ้าต้องยอมรับให้ได้ว่าแม่เป็นเพียงสนมคนหนึ่ง จำต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อความอยู่รอด มิอาจเป็นได้ดั่งเช่นคนทั่วไป’ “ท่านน่าจะร้องขอนางมาเป็นคู่หมั้นคู่หมายน้องสิบสามกับเสด็จพ่อ”บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต