บทเก้า
ช่างกลับกลอกเสียจริง เจินจิ่วหรงได้ทำในสิ่งที่สามารถทำได้ และอาจเรียกว่าสมควร ทว่านั่นทำให้นางมิรู้สึกติดค้างอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นคนเช่นไร หลายครั้งที่การมีหัวใจ เพื่อรักคนอื่นมากเกินไปทำให้นางเจ็บปวด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เสด็จแม่มิได้มีอะไรน่ากลัว มารดาของนางเป็นเพียงเสียนเฟยผู้ถูกขังอยู่ในกำแพงวังหลวง กรงทองราคาแสนแพง มิอาจออกมาข้างนอกได้ตามใจชอบ ยามแต่งออกมาเป็นภรรยาของผู้อื่น ยังมีอะไรให้นางต้องหวั่นเกรงอีกกัน นับแต่แรกทุกอย่างเป็นเพียงความรู้สึกรวมถึงความผูกพันระหว่างพวกเขา หากมองว่านี่คือชาติภพใหม่ที่คล้ายคลึงกัน แทนการย้อนอดีต บางทีมันอาจทำให้ทุกอย่างง่ายดายขึ้น เสด็จแม่ดูจะมิสนใจสิ่งที่นางกำลังพูดนัก ความสนใจทั้งหมดทั้งมวลถูกยกให้แก่ความสงสัยมากมายซึ่งก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ แต่นั่นออกจะมิสำคัญ ระยะเวลาหลายปีผ่านมาทำให้นางได้เรียนรู้ว่าตนเองมิสามารถใช้ทั้งชีวิตเพื่อใครหรืออะไรได้ นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไท่หย่งเสียนก็ยังต้องจัดการให้เรียบร้อย เชื่อได้เลยว่าจุดจบของบทสนทนาคงมิสวยนัก และยังยุ่งยากมากอีกด้วย “ไหนบอกแม่ ใครรังแกเจ้า”เสด็จแม่ผละตัวออกมาจากอ้อมแขน จดจ้องนางราวต้องการคำตอบให้ได้ในพริบตานั้น นางขยับยิ้มอ่อนหวาน เสมือนว่านี่เป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในเวลานั้น แน่นอนว่าเสด็จแม่มิได้สนใจมันเช่นกัน “อย่าคาดหวังกับลูกมาก”นางกล่าวเสียงเรียบ ทาบฝ่ามือลงบนดวงหน้างดงามของเสด็จแม่ “น้องสิบสามเองก็ควรมีฐานอำนาจเป็นของตนเอง อนาคตเป็นสิ่งมิแน่นอน ทั้งลูกเองก็มิสามารถใช้ทั้งชีวิตเพื่อใครได้อีกแล้ว” เรียวคิ้วของเสด็จแม่ขมวดเป็นปม “ไยกล่าววาจาเช่นนั้น ต้องเป็นไท่หย่งเสียนที่ดูแลเจ้าได้มิดี” เจินจิ่วหรงตระหนักว่าต่อให้พูดต่อไป เสด็จแม่ก็ยังคงทำเสมือนมิเข้าใจสิ่งที่นางพูด ด้วยสติปัญญาของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมมองออกมิยาก ทว่าการหลอกตนเองว่านางยังเหมือนเดิม ก็นับเป็นตัวเลือกที่ทำให้ใจเป็นสุข เพราะตลอดมานางก็เป็นเช่นที่เสด็จแม่ต้องการ นางกำนัลข้างกายพระสนมเสียนเฟยเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พลันสัมผัสถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปภายในตำหนัก โชคดีที่องค์หญิงเก้าหันมาพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้ความกดดันมากมายแลเบาบางลง “ลูกต้องกลับแล้ว” ทั้งที่เป็นประโยคธรรมดา ทว่ากลับแลดูเหมือนบุตรีของนางกำลังห่างไกล ราวบางสิ่งกำลังล่องลอยจากไป พระสนมเสียนเฟยกะพริบตา “ช่วงนี้แม่นอนมิค่อยหลับ อยากได้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน พรุ่งนี้เข้าวังมาอีกได้หรือไม่” “ลูกมิได้ไปไหน คืนนี้ลูกจะแต่งกลอนเขียนส่งมาให้เสด็จแม่ ก่อนนอนท่านก็ให้นางกำนัลอ่านให้ฟัง จะได้นึกถึงลูกกับน้องสิบสาม” หมายว่าเจินจิ่วหรงจะมิมา “เจ้าแต่งงานแล้ว คงมิสามารถมอบเวลาให้แม่เหมือนเดิมได้”พระสนมเสียนเฟยฉีกยิ้มกลบเกลื่อนความกังวลของตน “แต่ถ้าว่าง เจ้าต้องมาหาแม่ อย่าได้ทอดทิ้งแม่เข้าใจหรือไม่” “ลูกมิเคยทอดทิ้งท่าน” นางก็แค่มิได้มองพวกเขาเป็นเหมือนโลกทั้งใบอีกต่อไป มิได้มองว่าน้องสิบสามจะเป็นเช่นไร หรือว่าเสด็จแม่จะทำอย่างไรต่อไป “ขอเสด็จแม่อย่าทรงเป็นกังวล” มันก็แค่ความเห็นแก่ตัวในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ยามกลับถึงจวนตระกูลไท่ ไท่ฮูหยินพร้อมบ่าวไพร่ส่วนหนึ่งยืนอยู่หน้าจวน ในมือของพวกเขาถือข้าวของมากมาย ทั้งยังสวมใส่อาภรณ์สีมงคล เจินจิ่วหรงนึกสงสัย ก่อนจะคลายลงเมื่อรั่วซินบอกว่าพวกเขากำลังไปงานแต่งของญาติผู้น้องคนหนึ่ง จำได้ว่ารั่วซินเคยเปรยเรื่องนี้กับนางอยู่ แน่นอนว่าตามมารยาทแล้วนางควรไปด้วย เดินคู่กับแม่สามี ทว่ามันก็แค่ตามมารยาท มิได้เชิงธรรมเนียมเสียทีเดียว ดังนั้นหากจะมองผ่านไปย่อมมิใช่เรื่องผิด เจินจิ่วหรงเพียงยกยิ้มบางเบา เมื่อเผชิญหน้ากับแม่สามี ไท่ฮูหยินมิได้มีท่าทีบีบบังคับนางแต่อย่างใด เหมือนกับทุกครั้งที่คนตระกูลไท่ ทำเป็นมิเห็นการกระทำอันเอาแต่ใจ หรือมิสมควรของนาง และนั่นต้องขอบคุณตำแหน่งองค์หญิง “ข้าให้คนจัดเตรียมอาหารสำหรับองค์หญิงไว้แล้ว”ไท่ฮูหยินกล่าว ขณะนางกำลังเคลื่อนตัวผ่าน “เมื่อครู่พึ่งมีจดหมายจากหย่งเสียนส่งมา อีกมิถึงสิบวันเขาน่าจะถึงเมืองหลวง” “ขอบคุณ ท่านแม่”นางเอ่ยคล้ายมิได้ใส่ใจมันมากนัก แต่ก็มิถึงกับไม่ไยดีมันเสียทีเดียว เมื่อเข้ามาในเรือน รั่วซินถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ของนางออก รีบตระเตรียมน้ำแกงอุ่นร้อน พร้อมสำรับอาหารให้นาง ช่างแลดูวุ่นวายยิ่ง เจินจิ่วหรงหรี่ตาลงมองซองจดหมายสีขาวที่เขียนด้วยลายมือของไท่หย่งเสียน มันค่อนข้างมิเป็นระเบียบสวยงามดีนัก แตกต่างจากนางโดยสิ้นเชิง หย่งเสียนกำลังจะกลับแล้ว “รั่วซิน”เรียวนิ้วมือสัมผัสลงบนผืนกระดาษพลางชำเลืองมองหีบไม้ที่ใช้เก็บของมีค่ามากมาย “จ้างคนให้กระจายข่าวว่าตงเหลียนฮวายังมีชีวิตอยู่” “องค์หญิงจะทำอะไรเพคะ” นางมิได้ตอบคำถามนั้น “แต่จะใช้องครักษ์เงาก็ได้ พวกเขามิค่อยพูดมากอยู่แล้ว” ครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยประทานให้นาง ตอนตอบคำถามถูกเมื่อวัยเยาว์ แต่น่าเสียดายที่พอนางแต่งเข้าจวนตระกูลไท่ก็มิได้สนใจพวกเขาอีก อาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีองครักษ์เงา นั่นเพราะความสนใจทั้งหมดถูกมอบให้กับการดูแลครอบครัว ‘ตงเหลียนฮวา’ นามของสตรีผู้นั้นทำให้รั่วซินกระจ่างได้มิยาก องค์หญิงเก้าทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ ในมือถือจดหมายจากไท่หย่งเสียน นัยน์ตาเรียบเฉยจนมิอาจคาดเดาอะไรได้ “เปิ่นกงทนอยู่กับเขามิได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ หากยังหย่ามิได้ก็ต้องแยกกันอยู่ จนกว่าจะหย่าได้” ‘เปิ่นกงทนอยู่กับเขามิได้’ ประโยคอันแสนธรรมดา ทว่านางกลับตระหนักรู้ดีกว่าใคร เพราะแท้จริงแล้วในยามค่ำคืน องค์หญิงเก้าต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับฝันร้าย และคราบน้ำตา จากนั้นก็จะเริ่มตะเกียกตะกายอยู่บนเตียง เหมือนคนที่กำลังหายดี หากกลับเต็มไปด้วยบาดแผล “ทางใต้อากาศอบอุ่น ดอกไม้ผลิบานสะพรั่ง มีทุ่งหญ้าเขียวขจี แล้วก็ม้า เปิ่นกงอยากไปอยู่ที่นั่น” ‘ท้องฟ้าและผืนหญ้า’ สามวันต่อมา หิมะแรกโปรยปรายปกคลุมไปทั่วจวน องค์หญิงเก้าสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และถุงมือนั่งเท้าคางอยู่นอกตัวเรือน รั่วซินฉีกยิ้มขณะใช้มือโกยกองหิมะขึ้น เกล็ดของมันล่องลอยอยู่กลางอากาศ ตัดกับสีแดงของดอกเหมย อาการขององค์หญิงเก้าเหมือนจะดีขึ้น อย่างน้อยเมื่อสองวันก่อนก็พอจะข่มตาหลับได้บ้าง มิถึงขั้นนอนมิได้ตลอดทั้งคืน แต่มันก็แค่เหมือน เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็แค่ภายนอกซึ่งดูต่างออกไป จดหมายที่ส่งโดยม้าเร็วจากท่านรองแม่ทัพไท่มาถึง และถูกนำมาให้องค์หญิงเก้าอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าของรั่วซินพลันหยุดชะงัก ครั้นเห็นสายตาเรียบนิ่งขององค์หญิงก็หลบออกไปทันที น่าแปลกใจที่เจินจิ่วหรงมิได้สนใจมันมากนัก เพียงใช้สายตากวาดมองมันรอบหนึ่ง ก่อนฉีกทิ้งแล้วโปรยมันไปกับหิมะขาวโพลน ‘สภาพอากาศมิค่อยดี ข้าอาจกลับล่าช้ากว่ากำหนด’ ไท่หย่งเสียน ท่านช่างกลับกลอกเสียจริง อันที่จริงแล้วมีหนึ่งสิ่งที่เจินจิ่วหรงค่อนข้างกังวล และพยายามทำเป็นมินึกถึงมัน ทว่าหากในอนาคตนางต้องแยกกันอยู่กับไท่หย่งเสียน นางก็ควรรับรู้เอาไว้เพื่อจะได้ตระเตรียมตัว อย่างไรก็ตามมันจะมิใช่เหตุผลทำให้นางต้องอยู่กับเขา นางเหลือบมองดวงหน้าของรั่วซินสลับกับท่านหมอหลวง เห็นได้ชัดว่ารั่วซินค่อนข้างวิตก เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันราวกำลังเผชิญกับปัญหายุ่งยาก แต่นั่นช่างแตกต่างจากดวงหน้าเจือไปด้วยความยินดีของบุรุษวัยกลางคน “เจ้าออกไปก่อน”นางกล่าว สายตาหยุดนิ่งที่รั่วซิน “ไปบอกให้โรงครัวเตรียมน้ำแกงไว้” รั่วซินมิเคยขัดคำสั่งของนางเลยสักครั้งเดียว แน่นอนว่ามันเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ “เพคะ” เพียงมินานทั้งห้องก็เหลือแค่นางกับท่านหมอหลวง มันควรเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่ากลับมิมีรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าขององค์หญิงเก้าแม้แต่น้อย เขาเกิดอาการพูดไม่ออก มิรู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไร “กระหม่อมจะจัดเตรียมยาบำรุง” เรียวขางามตวัดลงบนพื้น ก่อนเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูง องค์หญิงเก้าเคลื่อนตัวผ่านเขา แหวกผ้าม่านผืนบางออก ให้แสงแดดสาดส่องเข้ามา กระทบกับเครื่องเรือนภายใน “ท่านคิดว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งลำบากมากเพียงใด” “องค์หญิงมีแม่นมและข้ารับใช้มากมาย กระหม่อมเชื่อว่ามิใช่เรื่องยาก”เขาตอบ นัยน์ตาหลุบมองพื้น แลเห็นชายอาภรณ์สีเขียวอ่อน “ขอองค์หญิงโปรดวางพระทัย” “เปิ่นกงอยากเป็นคนบอกเรื่องน่ายินดีกับทุกคน หวังว่าเจ้าจะมิพลั้งปากออกไป” “กระหม่อมเข้าใจแล้ว” นางปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า “เช่นนั้นก็ดี” ไท่ฮูหยินค่อนข้างเป็นห่วง ยามได้ยินว่านางตามหมอหลวง อีกฝ่ายเรียกนางมาถามไถ่ ทำให้บทสนทนาตลอดมื้ออาหารเย็นกลายเป็นเรื่องของนางเสียส่วนใหญ่ สลับกับเรื่องของไท่หย่งเสียนและแม่ทัพประจิม รวมถึงไปเรื่องงานแต่งงานของญาติผู้น้อง นางมิได้ต่อความอะไรมากนัก เพียงแค่พยักหน้า หรือไม่ก็กล่าวมิกี่คำ ส่งผลให้บทสนทนาจบลงอย่างง่ายดาย เมื่อกลับมาถึงห้อง นางเลือกจะเก็บตัวอยู่ตามลำพัง มิยอมให้ใครเข้ามายุ่ง แม้นแต่รั่วซินเองก็ตามที แท้จริงแล้วเจินจิ่วหรงเป็นกังวลอยู่พอสมควร แน่นอนว่าการมีภาระเพิ่มมาหนึ่ง ย่อมทำให้ภาพที่วาดฝันไว้ต่างออกไป เหนืออื่นใดมันอาจทำให้การหย่าร้างเป็นเรื่องยากขึ้น คราก่อนเพราะนางมิทันระวัง ทำให้พลัดตกลงมาจากบันไดสูงชัง และเสียเด็กคนนี้ไป หลังจากนั้นมิว่าจะพยายามบำรุงมากเพียงใด นางก็มิตั้งครรภ์อีกเลย มันมีสองเหตุผล หนึ่งคือสวรรค์มิเมตตา ส่วนสองคือการวางยา ซึ่งนั่นย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องในวังหลวง แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่นางคิดเอาไว้ แต่พยายามหลับหูหลับตา มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน และมันอาจจะเป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น ‘เจินจิ่วหรงจะได้มิมีข้อตำหนิ’ ประโยคนั้นของเขาตรึงอยู่ในหัว ยากจะลบเลือน ดวงหน้างดงามฟุบลงบนเตียง มือเลื่อนปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับบนตัวออก นอกเหนือจากไท่หย่งเสียน การมิเอาตัวเข้าไปยุ่งกับการเมืองถือเป็นเรื่องดีที่สุด ทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อมหมดแล้ว นางแค่หยิบยกเรื่องตงเหลียนฮวาขึ้นมา ด้วยนิสัยของไท่หย่งเสียน ได้แต่หวังว่านางจะมิได้มองเขาพลาดไป มนุษย์คาดเดาได้ยากยิ่ง ห้าวันต่อจากนั้น ไท่หย่งเสียนกลับถึงเมืองหลวง ซึ่งนั่นเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ไท่หย่งเสียนกลับมาพร้อมกับหิมะที่ตกหนัก คราแรกไท่ฮูหยินจะให้นางไปยืนรอเขาหน้าจวน แต่ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย จึงเลือกมานั่งรอที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนแทน นางมิรู้ว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไร มันก็เหมือนทุกครั้งที่เขาไป แล้วก็กลับมา สายตาของคนมากมายต่างจดจ้องไปยังบานประตูซึ่งปิดสนิท ยามที่มันถูกเปิดออก ไท่ฮูหยินเป็นคนแรกที่ขยับลุกขึ้น ริมฝีปากของสตรีวัยกลางคนฉีกยิ้มกว้างและโผล่กอดผู้เป็นสามี — แม่ทัพประจิม ณ ตอนนั้น นางนั่งนิ่งและใช้สายตาเรียบเฉยจดจ้องเขาซึ่งยืนอยู่ด้านหลังบิดา ไท่หย่งเสียนสบตานาง ก่อนก้าวขาเข้ามาใกล้ ดวงหน้าคมคายดูอ่อนวัยลง กระนั้นแล้วนัยน์ตากลับมิได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย จำได้ว่าคราก่อนนางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปสวมกอดเขา สวมใส่อาภรณ์สีม่วงปักลายดอกรุ่ยเซียงที่เขาชอบ เรือนผมเกล้าเป็นมวยปักปิ่นระย้า แล้วก็แย้มยิ้มอ่อนหวาน แลดูน่าทะนุถนอม ช่างน่าเสียดายยิ่งที่ตอนนี้ แม้นเพียงรอยยิ้มบางเบาก็มิอาจมอบให้เขาได้ ฝ่ามือหยาบกร้านของเขาทาบลงบนแก้ม ไท่หย่งเสียนฉีกยิ้ม ดึงนางเข้าไปกอด “เจินจิ่วหรง” “หย่งเสียน” นางมิอาจสัมผัสสิ่งใดได้อีก นอกเสียจากความด้านชาของตนเองบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต