บทเจ็ด
ประกาศสงครามกับเสียนเฟย นานมาแล้วเจินจิ่วหรงเคยหวาดหวั่นต่อความตาย หากตอนนี้นางกลับพบว่ามันมิใช่เรื่องน่ากลัวที่สุด เมื่อเทียบกับการต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มิรู้ว่ามันเป็นความผิดพลาดหรือว่าสรวงสวรรค์ต้องการเล่นตลก ยามลืมตาขึ้นอีกครั้ง องค์หญิงเก้ายังคงอยู่บนโลกใบเดิม นอนนิ่งบนเตียงภายในห้องกว้าง เสมือนมิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ราวแรกเช้าในวันธรรมดา เว้นเพียงช่วงเวลา วันที่สามของการย้อนเวลา ภาพสะท้อนบนกระจกทองเหลืองตอกย้ำทุกความเป็นจริงลงในหัวสมอง เรือนผมเกล้าเป็นมวยสูงปักด้วยปิ่นหลากสี ดวงหน้าที่ดูอ่อนวัยลง สตรีซึ่งสดใสและงดงาม เจินจิ่วหรงในวัยเพียงสิบห้า ช่วงชีวิตอันรุ่งโรจน์ ปีแรกของการแต่งงาน ภรรยาของไท่หย่งเสียน ปลายนิ้วมือครูดลงบนอาภรณ์ปักลายดอกเบญจมาศ นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์ดูเลื่อนลอย ท่ามกลางสายตาของรั่วซินมองอยู่ตลอด ริมฝีปากอวบอิ่มกัดเป็นเส้นตรง เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น ทำไมถึงยังไม่ตาย นางควรอยู่สะพานไน่เหอ ดื่มน้ำแกงลืมเลือนแล้วก็กลับไปเกิดใหม่ ทำไมถึงได้โผล่หัวอยู่ที่นี่ ดวงหน้าแหงนมองเพดาน คานยาวซึ่งเคยใช้ผูกคอตายฉายชัดในดวงตา พลันเนื้อตัวสั่นระริก เจินจิ่วหรงยกมือกอดตัวเอง แล้วรีบก้มหน้าต่ำลง ทรวงอกกระพือขึ้นตามจังหวะการหายใจ ทุกอย่างคือความจริง ความจริงอันโหดร้ายที่กำลังฆ่านางทั้งเป็น “ข้ามิได้มีความแค้น มิได้ติดค้างใคร”นางกล่าวเสียงสั่น “มิได้ต้องการโอกาสหรืออะไรทั้งนั้น ข้าแค่อยากหายไป มิเข้าใจหรืออย่างไร !” เจินจิ่วหรงกรีดร้องเสียงแหบพร่า พริบตานั้นสิ่งของมากมายถูกกวาดลงมาอย่างรวดเร็ว เจ้าของร่างอรชรทรุดตัวลงบนบนผืน รั่วซินที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดเบิกตากว้าง รีบเข้ามาดูนายหญิง ก่อนพบว่าหยาดน้ำตากำลังไหลอาบทั่วข้างแก้มของอีกฝ่าย เสียงสะอื้นหลุดลอดจากลำคอระหง “องค์หญิง หม่อมฉันอยู่ตรงนี้”รั่วซินเอ่ย พลางเลื่อนฝ่ามือบอบบางขึ้นทาบลงบนดวงหน้าของตน ปลายนิ้วเกลี่ยของเหลวสีใสพวกนั้นออก “อยู่ข้างองค์หญิงเสมอ มันจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอนเพคะ” ถึงแม้นจะได้รับการปลอบขวัญเช่นนั้น ทว่าคนตรงหน้ายังคงร้องไห้มิหยุด ณ ตอนนั้น รั่วซินสัมผัสได้ถึงความพังพินาศขององค์หญิงเก้า สตรีซึ่งบาดเจ็บและมิสามารถเยียวยาตนเองได้ “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้…”เรียวนิ้วมือกำเข้าหากันแน่นแล้วทุบลงบนพื้น เส้นผมดำขลับเริ่มหลุดลุ่ยออกมาทีละน้อย “ทำไมมันถึงได้ผิดพลาดอยู่ตลอด” ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานฝังรากลึกลงไป เกินกว่าที่นางหรือใครจะเข้าใจ “ทำไมข้าถึงได้น่าสมเพชขนาดนี้” หากท้ายที่สุดแล้ว องค์หญิงเก้าเริ่มทบทวนความผิดของตนอีกครั้ง รั่วซินรับใช้ดูแลองค์หญิงเก้ามาตั้งแต่อีกฝ่ายอายุมิเท่าไหร่ นับแต่เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คอยแย่งชิงความโปรดปรานของฮ่องเต้กับเหล่าองค์หญิงรอง นางมิเคยเห็นว่าองค์หญิงเก้าจะยอมแพ้เลยสักครั้ง เมื่อแผนการแรกใช้มิได้ มันก็จะมีแผนการต่อไปอยู่ตลอด ลุกขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง มองหาความหวัง เพื่อเริ่มต้นอีกครั้ง นางทิ้งตัวลงนั่งข้างถังอาบน้ำ ร่างเปลือยเปล่าขององค์หญิงเก้าแช่อยู่ภายในนั้น เรือนผมยาวสลวยสยายปกคลุมไปทั่ว กลีบดอกกุหลาบถูกโปรยลงไป ตามด้วยควันขาวขุ่นพวยพุ่งออกมา “ไยเจ้าถึงเรียกข้าว่าองค์หญิง”องค์หญิงเก้ากล่าวทำลายความเงียบสงบ ทั้งที่ดวงหน้ายังเหม่อลอย หากก็เริ่มมีแววสดใสกว่าวันแรก “ปรกติเจ้าจะเรียกข้าว่าฮูหยิน เป็นเช่นนั้นนับแต่แต่งงาน” องค์หญิงเก้าเป็นคนช่างสังเกตเสมอ ความจริงข้อนี้ นางย่อมรู้ดีกว่าใคร ดวงตากลมโตหลุบต่ำลง “เมื่อเช้าไท่ฮูหยินถามถึงอาการขององค์หญิงจากหม่อมฉัน โชคดีที่รองแม่ทัพไท่อยู่ที่ชายแดน หาไม่คงบุกเข้ามาหาองค์หญิงด้วยตนเอง” ชั่วขณะนั้นดวงหน้างดงามหันขวับมาหานาง มือที่เปียกชุ่มคว้าเข้าที่แขน รั่วซินขยับถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก หากมินานก็ตั้งสติได้ทัน เจินจิ่วหรงถามเสียงแหบแห้ง“เจ้าย้อนเวลากลับมาเหมือนข้าใช่หรือไม่” ข้ารับใช้สาวเลือกจะมิตอบคำถามนั้น เพียงเอ่ยความต้องการออกไป “หม่อมฉันอยู่กับองค์หญิงเสมอ ติดตามรับใช้ท่าน” องค์หญิงเก้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนผินหน้ามองไปทางอื่น แล้วยกมือกอดเข่า “ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรที่สมควรทำ” รั่วซินขมวดคิ้ว ลอบถอนหายใจ “มิใช่อะไรที่สมควรเพคะ ต้องถามว่าองค์หญิงอยากทำอะไรต่างหาก” มิรู้ว่าประโยคนั้นมีสิ่งใดผิดแปลกไป องค์หญิงเก้าเหลือบมองนางเป็นครั้งสุดท้าย ตามด้วยเปลือกตาที่ปิดลงอย่างเชื่องช้า ไร้เสียงตอบรับ เมื่ออีกฝ่ายขึ้นมาจากถังอาบน้ำ รั่วซินมิกล้าพูดอะไรอีกเลย เจินจิ่วหรงเคยทบทวนความหมายของอิสระสำหรับตนเองอยู่หลายครา ก่อนได้ข้อสรุปว่ามันมิได้แปรผันตรงกับผู้ใด นางมักแยกแยะมันออกจากเรื่องอื่นได้ดีเสมอ ขณะเดียวกันก็มองข้ามมันไป เลือกเก็บซ่อนไว้ภายในใจ ตราบใดที่นางยังมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ มันหาได้มีความจำเป็นอะไรไม่ที่จะไขว่คว้าอิสระซึ่งเป็นไปได้ยาก ยิ่งกว่านั่นคือความรักที่มอบให้แก่ไท่หย่งเสียน ความสุขของการได้แต่งงานกับบุรุษที่หมายปอง สร้างครอบครัวกับเขา สิ่งเหล่านั้นทดแทนความต้องการในส่วนนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงมิเคยคิดถึงอิสระจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง นั่นถือเป็นการทำอะไรนอกเส้นกรอบ ขัดกับสิ่งที่เสด็จแม่เพียรอยากให้นางเป็น ทั้งคนเรามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในหนึ่งวัน ความรู้สึกมากมายตบตีอยู่ภายในหัวสมอง สลับภาพจำในอดีต ความทุกข์ทรมาน ราวเสียสติในเวลานั้น มือเรียวเลื่อนกอบกุมจอกสุรา ดวงหน้าแหงนมองจันทราที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้หมู่เมฆยามค่ำคืน เป็นเวลาหลายชั่วยามที่นางขังตนเองไว้ภายในห้องตามลำพัง มิยอมให้แม้นแต่รั่วซินเข้ามารบกวน บางทีนี่คงเป็นบทลงโทษหรือการกลั่นแกล้งจากสรวงสวรรค์มากกว่าโอกาส “ข้ามองว่าความตายคือการถนอมเราทุกคน”นางกล่าวเสียงแผ่วเบา ปล่อยให้สุราไหลลงไปตามลำคอ“แต่ข้ามิอยากทุกข์ทรมานเช่นนั้นอีก” ความสมบูรณ์แบบมิได้ทำให้นางได้ในสิ่งที่ต้องการ ท้ายสุดแล้วมันเหลือเพียงความว่างเปล่า นางถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนปิดเปลือกตาลง พร้อมซุกดวงหน้ากับผ้าห่มผืนหนา แล้วปล่อยให้ตนจมลงสู่ห้วงนิทรา เช้าวันต่อมาเจินจิ่วหรงตัดสินใจโผล่หัวออกจากห้องเป็นครั้งแรก เหล่าข้ารับใช้ที่สังเกตเห็นนางทำหน้าตาราวกับเห็นผี กระทั่งรั่วซินยังเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเสมือนคาดไม่ถึง กระนั้นก็สามารถรวบรวมสติกลับมาได้ รีบจัดการกับบ่าวไพร่ทั้งหลาย ชายอาภรณ์สีม่วงปักลายดอกเบญจมาศยาวประพื้น เรียวขางามก้าวออกไปอย่างเชื่องช้า พลางยกมือขึ้นในระดับสายตา สีผิวของนางที่เคยขาวผ่องแลดูซีดเผือดเสมือนคนตายมิมีผิด หากมีกระจกทองเหลืองอยู่ใกล้ ๆ คงได้ส่องดูดวงหน้าแล้วตกตะลึงเป็นแน่ มิต้องแปลกใจเลยว่าทำไมบ่าวไพร่ถึงแสดงสีหน้าเช่นนั้น “องค์หญิงจะไปไหนเพคะ”รั่วซินถาม พลางประชิดตัวนายหญิง “เปิ่นกงขังตนเองอยู่ในห้องอย่างไร้สาเหตุมาหลายวัน ไท่ฮูหยินคงเป็นห่วงแย่กระมัง”นางเอ่ยเสียงเรียบ หากยังดูมีสติมากว่าวันแรก ๆ อยู่หลายส่วน “ไปให้เห็นหน้า ร่วมทานอาหารเช้า ย่อมเป็นเรื่องสมควร” รั่วซินได้ยินคำว่า ‘สมควร’ จากปากองค์หญิงเก้ามาตลอดชีวิต ทว่าครานี้ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกตอนกล่าวถึงกลับต่างออกไป มันดูไร้อารมณ์เสมือนเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องน่าตลบขบขัน รวมไปถึงบางสิ่งที่น่าสมเพชเวทนา ข้ารับใช้สาวสูดหายใจเข้าช้า ๆ รวบรวมความกล้าคว้าลำแขนบอบบางเอาไว้ องค์หญิงเก้าหันขวับมามองทันใด ปลายเท้าของนางหยุดนิ่งลง กล่าวอย่างมิเต็มเสียง “องค์หญิง หากท่านยังมิไหว เก็บตัวอยู่ในห้องก็หาใช่เรื่องผิด ด้วยตำแหน่งของท่านไหนเลยจะมีผู้ใดกล้าตำหนิติเตียน” ประโยคนั้นทำเอาเจินจิ่วหรงแย้มยิ้มบางเบา “ช้าหรือเร็วมันมิได้ต่างกันนักหรอก ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี เปิ่นกงก็มิอาจเป็นเจินจิ่วหรงคนเดิมที่พวกเขาในเวลานี้รู้จักอีกแล้ว” หลายคราที่นางมิเข้าใจความต้องการขององค์หญิงเก้า มิเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ได้แต่เป็นผู้เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์หญิงเก้าซึ่งเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่งเยี่ยงนี้ ยามสบเข้ากับนัยน์ตาคู่นั้นความเจ็บปวด ทุกข์มานฉายชัด อีกคราที่รั่วซินทำได้แค่เงียบ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่หมายพร้อมองค์หญิง บานประตูไม้ถูกผลักเข้าไปด้านใน เผยให้เห็นไท่ฮูหยินนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารตามลำพัง โดยมีข้ารับใช้รายล้อม มารดาของรองแม่ทัพไท่เบิกตากว้างมิต่างจากนาง ถึงขั้นตะเกียบร่วงหล่นจากมือลงไปที่พื้น “อะองค์หญิงเก้า…” หากแต่เจินจิ่วหรงหรือจะไยดีมัน เจ้าของร่างอรชรทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วหันไปออกคำสั่งกับคนของตน “รีบจัดสำรับให้เปิ่นกง” รั่วซินพยักหน้าจัดการตามความต้องการอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาราวครู่หนึ่งไท่ฮูหยินถึงพลันได้สติกลับมา สตรีวัยกลางคนกลืนน้ำลายลงในลำคอ ตระหนักได้ว่าลูกสะใภ้ผิดแปลกไปจากเดิม ดวงหน้าที่ควรประดับด้วยรอยยิ้มกลับเรียบนิ่ง ไร้อารมณ์ เช่นเดียวกับดวงตาทั้งสอง บรรยากาศกดดันและหม่นหมอง “ประเดี๋ยวหย่งเสียนก็ใกล้จะกลับมา องค์หญิงเก้าโปรดอย่ากังวล”ไท่ฮูหยินเอ่ยเสียงนุ่มนวล พยายามควบคุมตนเองให้กลับมาเป็นปรกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าจะให้หมอหลวงมาตรวจดูอาการขององค์หญิง” จำได้ว่ารั่วซินเคยโกหกพวกเขาว่านางตรอมใจคิดถึงไท่หย่งเสียน จึงได้เก็บตัวเงียบ เพราะอย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าปล่อยให้คนอื่นคิดว่าองค์หญิงเก้าสติวิปลาสไปแล้ว นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ เจินจิ่วหรงในวัยสิบห้า ปีแรกของการแต่งงาน นับเป็นช่วงชีวิตแสนสุขและรุ่งโรจน์ มันหอมหวานเหมือนตกอยู่ในภาพฝัน ได้ครองคู่กับบุรุษที่หมายปอง มารดาและไพร่ฟ้าล้วนยินดี จุดสูงสุดในชีวิต ห่างไกลกับการฆ่าตัวตาย “ลูกมิได้เป็นอะไร” จะอย่างไรไท่ฮูหยินก็มินับว่าเกี่ยวข้อง แม้นว่าช่วงสองปีให้หลังจะเมินเฉยต่อนางเพราะลูกของตงเหลียนฮวา ทว่านั่นก็ใช่ว่านางจะมิเข้าใจเหตุผล ขณะเดียวกันการจะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมมันก็ยากเกินไป ไท่ฮูหยินลอบสำรวจสีหน้าลูกสะใภ้ พลางหลุบตาต่ำลง “วันก่อนพระสนมเสียนเฟยเขียนจดหมายส่งมาถามไถ่อาการองค์หญิง” เจินจิ่วหรงเงยหน้ามองรั่วซิน “จัดการเอาไปไว้ในห้องให้เรียบร้อย” รั่วซินพยักหน้าอีกครั้ง นึกหวาดหวั่นในท่าทีที่เปลี่ยนไปขององค์หญิงเก้ามิใช่น้อย ท้ายที่สุดแล้วในมื้ออาหารเช้านั้นก็มิมีใครกล้าส่งเสียงแม้นเพียงคนเดียว ทั่วทั้งห้องกว้างใหญ่ได้ยินเพียงเสียงหายใจเข้าออก และนั่นช่างเงียบสงบจนน่าผวา ยามกลับมาถึงห้อง เจินจิ่วหรงกวาดสายตามองเนื้อความในจดหมายเป็นสิ่งแรก ก่อนให้รั่วซินไปจัดเตรียมพู่กันและแท่งหมึกเอาไว้ การเขียนจดหมายมาหาของเสด็จแม่ คือการสำรวจว่านางเป็นเช่นไร อีกแง่มุมหนึ่งก็คือการควบคุมมิให้องค์หญิงเก้าหลุดไปนอกกรอบมากนัก ปรกติแล้ว นางมักเป็นเด็กดีตอบมันกลับอย่างสม่ำเสมอ เชื่อฟังทุกคำสอนของเสด็จแม่ ณ ตอนนั้นดวงตาเรียวดั่งหงส์ทอประกายวาววาบ พร้อมหยิบพู่กันร่างอักษรเพียงสองตัวลงบนกระดาษขาว ‘อิสระ’ มิรู้ว่าเป็นรอบเท่าไหร่ของวันที่รั่วซินตื่นตระหนกกับการกระทำขององค์หญิงเก้า หากพระสนมเสียนเฟยอ่านข้อความพวกนี้เข้า คงเปรียบได้กับการที่ผืนฟ้าพังทลายลงมา องค์หญิงเก้า เจินจิ่วหรง คือเด็กดีอย่างแท้จริง ตลอดชีวิตที่ผ่านมามิเคยเถียงพระสนมเสียนเฟยแม้นแต่ประโยคเดียว “ให้คนไปส่งให้เสด็จแม่ แล้วก็ไปนำสุรามาให้เปิ่นกง” ถึงจะบอกว่าให้ทำอะไรที่อยากทำ “องค์หญิงจะทำสิ่งใดกันแน่เพคะ” ริมฝีปากอวบอิ่มเหยียดยิ้มกว้าง “ทำทุกเรื่องที่เจินจิ่วหรงจะมิมีวันทำ และแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” แต่นี่มันเหมือนการประกาศตนเป็นกบฏกับพระสนมเสียนเฟยชัด ๆบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต