LOGINปลายนิ้วตวัดพู่กันลงบนกระดาษสีขาว สร้างสรรค์ลวดลายที่วิจิตรงดงาม อย่างที่เคยทำเป็นปกติ
เนื่องจากเบี้ยหวัดที่ผู้เป็นบิดา พระราชทานให้ในแต่ละปีนั้นน้อยนิด ไม่เพียงพอจะใช้จ่าย หยางจิ้งจะออกไปทำงานแบกหามแลกเงิน ขันทีที่ดูแลก็ไม่ยินยอม จึงมีเพียงการวาดภาพที่พอจะสร้างเงินให้กับเขาได้
ยังดีที่เขาชื่นชอบการวาดเขียนอยู่แล้ว จึงไม่คิดเบื่อหน่าย หากว่าต้องทำมันทุกวัน
“หมึกหมดแล้วหรือนี่” ใบหน้าหล่อเหลาหันมองหาขันทีคนสนิท เมื่อไม่เห็นคนจึงตั้งใจจะไปฝนหมึกด้วยตนเอง
“องค์ชาย องค์ชาย!”
“เข่อชิง เจ้าพึ่งหายป่วย เหตุใดจึงวิ่งกลางแดดเช่นนี้”
“แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คะ คนสกุลเกา พากันบุกมาที่จวนเป็นโขยงเลยพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทีตกใจปนหวาดกลัวของคนสนิท สร้างความหวั่นใจให้หยางจิ้งไม่น้อย ทว่ายังไม่ทันออกไปดูว่าเกิดอันใดขึ้น พี่น้องสกุลเกาก็พากันเดินเข้ามาในจวนแล้ว
“ท่านขันทีกล่าวหนักเกินไปแล้ว พวกข้าหาได้บุกรุกจวนองค์ชายไม่…คารวะองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” คุณชายสกุลเกาทั้งสี่คนต่างก้มคำนับผู้มีศักดิ์สูงกว่า
อ่า พี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด คนสกุลนี้ชอบเข้าเรือนผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไร
“พวกท่านมีธุระด่วนหรือ จึงรีบรุดเข้ามาในจวนข้าเช่นนี้”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาได้มีเจตนาร้ายไม่ เพียงพาน้องรอง น้องสาม และน้องสี่มาพูดคุยให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ กับพระองค์” ไม่ว่าเปล่า คุณชายใหญ่สกุลเกา ยังสั่งให้คนนำตำรากว่าร้อยเล่มมากองบนศาลา
“เชิญเสด็จองค์ชาย แม้พวกเราจะเป็นเพียงสกุลขุนนางเล็กๆ มีความรู้เท่าหางอึ่ง แต่พวกเราจะถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่มีให้พระองค์”
“เอ่อ คือข้า-” หยางจิ้งยังไม่ทันได้ปะติดปะต่อเรื่องราว สี่คุณชายสกุลเกาก็ล้อมหน้าล้อมหลัง พาเขามานั่งบนศาลา เปิดตำราต่างๆ และเอ่ยเล่าประสบการณ์ในราชสำนักให้เขาฟัง
“กระหม่อมขอประทานอนุญาตทูลถาม องค์ชายเคยศึกษาตำราด้านการปกครองบ้างหรือไม่” จวินอู๋ไต่ถาม
“ตั้งแต่ย้ายออกมาอยู่ที่นี่ ข้าก็อาศัยการอ่านและศึกษาเองทั้งหมด บางตำราก็มิเคยหยิบจับมาก่อน”
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องเริ่มต้นกันใหม่” บรรดาคุณชายพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ จะมีก็แต่หยางจิ้งที่ยังไม่กระจ่างในเรื่องนี้
“ข้าขอถามพวกท่าน เหตุใดพวกท่านบุกเข้ามาในจวนข้า แล้วยังนำตำรามามากมายถึงเพียงนี้” หยางจิ้งเป็นองค์ชายไร้ค่ามากว่าสิบปี จวนของเขาไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้ามา จะมีก็แต่วันก่อนที่เกาเยี่ยนฟางบุกมาถึงในจวน แล้ววันนี้ก็เป็นบรรดาคุณชายสกุลเกา
คนพวกนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่
“…”
“พวกท่านต้องการสิ่งใดจากองค์ชายไร้ศักดิ์เช่นข้าหรือ”
“สกุลเกาของเรา ไม่ยินดีรับเขยที่ไร้ความสามารถ ในเมื่อพระองค์เป็นเขยสกุลเกาแล้ว จะต้องเพียบพร้อมทุกด้าน ให้น้องสาวกระหม่อมควงออกงานได้ไม่อายผู้ใด โอ๊ย! พี่ใหญ่ตบหัวข้าด้วยเหตุใด” คุณชายสี่ร้องโวยวาย
“ดูเจ้าพูดเข้า กล้าดูหมิ่นกระทั่งองค์ชายใหญ่ ตัวเองต่างหากที่ควรหางานหาการทำได้แล้ว มัวแต่ลุ่มหลงสุรานารี”
“พี่ใหญ่พอเถิด มิเช่นนั้นวันนี้องค์ชายคงไม่ได้คำตอบ” เต๋อคุนรีบห้ามศึกพี่น้อง
“ที่จริงก็เป็นอย่างที่น้องสี่ว่า พระองค์เป็นเขยสกุลเกา และพวกเราจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดมาดูแคลนคนในครอบครัว”
“…”
“ในเมื่อองค์ชายอยากทำเรื่องที่คิดให้สำเร็จ เช่นนั้นพระองค์ก็โปรดรับพวกเราเป็นอาจารย์ด้วย”
“…หึ ใต้หล้ามีแต่คนขอเป็นศิษย์ ข้าช่างโชคดี ที่มีคนมาขอเป็นอาจารย์” หวงหยางจิ้งยิ้มขำ อันที่จริงเรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อเขา เพียงแต่จะต้องคอยระแวดระวังให้มากกว่าเดิม
“เช่นนั้นถือว่าองค์ชายตกลง” จวินอู๋ถามย้ำ
“ข้าต้องฝากตัวกับพวกท่านด้วย”
เหล่าบุรุษนั่งพูดคุย ถ่ายทอดความรู้กันอยู่บนศาลา ขนาดเกาโจวไฉที่ผู้คนต่างเล่าขานว่า เป็นบุรุษเสเพลอันดับหนึ่งของแคว้น ยังมีความรู้เกี่ยวกับการค้าอยู่หลายส่วน
คนสกุลเกา ดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ
“แล้วจะให้เขาทำอย่างไรเพคะ หากเขามาขอด้วยตนเอง ฝ่าบาทก็จะทรงค่อนแคะว่าเขาไม่จริงจัง มิยอมให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอใช่หรือไม่”“…” หยางจิ้งลูบแขนที่ถูกตีปรอยๆ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ดูจะตึงเครียดขึ้นมา ฝ่าบาทเองก็ไม่ยอมอ่อนจนฮองเฮาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี เซียนหนี่ว์จึงต้องใช้ไม้ตาย“เสด็จพ่อมิวางใจลูกเลยหรือเพคะ พระองค์คิดว่าลูกมองคนไม่ออก ว่าผู้ใดจริงใจ ผู้ใดคิดหลอกลวงหรือ” น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนแก้มใส จนผู้เป็นบิดาร้อนใจ“หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดจึงร้องไห้ พ่อมิได้คิดเช่นนั้น พ่อเพียงเป็นห่วงเท่านั้น พ่อไม่รู้จักเขา ไม่เคยได้พูดคุย เขาไม่เคยมาแสดงความจริงใจกับพ่อเลยสักครั้ง จะให้พ่อวางใจเขาให้ดูแลเจ้าได้อย่างไร”“หากเป็นเรื่องนั้นลูกผิดเองเพคะ ลูกไม่ยอมให้เขามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะน้อยใจลูก”“…”“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเพคะ อย่างน้อยก็อย่าพึ่งปฏิเสธเขาเลย”“พ่อปฏิเสธไปแล้ว…แต่หากเขาจริงใจและรักเจ้าจริง ทันทีที่สารจากแคว้นเราเดินทางไปถึง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมาหาลูกพ่อ”“…”“ถึงครานั้น พ่อจะให้โอกาสเขา” ได้ยินเ
“มีอันใด พ่อตกใจหมด”“สะ เสด็จพ่อปฏิเสธหรือเพคะ ปฏิเสธได้อย่างไร”“เหตุใดจะไม่ได้เล่า ในเมื่อธิดาของพ่อยังไม่อยากแต่งออก พ่อเองก็จะไม่บังคับ ท่านตาและท่านลุงของเจ้าต่างก็เห็นด้วยกับพ่อ”“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเลยนะเพคะ ฝ่าบาทพิจารณาอีกทีเถิด” เยี่ยนฟางรีบว่า“แล้วอย่างไร บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า จะให้แต่งไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองได้อย่างไรกัน หากแคว้นโจวไม่พอใจก็ปล่อยพวกเขายกทัพมา ข้าพูดคุยกับท่านพ่อตาแล้ว ว่าให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อม”“….”“พี่รองของเจ้าก็ส่งจดหมายไปบอกพี่สามและพี่สี่ให้ตรวจตรา เฝ้าระวังบริเวณชายแดนเรียบร้อยแล้ว” ได้ยินองค์กษัตริย์กล่าว เยี่ยนฟางก็นึกโทษตัวเอง ที่ประเมินความคลั่งรักของสวามีและบุรุษสกุลเกาต่ำเกินไป“ตะ แต่ลูก ลูกอยากไปเพคะ”“หืม หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่แข็งขึ้นมาอีกระดับ“ลูกอยากแต่งเพคะ”“…” หยางจิ้งนิ่งค้างไปในทันใด“ฝ่าบาทเพคะ ลูกสาวของเราพ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว นางสมควรได้มีความรัก มีครอบครัว ฝ่าบาทมิอยากอุ้มหลานหรือเพคะ”“ขะ ข้าย่อมอยาก เช่นนั้นพ่อจะหาคุณชายสกุลใหญ่มาแต่งกับเจ้าดีหรือไม่ บุตรชายของรองแม
เอกบุรุษในชุดลายมังกร เดินไปเดินมาในห้องทรงงานด้วยความกังวลใจ ไม่ต่างจากอดีตแม่ทัพ ท่านราชทูต และเสนาบดีกรมขุนนาง“เรื่องนี้หากเราปฏิเสธ อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นพ่ะย่ะค่ะ” เกาเกิงชุนรู้ดี ว่าการที่ต่างแคว้นส่งเทียบหมั้นมา เพื่อขอแต่งเชื่อมสัมพันธ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากเรายอมส่งองค์หญิงไปแต่งเชื่อสัมพันธ์ ก็ถือว่าได้มิตร แต่หากปฏิเสธ คงไม่แคล้วกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงคราม“พี่ใหญ่! ท่านจะยอมให้องค์หญิงของเราแต่งไปอยู่ต่างแคว้นหรือ หากองค์รัชทายาทแคว้นโจวเป็นชายโฉด นิสัยชั่วร้ายจะทำอย่างไร”“จริงอย่างคุณชายรองว่า ข้าไม่ยอมให้หนี่ว์เอ๋อร์ของข้าแต่งออกไปไกลถึงเพียงนั้นแน่ นางพึ่งอายุได้เพียงยี่สิบหนาว จะห่างจากอกบิดาได้อย่างไร” หยางจิ้งเอ่ยสำทับคำพูดของเสนาบดีกรมขุนนางที่พึ่งรับตำแหน่งมาหมาดๆ“เช่นนั้นกระหม่อมจะเรียกแม่ทัพหว่านมาพูดคุยเรื่องเตรียมทัพ ศึกครั้งนี้กระหม่อมจะนำทัพด้วยตนเอง”“ต้องรบกวนท่านพ่อตาแล้ว” ทันทีที่หวงหยางจิ้งได้รับเรื่องนี้มา ก็เรียกบุรุษสกุลเกามาปรึกษา ดีที่ความคิดเห็นของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงหาข้อยุติเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นกระ
“แอ้ แอ้”“อาหรง อาไห่ หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดพูดเช่นนั้นเล่า พ่อมาหาพวกเจ้าแล้วอย่างไรลูก”“คิก!” เยี่ยนฟางหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่นางและลูกต้องทำถึงเพียงนี้ ก็เพราะหยางจิ้งทำงานแทบไม่หยุดพัก บางคืนไม่กลับมานอนที่ตำหนักเสียด้วยซ้ำ นี่หากว่าหยางจิ้งแต่งตั้งสนม นางคงคิดว่าอีกฝ่ายไปนอนกับสตรีอื่นเสียแล้วมิใช่ว่าเยี่ยนฟางไม่เข้าใจ ว่ายังมีราษฎรอีกมากมายที่ทุกข์ยาก แต่หากสวามีของนางยังโหมงานหนัก ร่างกายเขาจะไม่ไหวเอาได้เหมือนยามที่นางพึ่งคลอดโอรสแฝด ช่วงนั้นฮ่องเต้หนุ่มลุกไม่ขึ้นไปหลายวัน ขนาดโอรสยังไม่อาจเข้าใกล้บิดาได้ เพราะกลัวว่าจะติดไข้ไปด้วย เป็นถึงเพียงนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่หลาบจำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ยอมหยุดพัก จนเยี่ยนฟางและเซียนหนี่ว์ต้องวางแผนเช่นนี้“ฟางเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“เพคะ บิดาไม่ใส่ใจบุตร สมควรแล้วที่จะถูกตัดขาด”“ใช่เพคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นกอดอก พลางเชิดหน้าหนีอีกรอบ“โถ่ หนี่ว์เอ๋อร์ของพ่อ พ่อจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าให้อภัยพ่อเถิด องค์หญิงน้อยของพ่อ” หยางจิ้งทั้งกอด ทั้งหอมแก้มใสของบุตรสาว“แน่หรือเพคะ”“แน่สิ พ่อจะไม่ละเลยเจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าอีก”“นั่นมิใช่ประเด
“ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์นางบีบมือข้า”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ฟางเอ๋อร์ ลูกพ่อ”“เยี่ยนฟาง เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางจิ้งแตะเบาๆ บนแก้มเนียนของภรรยา หวังปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อื้อ เหตุใดเสียงดังกันนักเล่า” ทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น ทุกคนก็เงียบกริบ แต่ใบหน้าทุกคนกลับยิ้มแย้มที่รู้ว่าเยี่ยนฟางได้สติขึ้นมาแล้ว“ฟางเอ๋อร์!” คุณชายทั้งสี่เรียกน้องสาวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงดีใจ“เจ้าฟื้นแล้ว ใครอยู่ด้านนอก เรียกท่านหมอที”“องค์ชาย ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่เองก็มากันครบเลยหรือ” เยี่ยนฟางดันตัวขึ้นจากเตียงโดยมีสวามีคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ“พวกเราย่อมมา ฟางเอ๋อร์ของแม่รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“มิเป็นไรๆ ขอเพียงเจ้าปลอดภัย พี่ใหญ่ก็สบายใจแล้ว” ครอบครัวพูดคุยกันไม่นาน ท่านหมอก็เข้ามาตรวจอาการของเยี่ยนฟาง เมื่อตรวจละเอียดไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง จึงจัดเพียงยาบำรุงให้ครอบครัวสกุลเกาก็อยู่ต่ออีกเพียงครู่เดียว เพราะมีบ่าวที่เรือนมาแจ้งว่าฮูหยินรองร้องห่มร้องไห้ เอ่ยว่าถูกอนุท่านแม่ทัพรังแก พวกเขาจึงแยกย้ายกลับเรือน อีกอย่างหยางจิ้งก็ยืนยันว่า
ภายในห้องนอนที่เคยมีเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง บัดนี้กลับเงียบสนิท ศีรษะหนักฟุบลงข้างเตียง มือหนาก็กอบกุมมือภรรยาไว้ไม่ห่าง เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันกะทันหันจนหยางจิ้งตั้งรับไม่ทัน“ฟางเอ๋อร์ เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ เจ้าเพียงแค่หยอกข้าให้ตกใจเล่นเหมือนทุกคราใช่หรือไม่ ฮึก รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า” ทั้งเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาที่ไหลออกจากนัยน์ตาสีดำขลับ ล้วนทำให้หลี่เมิ่งมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้“ขอโทษนะหยางจิ้ง ทั้งที่เคยสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้า แต่ข้ากลับทำไม่ได้” เซียนสาวซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อายผู้ใด“ร้องไห้เพราะดีใจ ที่ได้กลับสวรรค์หรือ”“มะ มหาเทพ”“ข้าถามว่าเจ้าดีใจมากใช่หรือไม่ ที่ได้กลับมา”“ขะ ข้าเสียใจ” ใบหน้างามก้มลง พลางตอบออกไปตามความจริง“หืม เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า ทั้งที่เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยหลายพันปี แต่เจ้ากลับเสียใจที่ได้กลับมาอยู่สวรรค์หรือ” มหาเทพยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่หลี่เมิ่งกลับรู้สึกว่านางถูกแรงกดดันมหาศาล“ข้าเสียใจ ที่ต้องจากพวกเขาทุกคนมา”“หากข้าให้เจ้ากลับไป เจ้าจะไปหรือไม่”“ข้า-”“เจ้า







