ログイン
เจิ้งซูอี้
บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซีหยวน
ถูกธนูยิงตกจากหลังม้าทำให้วิญญานเข้ามาอยู่ในร่างของหลิวอันอัน
เด็กสาวที่ถูกทุบตีจนวิญญาณออกจากร่างไป
เมื่อเจิ้งซูอี้ต้องมาใช้ชีวิตแทนหลิวอันอันดังนั้น
หนี้แค้นของนางที่มีต่อคนตระกูลหลิว
นางเจิงซูอี้จะเป็นคนจัดการเอง
ซีหยวนไห่หนาน
องค์ชายห้าแห่งแคว้นซีหยวน บุตรชายของหลิงกุ้ยเฟย
นิสัยเจ้าเล่ห์และขี้เบื่อ แต่เมื่อเขาต้องการสิ่งใดแล้วเขาจะต้องเอามันมาครอบครองให้ได้
องค์ชายห้าเป็นคู่ปรับของเจิ้งซูอี้มีอาจารย์สอนวรยุทธคนเดียวกัน
เมื่อเขาออกมาทำภารกิจลับที่ฮ่องเต้สั่งการ
ทำให้เขาได้พบกับเด็กสาวชาวบ้านที่น่าสนใจผู้หนึ่ง
จนทำให้เขาอยากได้นางมาไว้ในครอบครอง
เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดดังลอดออกมาจากกระท่อมไม้ผุพังตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านมาทางเชิงเขา เจิ้งซูอี้ยกมือกุมขมับตนเองด้วยความเจ็บปวดภาพเด็กสาวร่างผอมบางกำลังถูกเด็กในหมู่บ้านรังแกและภาพที่นางกำลังถูกหญิงชราทุบตีกำลังหมุนวนอยู่ในหัวเจิ้งซูอี้ไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด เสียงประตูไม้เก่าๆ ถูกเปิดออกอย่างแรงตามมาด้วยสตรีร่างผอมที่รีบพุ่งมาที่เตียงที่นางนอนอยู่
“อันอันของแม่เป็นอย่างไรบ้างเจ็บที่ใดบอกแม่มาเถิดเหตุใดถึงได้ร้องเสียงดังเพียงนี้”
สตรีที่แต่งชุดเหมือนชาวหญิงบ้านธรรมดาแต่กลับมีใบหน้าที่งดงามท่าทางดูใจดีมองมาเจิ้งซูอี้ด้วยความเป็นห่วง
“ท่าน...”
เจิ้งซูอี้กำลังจะถามสตรีผู้นั้นว่านางเป็นใครเหตุใดถึงมาอยู่ในห้องของนาง ภาพต่อมาก็ทำให้เจิ้งซูอี้ตกใจกว่าเดิมเพราะสตรีผู้นี้เป็นมารดาของเด็กสาวที่นางเห็นในความทรงจำ แล้วเหตุใดนางมาอยู่ที่นี่ ไม่สิข้าต่างหากอยู่ที่ไหนกันแน่ เจิ้งซูอี้มองไปรอบๆ อย่างสำรวจ ห้องเล็กๆ ที่ทำขึ้นมาอย่างลวกๆ มีกลิ่นอับเล็กน้อยเพราะไม่ได้เปิดหน้าต่าง สิ่งที่นางเห็นบ่งบอกว่าผู้ที่อยู่ที่นี่ค่อนข้างรักความสะอาด
“เหตุใดเงียบไปเล่า บอกแม่มาว่าลูกเจ็บตรงไหนให้แม่ไปตามท่านหมอหลี่มาหรือไม่”
เจิ้งซูอี้ส่ายหัว จากความทรงจำของนางครอบครัวนี้ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อแล้วจะเอาเงินที่ไหนพาหมอมารักษานางได้ ความจริงนางก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงไหน เพียงแค่ตอนที่นางฟื้นขึ้นมานางรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิดเท่านั้น
“ข้า...หายดีแล้ว”
เจิ้งซูอี้เอ่ยเบาๆ ทั้งยังมองสำรวจรอบห้องที่นางกำลังนั่งอยู่ เป็นไปไม่ได้กระมัง นางอยู่ที่ชายแดนกำลังทำศึกกับแคว้นจ้าวไม่ใช่หรือแล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ภาพสุดท้ายที่นางโดนธนูยิงตกจากหลังม้าก็แวบเข้ามาในหัว หรือว่า.....
“ที่นี่คือที่ไหน”
เจิ้งซูอี้ถามสตรีวัยกลางคนอย่างลุกลี้ลุกลน นางมองเจิ้งซูอี้ด้วยดวงตาเบิกโพลงคล้ายตกใจกับคำถามของนางมาก
“อันอันลูก....จำไม่ได้หรือที่นี่ก็บ้านของเราอย่างไรเล่า”
หญิงวัยกลางคนที่เรียกตนเองว่าแม่บอกเจิ้งซูอี้ด้วยท่าทางไม่แน่ใจ หรือว่าบุตรสาวของนางจะถูกตีบาดเจ็บจนความทรงจำหายไป ไม่ได้การนางต้องรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการของอันอันของนาง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรบุตรสาวของนางจะต้องได้รักษา สตรีวัยกลางคนผู้นั้นกำลังจะผละจากไปเจิ้งซูอี้เหมือนจะรู้ความคิดของนางจึงรีบดึงแขนนางเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน!!ข้าแค่สับสนไปเท่านั้นเจ้าค่ะ.....ท่านแม่”
ตอนนี้เจิ้งซูอี้คิดได้เพียงอย่างเดียวคือนางอาจตายไปแล้วเพราะธนูดอกนั้นที่สนามรบ จากนั้นวิญญาณของนางจึงได้มาสิงร่างของเด็กสาวคนนี้ เจิ้งซูอี้มองใบหน้าที่ซูบตอบของหญิงวัยกลางคนด้วยความรู้สึกเห็นใจ นางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้นางไม่ได้อยากมาแย่งร่างบุตรสาวของนาง เพียงแต่เรื่องนี้นางไม่สามารถควบคุมได้ เจิ้งซูอี้จับมือของสตรีวัยกลางคนเอาไว้หลวมๆ แล้วส่งสายตาขอโทษไปที่นาง
“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว แม่ต้มโจ๊กมันเทศเอาไว้ลูกทานสักหน่อยเถอะนะ”
หวังเจียอี๋มารดาของหลิวอันอันเดินออกจากห้องไป แล้วหัวเล็กๆ ก็โผล่มาที่ประตูแทนเจิ้งซูอี้เลิกคิ้วมองด้วยความสนใจ เด็กคนนี้คงจะเป็นหลิวซีฮันน้องชายของหลิวอันอันสินะ นางกวักมือเรียกเขาให้เข้ามาใกล้ๆ หลิวซีฮันเดินมาหานางในมือถือบางอย่างเอาไว้
“ท่านพี่ข้ามีของบางอย่างมาให้ท่าน”
หลิวซีฮันแบมือออกในมือของเขามีไข่ไก่หนึ่งฟอง เจิ้งซูอี้ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้ต้องการทำอะไร
“ไข่ไก่ที่ข้าแอบเอามาจากเรือนของท่านย่า ข้าต้มมาแล้วท่านพี่รีบกินสิเดี๋ยวท่านย่ารู้เข้าอดกินพอดี”
เจิ้งซูอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไข่ไก่เพียงแค่ฟองเดียวถึงกับต้องทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงนี้เชียว แต่เพียงไม่นานเสียงด่าทอที่ดังมาจากด้านนอกก็ทำให้เจิ้งซูอี้รู้ว่าแค่ไข่ไก่หนึ่งฟองสามารถฆ่าคนตายได้
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะเจ้าเด็กหัวขโมย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างในถ้าไม่ออกมาข้าจะพังกระท่อมเก่าๆ ของเจ้าให้ราบเลยคอยดู”
เจิ้งซูอี้เลิกคิ้วมองหลิวซีฮันเล็กน้อย เขาย่นคอเหมือนเต่าด้วยความหวาดกลัวทำเอาเจิ้งซูอี้หัวเราะออกมาอย่างขบขัน
นางรับไข่ไก่มาจากเด็กชายจากนั้นจึงลุกจากเตียงออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก หวังเจียอี๋มารดาของหลิวอันอันและหลิวซีฮันกำลังโดนแม่เฒ่าจางท่านย่าของเด็กทั้งสองใช้ไม้ไผ่ลำเท่าท่อนแขนกระหน่ำตีไม่ยั้ง หวังเจียอี๋ทำได้แค่ใช้มือกุมหัวขดตัวเอาด้านหลังรับแรงกระแทก เจิ้งซูอี้เดินเข้าไปคว้าไม้ไผ่ในมือแม่เฒ่าจางโยนทิ้งจากนั้นรีบไปพยุงหวังเจียอี๋ที่นอนขดอยู่ที่พื้น
“ออกมาแล้วหรือเจ้าพวกเด็กสารเลว กล้าบังอาจขโมยไข่ไก่ของข้าไปวันนี้ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย”
เจิ้งซูอี้มองหัวของหวังเจียอี๋ที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด นางก็ตวัดหางตามองไปที่แม่เฒ่าจางทันที
“ไข่นี่ใช่หรือไม่ที่ทำให้ท่านถึงกับต้องตีคนเกือบตาย ไก่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นคนบ้านข้าที่ดูแลเลี้ยงดูให้อาหารมันแล้วเหตุใดพวกข้าถึงกินมันไม่ได้ ยายเฒ่าท่านรู้หรือไม่ว่าฆ่าคนตายต้องชดใช้ด้วยชีวิตทำร้ายผู้อื่นก็ต้องติดคุกเช่นกัน นี้ไข่ของท่านจากนี้ก็เตรียมตัวไปพบกันที่ศาลที่ว่าการอำเภอได้เลย”
เจิ้งซูอี้ปาไข่ต้มไปที่แม่เฒ่าจางจากนั้นนางจึงพูดออกมายาวเหยียด ทั้งแม่เฒ่าจางและชาวบ้านที่มามุงดูถึงกับเงียบไปตามๆ กันเพราะไม่เข้าใจว่านางพูดเรื่องอะไร แต่ที่พวกเขาพอจะฟังออกคือฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตแม่เฒ่าจางหดคอด้วยความหวาดหวั่น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่พูดคือหลานนอกไส้ของนาง นางก็กลับมาพองขนอีกครั้ง
“หน็อยแน่นางเด็กปากดีเจ้าคิดว่าข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ ข้าตีพวกเจ้าแม่ลูกตายแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นคนสกุลหลิวของข้าคิดว่าพูดข่มขู่ข้าเช่นนี้แล้วข้าจะกลัวหรือ”
เจิ้งซูอี้ส่ายหัวให้กับความไร้เหตุผลของนาง คนที่ไม่ได้รับการศึกษานั้นส่วนมากจะเป็นเช่นนี้ เจิ้งซูอี้หันไปประจันหน้ากับแม่เฒ่าจาง
“เช่นนั้นมาลองดูกันสักตั้งดีหรือไม่”
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







