ログインสายตาที่แน่วแน่บ่งบอกว่านางเอาจริงของเจิ้งซูอี้ที่กำลังมองมายังแม่เฒ่าจางทำให้นางรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกท่านจึงพากันมาชุมนุมที่หน้าเรือนของข้าเช่นนี้”
เสียงทุ้มดังมาจากทางด้านหลัง ชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบกว่ากำลังแหวกฝูงชาวบ้านตรงเข้ามา ภาพที่เห็นคือภรรยาของเขานั่งหัวแตกเลือดอาบอยู่ที่พื้นข้างๆ กันมีบุตรชายคนเล็กของเขากำลังกอดมารดาร้องไห้ เขาตวัดสายตามองไปยังต้นเรื่องคือแม่เฒ่าจางที่กำลังยืนประจันหน้าอยู่กับบุตรสาวคนโต
“อันอันเกิดอะไรขึ้น”
หลิวตงจวิ้นถามบุตรสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล เจิ้งซูอี้หันไปมองชายวัยกลางคนที่ผิวคล้ำแดดเหมือนทำงานกลางแจ้งมาเป็นเวลานาน บิดาของหลิวอันอัน เจิ้งซูอี้ยังไม่ทันตอบแต่เป็นแม่เฒ่าจางที่เป็นคนโวยวายขึ้นมาก่อน
“หลิวตงจวิ้นเจ้าบุตรอกตัญญูเจ้าเลี้ยงดูลูกของเจ้าอย่างไรให้เป็นหัวขโมยเช่นนี้ เจ้าเด็กสารเลวนั่นบังอาจแอบขโมยไข่ไก่ที่ข้าเก็บเอาไว้ให้เฉิงเอ๋อกิน”
หลิวตงจวิ้นมองไปที่แม่เฒ่าจางด้วยสายตาผิดหวัง
“ท่านแม่เพียงแค่ไข่ไก่ฟองเดียวท่านถึงกับตีอาอี๋หัวแตกมันไม่เกินไปหน่อยหรือขอรับ”
หลิวตงจวิ้นเดินมาขวางระหว่างเจิ้งซูอี้กับแม่เฒ่าจางเพราะเกรงว่านางจะทำร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาดั่งเช่นที่ผ่านมา เจิ้งซูอี้มองหลิวตงจวิ้นด้วยท่าทางครุ่นคิด ดูเหมือนว่าบิดาที่ไม่ได้เรื่องของเด็กคนนี้ก็ยังพอมีความดีอยู่บ้าง เจิ้งซูอี้รอดูว่าเขาจะจัดการกับแม่เฒ่าผู้ร้ายกาจคนนี้อย่างไร
“เจ้าลูกอกตัญญู ข้ากับตาเฒ่าเลี้ยงเจ้ามาด้วยความยากลำบากแต่เจ้ากลับพูดเช่นนี้กับแม่ของเจ้าหรือถึงเจ้าจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของข้าแต่เราก็ไม่เคยปล่อยให้เจ้าต้องอดอยาก สวรรค์เหตุใดท่านถึงให้คนเช่นนี้มาอยู่กับข้าเหตุใดถึงได้ทำร้ายตระกูลหลิวเช่นนี้”
แม่เฒ่าจางนั่งลงเอาเท้ายันดินไปมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้าน ทั้งยังตีอกชกตัวหาว่าสวรรค์ไม่เมตตาตระกูลหลิว เจิ้งซูอี้ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองการแสดงที่แม่เฒ่าจางกำลังเล่น วันๆ นางใช้ชีวิตอยู่แต่ในกองทัพได้ดูงิ้วเช่นนี้ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ
“ท่านแม่ท่านกำลังทำอะไร ข้าไม่ได้ต่อว่าท่านแต่ว่า..”
หลิวตงจวิ้นคนซื่อมีหรือจะเถียงทันแม่เฒ่าจาง เขาทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักออกมาอย่างจนใจ เป็นบุรุษต่อปากกับสตรีนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าดูนัก
“หุบปากเจ้าคนอกตัญญู คอยดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการครอบครัวเจ้าอย่างไร อาเซียงไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านกับตาเฒ่ามาวันนี้ข้าจะตัดหลิวตงจวิ้นออกจากตระกูลหลิว”
สิ้นคำแม่เฒ่าจางชาวบ้านถึงกับตกใจกับสิ่งที่นางพูด เพียงไข่ไก่ฟองเดียวถึงกับตัดเขาออกจากตระกูลเชียวหรือ แม่เฒ่าจางไม่ทำเกินไปหน่อยใช่หรือไม่ จางซานเหนียงหลานสาวจากบ้านเดิมของแม่เฒ่าจางที่แต่งงานกับบุตรชายคนโตของนางหลิวตงหัวรีบทำตามที่แม่เฒ่าจางบอกทันที
ผ่านไปไม่นานจางซานเหนียงก็กลับมาพร้อมกับหัวหน้าหมู่บ้านแซ่สือนามว่าชางไห่อายุราวสี่สิบปี ด้านหลังของเขาคือชายชราผมขาวในความทรงจำของเจิ้งซูอี้เขาคือปู่ของหลิวอันอันหลิวเจี้ยนกั๋ว ชายชราเดินเอามือไพล่หลังตามมาใบหน้าเย็นชาท่าทางไม่ยินดียินร้ายของเขาบ่งบอกว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย แม่เฒ่าจางเมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้ามานางก็รีบปรี่เข้าหาเขาทันที
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านท่านมาก็ดีแล้ว วันนี้ข้าจางกุ้ยฮวาขอตัดขาดจากหลิวตงจวิ้นและขับเขาออกจาตระกูลหลิว”
ถึงแม้ชาวบ้านจะได้ยินนางพูดเรื่องจะขับหลิวตงจวิ้นออกจากตระกูลมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่คิดเพียงว่านางอาจจะแค่โมโหเท่านั้นไม่ได้คิดว่านางจะจริงจังถึงเพียงนี้
“หยุดก่อนนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อนได้หรือไม่”
หัวหน้าหมู่บ้านสือปรามแม่เฒ่าจางให้ใจเย็นลง แม่เฒ่าจางเอาแต่ทำหน้าร้องไห้ทั้งยังก่นด่าสาปแช่งหลิวตงจวิ้นหาว่าเขาอกตัญญูและไม่เคารพผู้อาวุโส หลิวตงจวิ้นผู้ที่ถูกกล่าวหายังคงยืนเงียบอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะโต้แย้งสิ่งที่แม่เฒ่าจางพูดเลยสักนิด เจิ้งซูอี้คอยสังเกตอยู่ห่างๆ ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าหากว่าเขาตัดสินใจที่จะออกมาจากตระกูลหลิวนางก็จะช่วยเขาเอง แต่ถ้าหากเขาอ้อนวอนยายเฒ่าขี้โวยวายนางจะยุให้ท่านแม่ของหลิวอันอันทิ้งเขาไปเลย
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านข้าหลิวตงจวิ้นไม่มีสิ่งใดจะพูด ถึงตัวข้าจะไม่ใช่บุตรที่เกิดจากท่านพ่อและท่านแม่แต่ข้าก็เคารพทั้งสองเช่นบิดามารดาแท้ๆ แต่ว่าวันนี้ที่ท่านแม่ทำมันเกินไปจริงๆ หากนางต้องการขับข้าออกจากตระกูลหลิวเช่นนั้นข้าหลิวตงจวิ้นก็ขอพูดสักหน่อยเถอะ ท่านแม่ท่านไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อท่านหรือผิดต่อตระกูลหลิว อีกอย่างถึงข้าจะเรียกท่านว่าแม่แต่ข้ายังคงเป็นบุตรชายของหลิวตงเฟิง และข้าเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของเขาถึงแม้ท่านจะเป็นสะใภ้ของตระกูลหลิวแต่ท่านก็ไม่ได้แซ่หลิวดังนั้นเรื่องนี้ท่านจึงไม่มีสิทธิ์พูด ถ้าหากว่าต้องการขับข้าออกจาตระกูลหลิวจริงๆ เช่นนั้นก็รวบรวมผู้อาวุโสของตระกูลหลิวมาแล้วบอกพวกเขาว่าข้าผิดอันใด ที่ผ่านมาข้าเองก็รู้สึกขอบคุณที่พวกท่านคอยดูแลข้ามาตลอดหลายปี แต่วันนี้ถ้าหากท่านต้องการจะตัดขาดจากข้าจริงๆ พวกท่านต้องคืนที่ดินที่เป็นของบิดาข้ามาก่อน”
ทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านที่มาชุมนุมต่างพากันส่งเสียงฮือฮา พวกเขาลืมไปได้อย่างไรว่าหลิวตงเฟิงตอนที่พาหลิวตงจวิ้นมาฝากหลิวเจี้ยนกั๋วเอาไว้ก่อนออกจากหมู่บ้านไปเขามีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด แต่ดูสถานที่ที่บุตรชายของเขาอยู่สิชาวบ้านพร้อมใจกันหันไปมองหลิวเจี้ยนกั๋วพี่ชายของหลิวตงเฟิงที่เป็นผู้รับเลี้ยงหลิวตงจวิ้นเอาไว้พร้อมกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาเห็นหลิวตงจวิ้นเติบโตมาที่เรือนสกุลหลิว เขาทำงานอย่างหนักไม่เคยได้พักต่างจากบุตรชายทั้งสองของผู้เฒ่าหลิวที่ไม่ต้องทำงานและได้ร่ำเรียนที่สำนักศึกษา แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหลิวตงจวิ้นพร่ำบ่นว่าน้อยใจหรือว่าร้ายคนตระกูลหลิวออกมาเลยสักคำ คนที่ใกล้ชิดกับหลิวตงจวิ้นต่างรู้ดีว่าเขานั้นเป็นคนที่ซื่อตรงเพียงใด นิสัยของเขาเป็นเช่นเดียวกับบิดาของเขาเอง
“อาจวิ้นเจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าหลิวที่ยืนเงียบมานายเอ่ยขึ้น
“เราเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งหลายปีเจ้าไม่คิดว่าที่ดินที่น้องชายข้าทิ้งเอาไว้ให้นั้นมันจะหมดไปเพราะเลี้ยงดูเจ้าบ้างหรือ”
ผู้เฒ่าหลิวยังคงแสดงท่าทางสุขุมเหมือนดั่งคนที่เคยร่ำเรียนมา แต่สายตาหลุกหลิกของเขานั้นเจิ้งซูอี้มองออกว่าเขากำลังคิดหาทางออกให้กับตนเอง
“เช่นนั้นท่านจะบอกว่าให้ท่านพ่อของข้ายกที่ดินทั้งหมดให้พวกท่านแลกกับการกตัญญูเช่นนั้นหรือ”
เจิ้งซูอี้เดินออกมายืนด้านหน้ากับหลิวตงจวิ้น ผู้เฒ่าหลิวขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าเป็นเพียงผู้น้อย หาใช่เรื่องที่เจ้าควรสอดปาก”
ผู้เฒ่าหลิวเอ็ดเจิ้งซูอี้เสียงขรึมแสดงท่าทางผู้ทรงภูมิและมีเหตุผลออกมา แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเจิ้งซูอี้ที่ถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลใหญ่ นางย่อมมองออกว่าผู้ใดมีความรู้จริงผู้ใดเสแสร้งแสดงออกมา ตลอดหลายปีที่นางตระเวนออกศึกกับท่านปู่และท่านพ่อของนาง ไม่มีใครเคยพูดว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อยเมื่อพวกเขาคุยกันยามวางแผนการรบเพราะทุกคนล้วนใช้ความสามารถคุยกันหาใช่ความอาวุโส
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







