บทที่ 94
ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู
พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ
ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี
ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที
วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์
ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย
กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง
หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ
เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋
กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสายตาเอ็นดู
“ยินดีต้อนรับทุกคน เข้ามาก่อนสิ” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินคุยกับลู่ซินฟางจนมาถึงสถานที่ที่เตรียมไว้
“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญนะ ข้าดีใจมาก”
“นานๆ จะมีวาสนาได้กินอาหารหรูหราสักมื้อ จะไม่ตอบรับได้อย่างไรเจ้าคะ” ลู่ซินฟางตอบกลับอย่างทีเล่นทีจริง
“ฮะฮะ เถ้าแก่เนี้ยลู่ช่างพูดเล่นเก่งจริงๆ” กงเยียนซูกล่าวพลางขบขัน ทำให้บรรยายรอบตัวของเขาทั้งผ่อนคลายและอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
เมื่อเดินมาถึงเรือนแยก ทุกคนชื่นชมทิวทัศน์รอบๆ กันสักพัก
สถานที่นี้คือเรือนขนาดกว้างขวาง ซึ่งอยู่ติดกับสวนของคฤหาสน์ มองออกไปก็เห็นทิวทัศน์ของสวนที่งดงามและบ่อน้ำ ทั้งยังมีสะพานเชื่อมระหว่างระเบียงกับบ่อน้ำด้วย ทางเดินบนสะพานมีโคมไฟจุดเรียงกันเป็นทาง เป็นคฤหาสน์ที่หรูหราไม่เบา
อิ้งเหยียนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว เห็นทุกคนมาถึง เขาก็โบกมือยิ้มทักทาย
เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ และซินหลิน พอเห็นอาจารย์อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็วิ่งเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น
“อาจารย์!”
“ค่อยๆ เดิน เดี๋ยวหกล้มเอานะ”
นอกจากจะสอนหนังสือด้วยบรรยากาศสนุกสนาน ทำให้เด็กๆ เข้าใจเนื้อหาวิชาต่างๆ ได้ง่าย อิ้งเหยียนยังเข้าอกเข้าใจเด็กแต่ละคนเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเด็กๆ จึงเปิดใจกับชายหนุ่ม
“ข้าเองก็อยากสนิทกับทุกคนเหมือนกับอิ้งเหยียนบ้าง ลู่ซินฟาง เจ้าสนใจอยากจ้างอาจารย์เพิ่มอีกสักคนหรือไม่” กงเยียนซูหันมาถามลู่ซินฟาง
“สีหน้าท่านเคร่งขรึมขนาดนี้ เกรงว่าจะทำให้เด็กๆ หวาดกลัวมากกว่าสนิทสนมด้วยนะเจ้าคะ” ลู่ซินฟางพูดพลางยิ้มอย่างจนใจ
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าออกจะหน้าตาดีขนาดนี้”
“สหายเยียนซู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาดีหรือไม่ เกี่ยวกับเสน่ห์ สรุปง่ายๆ คือเจ้าไม่มีเสน่ห์” อิ้งเหยียนเอ่ยขึ้น ทั้งยังส่ายหน้าเบาๆ ให้กับกงเยียนซูอย่างขี้เล่น
ลู่ซินฟางกับหลางไป๋พอได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมา
บทสนทนาที่เป็นกันเองของพวกผู้ใหญ่ ทำให้เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์กล้ามองใบหน้าของกงเยียนซูตรงๆ
ตอนมาถึงคฤหาสน์ เด็กแฝดทั้งสองไม่กล้ามองหน้ากงเยียนซู ยกเว้นซินหลินที่ไม่ได้หวาดกลัวกงเยียนซูแม้แต่น้อย
พอเห็นดวงตากลมโตใสแป๋วจ้องมองตนอย่างสนใจและใคร่รู้ กงเยียนซูจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เด็กทั้งสาม ย่อเข่าลงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้กับเด็กๆ
“ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวกับพวกเจ้าเลยสินะ ข้ามีนามว่าเยียนซู ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้าอีกครั้ง”
เด็กน้อยทั้งสามหันมองหน้ากัน สักพักหนึ่ง พวกเขาก็หันกลับมาแนะนำตัวกับกงเยียนซู
“ข้าเฉิงเอ๋อร์ขอรับ”
“ข้า…ข้าเป่าเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
“ข้าซินหลิน...ยังไงก็รู้จักกันแล้ว”
“เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ แล้วก็ซินหลิน พวกเจ้าคงหิวกันแล้วใช่หรือไม่”
ว่ากันว่า เด็กๆ มักมีสัมผัสที่เฉียบคม พวกเขามองรอยยิ้มของกงเยียนซูที่ไม่ได้ปั้นแต่ง พริบตาต่อมา เด็กทั้งสามก็ยิ้มตอบรับคำพูดของชายหนุ่ม
“หิวแล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงเยียนซู”
“พรืด…!”
อิ้งเหยียนพ่นเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจเมื่อได้ยินคำเรียกของเด็กๆ
กงเยียนซูตวัดสายตามองสหาย
อิ้งเหยียนเช็ดน้ำตาตรงหางตาพลางกล่าวอย่างขบขัน “ท่านลุงเยียนซู อย่ามองข้าแรงขนาดนั้นสิ เอ้า มานั่งกันได้แล้ว ท่านลุงเยียนซู เจ้าก็มานั่งได้แล้ว...นี่ ท่านลุงเยียนซู วันนี้มีเมนูอะไรหรือ แนะนำข้าทีสิ”
กงเยียนซูส่ายหน้าเอือมระอา แต่ไม่ได้โกรธ จากนั้นก็เข้าไปนั่งประจำที่
เมื่อทุกคนนั่งลงกันครบแล้ว สาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะหลายอย่าง อาหารแต่ละอย่างหน้าตาน่ากิน ทุกจานถูกตกแต่งด้วยเครื่องเคียงอย่างหรูหราและพิถีพิถัน
เจ้าเด็กแฝดมองอาหารบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย ทั้งยังกลืนน้ำลายดังอึกๆ
เป่าเอ๋อร์เป็นเด็กที่ชอบกิน นางมองจานเป็ดตุ๋นที่อยู่ตรงหน้า มือป้อมน้อยๆ ยื่นออกไปหยิบแตงกวาที่แกะสลักรูปดอกไม้แสนหรูหราข้างจาน กัดกินเสียงดัง กร๊วบ ราวกับว่าเป็นแค่แตงกวาธรรมดา
ใช่แล้ว ไม่ว่าอาหารจานนั้นจะมีเครื่องเคียงประดับหรูหราเพียงใด สำหรับเป่าเอ๋อร์แล้ว เครื่องเคียงพวกนั้นเป็นเพียงวัตถุดิบที่กินได้
ทุกคนรอบโต๊ะกะพริบตามองเด็กหญิง ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดู
“แตงกวาหวานอร่อยจัง เหมือนของสวนท่านแม่เลย!”
“วัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากร้านซินหลิน ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ นะ” กงเยียนซูบอก
เด็กหญิงพยักหน้ารัว กินแตงกวาแกะสลักหมดแล้วนางก็คีบเป็ดตุ๋นกินต่อ
เฉิงเอ๋อร์กับซินหลินเห็นน้องน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ลงมือคีบกับข้าวมากินบ้าง
เมื่อเห็นเด็กๆ กินข้าวอย่างอร่อยและมีความสุข กงเยียนซูก็รู้สึกอยากอาหารตามไปด้วย ชายหนุ่มคีบเนื้อปลาทอดผัดซอสเปรี้ยวหวานใส่ถ้วยให้เด็กๆ จากนั้นก็คีบใส่ถ้วยตัวเอง
“เนื้อปลาทอดนี้ก็อร่อยมากเลยนะ พวกเจ้าลองกินดู”
“อืมๆ”
“ขอบคุณท่านลุงเยียนซู”
กงเยียนซูยิ้มจนใจ หากก็พยักหน้าตอบรับ
“เจ้าเองก็ลองชิมดูสิ”
คราวนี้กงเยียนซูคีบกับข้าวใส่ถ้วยให้กับลู่ซินฟาง
เมื่อทุกคนลงมือกินข้าว บรรยากาศรอบโต๊ะไม่เพียงแค่อบอุ่น พวกเขาที่กินไปคุยไป ให้รู้สึกถึงความสนิทสนมอย่างเป็นกันเอง
หลังจากกินข้าวกันอิ่ม กงเยียนซูชวนลู่ซินฟางไปเดินเล่นบนสะพาน
อิ้งเหยียนชวนเด็กทั้งสาม รวมทั้งหลางไป๋นั่งกินของหวานตบท้ายอย่างมีไหวพริบ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
ภายใต้แสงสีส้มอมแดงของโคมไฟบนสะพาน กงเยียนซูมองลู่ซินฟางด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน และรอยยิ้มนุ่มนวล
“บอกตามตรง ถึงเจ้าจะมาเพื่อปฏิเสธข้า ข้าก็ไม่เสียใจ การได้กินข้าวร่วมกับพวกเจ้าทำให้ข้ามีความสุขมาก”
“ท่านพูดเกินไปแล้ว” ลู่ซินฟางพูดพลางหัวเราะคิกๆ
“เห็นพวกเขากินข้าว ข้าเองก็เจริญอาหารตาม”
“เรื่องนี้ข้าไม่ปฏิเสธ”
สายลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่ง ทั้งสองคนมองบ่อน้ำที่กระเพื่อมไหวเงียบๆ
ตอนนั้นเอง ลู่ซินฟางเปิดประเด็นขึ้นว่า “ท่านเยียนซู…”
“เจ้าพูดมาเถอะ”
ชายหนุ่มตอบโดยที่สายตายังมองผิวน้ำ
“เรื่องที่ท่านสารภาพมา ข้าลองกลับไปคิดดูแล้ว ตอนนี้ยังให้คำตอบท่านที่ชัดเจนไม่ได้”
แม้คำพูดของลู่ซินฟางไม่นับเป็นคำตอบ แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มอ่อนโยน
“การที่เจ้าลังเล หมายความว่าข้าเองก็ยังสิทธิ์อยู่บ้าง”
ลู่ซินฟางยิ้มตอบ “คงเป็นเช่นนั้น แต่ว่า...หากมีวันหนึ่งที่ท่านรอคำตอบจากข้าไม่ไหว ท่านจะเปลี่ยนใจจากข้าก็ได้ ขอแค่บอกกันตรงๆ ก็พอ”
“นี่ก็เป็นคำตอบที่ข้าคิดไว้แล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีนิ่งสงบ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็หันมองหญิงสาวตรงๆ แล้วกล่าวว่า “ลู่ซินฟาง เจ้าไม่ต้องคิดมากเรื่องของข้าหรอกนะ ใช้เวลาศึกษาความรู้สึกของข้าจนกว่าเจ้าจะแน่ใจ ไม่ว่านานสักกี่ปี ข้าก็รอเจ้าได้เสมอ”
ขณะพูดประโยคเหล่านั้น นัยน์ตาของเขาแสดงออกถึงความแน่วแน่
หัวใจของนางปั่นป่วนขึ้นมาทันที และยังรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเขา
“ท่านตอบข้าเช่นนี้ เหมือนว่าข้ากำลังเอาเปรียบท่านอยู่เลย”
“อย่าได้คิดเช่นนั้น เห็นอย่างนี้ข้าก็มีข้อเสีย เพราะการปักใจอันแน่วแน่ของข้า อาจทำให้เจ้ารำคาญก็ได้”
กงเยียนซูไม่ได้รุกคืบหนัก และไม่ได้จะถอยห่างทันทีหลังฟังคำตอบของลู่ซินฟาง ผู้ชายคนนี้เป็นคนยึดมั่น หากสนใจอะไรเป็นพิเศษก็จะเล็งสิ่งนั้นจนกว่าจะได้มา อย่างหลังนับว่าเป็นคนอันตราย แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจของลู่ซินฟางกลับไหววูบและเขินอาย
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ