เช้าวันต่อมาหญิงสาวอาการดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ เธอลุกไปปลุกต้นกล้าให้ตื่น และไปดูลูกสาวเพื่อช่วยต้นข้าวแต่งตัวไปโรงเรียน
“แม่คับ พรุ่งนี้เราจะไปทะเลกันใช่ไหม” ต้นกล้าถามแม่ไปปลุกให้ตื่นตอนเช้า
“จ้ะ อยากไปไหม” หญิงสาวตอบ เปิดตู้เสื้อผ้าของเด็กชาย พบว่ามีชุดนักเรียนของต้นกล้าครบทุกชุด ทุกวัน จนน่าสงสัยว่ามันมาได้ยังไง ศิวัชไปเอามาตอนไหน
“อยากไปคับ แล้วพ่อไปด้วยไหม” เด็กชายถามต่อ”
“พ่อต้องไปทำงานค่ะลูก จะตามไปทีหลังนะคะ” เธอจำได้คร่าวๆ ว่าศิวัชบอกเธอก่อนที่จะหลับเมื่อคืนแบบนี้
“คับ” เด็กชายถอดเสื้อผ้าเตรียมไปอาบน้ำ หญิงสาวจะช่วยลูกอาบน้ำแต่เขาปฏิเสธ
“ต้นกล้าทำเองได้คับ โตแล้วต้องอาบน้ำเองได้”
เธอไม่ขัด “งั้นแม่ไปดูน้องนะ วันนี้อยากกินอะไร”
“อยากกินไข่กระทะคับ” ต้นกล้าบอก
“โอเคงั้นเราเจอกันข้างล่างเลยนะลูก” เธอบอกก่อนจะไปดูต้นข้าวที่กำลังตื่น
“ตื่นรึยังคะคนสวยของแม่” เธอเรียกลูกสาว
“ตื่นแล้วค่ะ” เสียงเล็กๆ ตอบ
“วันนี้เราจะกลับมานอนบ้านนี้ไหมคะแม่” ต้นข้าวถาม เธอมองหน้าลูก
“หนูว่าไงล่ะคะ อยากมาไหม”
“อยากค่ะ แต่ถ้าไปนอนบ้านโน้นก็ได้ถ้าพ่อไปด้วย” ต้นข้าวตอบตามตรง
คนเป็นแม่สะท้อนใจ เธอเคยเชื่อมาตลอดว่าความรักของเธอและครอบครัวที่มีให้เด็กทั้งคู่ มันเพียงพอที่จะทดแทนคำว่า 'พ่อ' ได้ แต่วันนี้หญิงสาวรู้แล้วว่ามันแทนกันไม่ได้
“ถ้าหนูอยากมาก็ได้ค่ะ แล้วจะอยากไปทะเลกับแม่รึเปล่าพรุ่งนี้” เธอถามยิ้มๆ
“อยากไปค่ะ พ่อบอกว่าให้หนูกับแม่ไปก่อน พ่อไปโรงเรียนสามวันแล้วจะตามไป” ต้นข้าวเล่าจ๋อยๆ
“ค่ะลูก” หญิงสาวเออออ
“แม่ขา พ่อยังต้องไปเรียนเหรอคะ ทำไมแม่ไม่เห็นต้องไปเรียนล่ะคะ” อรุณีมาลาหัวเราะเมื่อได้ยินคำถาม
“พ่อไปโรงเรียนแต่พ่อไม่ได้ไปเรียนค่ะ พ่อหนูเป็นคุณครู”
“หนูอยากไปเรียนกับพ่อ” เธอบอก
“งั้นหนูก็ต้องรีบโตกว่านี้ค่ะ” หญิงสาวคุยกับลูกไปด้วย พาอาบน้ำแต่งตัวไปด้วย จนลงมาชั้นล่างจึงบอกแม่บ้านให้เตรียมไข่กระทะให้เด็กๆ
“ออหายแล้วเหรอ” ศิวัชนิ่วหน้าเมื่อเจอเธอที่ชั้นล่าง เขาลงมาพร้อมกับต้นกล้า
“ค่ะ อยากไปเคลียร์งานค้างที่โรงแรมก่อนไปกระบี่พรุ่งนี้” เธอตอบ
“ถ้าวันนี้รีบไปทำงาน พี่ว่าวันต่อไปออคงไข้กลับไม่ต้องไปไหนกันพอดี” เขาออกความเห็น
“คุณไม่ใช่หมอนะ”
ประโยคนั้นของอรุณีมาลาทำให้เขามองเธอนิ่งก่อนจะพูดว่า
“พี่ไม่ได้เป็นหมอแต่พี่เป็นห่วง
เช้านั้นศิวัชไปส่งลูกเข้าโรงเรียนและเลยไปส่งอรุณีมาลาที่บ้านเพราะเธอต้องการไปเตรียมของไปกระบี่พรุ่งนี้
“พี่เข้าม.แปบเดียว เดี๋ยวพี่มารับนะครับออ ไม่เกิน 2 ชม.” ชายหนุ่มสั่งก่อนเมื่อจอดรถหน้าบ้านของเธอ
“ค่ะ” เธอเดินหายไปในบ้าน
อรุณีมาลาเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปกระบี่ใส่กระเป๋าไว้ ทั้งของเธอและของเด็กๆ กะว่าน่าจะพอใช้ได้สัก 7 วันสบายๆ ระหว่างที่รื้อหากระเป๋าเดินทางเธอพบอัลบั้มรูปที่เก็บไว้ มันเป็นรูปถ่ายตั้งแต่ช่วงที่เธอตั้งครรภ์
หญิงสาวเปิดมันดูทีละภาพ ความทรงจำเก่าค่อยๆ คืนกลับมาในความคิดตั้งแต่เธอตั้งครรภ์ ภาพอัลตราซาวน์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ ไปจนถึงเมื่อต้นกล้าและต้นข้าวคลอดออกมา ภาพที่เธอฉลองรับปริญญาโดยที่มีลูกฝาแฝดวัยหนึ่งขวบครึ่งร่วมอยู่ในภาพ จนมาถึงภาพที่เธอและลูก และอรุณประภากลับมาเมืองไทยพร้อมกัน
“ออทำอะไรอยู่ครับ” ศิวัชกลับจากมหาวิทยาลัย เขาเห็นบ้านเงียบๆ จึงเข้ามาดู พบว่าเธอนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นพรมเปิดสมุดอัลบั้มภาพเงียบๆ
“พี่ขอดูด้วยได้ไหม” ชายหนุ่มดึงอัลบั้มภาพนั้นจากมือเธอมาดู เขาเปิดทีละหน้าด้วยใจที่เต้นแรงแต่เมื่อดูจบ ความรู้สึกอีกส่วนก็คือความสำนึกผิด ชายหนุ่มคิดย้อนไปเมื่อ 5 ก่อน
"ช่วงนี้พี่ต้องเร่งธีสิต พี่คงไม่มีเวลาดูแลออ เราเลิกกันเถอะ"
หญิงสาวมองเขาอย่างตกใจ
"พี่วัชล้อเล่นเหรอคะ ไม่พูดแบบนี้สิ" หากแต่แววตาของเขาไม่มีแววล้อเล่น
"แต่ออกำลัง.." เธอพูดไม่จบ เขายกมือขึ้นบอกว่า
"พี่คิดดีแล้ว ที่ผ่านมาถ้าพี่ทำให้ออเข้าใจผิด พี่ขอโทษนะ พี่ขอให้ออเรียนจบกลับไทยไวๆ นะครับ"
ศิวัชเข้าใจแล้ว คำพูดที่เธอพูดค้างและเขาเป็นฝ่ายตัดบทคือเธอกำลังจะบอกว่าตัวเองท้อง เขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่ฟังไม่ใช่ว่าอรุณีมาลาไม่บอก เขาไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่าเธอหน้าตาซีดเซียวเพราะกำลังแพ้ท้อง
“ออ...พี่ขอโทษ ขอโทษที่คิดแต่เรื่องของตัวเองมองแค่ในมุมของตัวเอง ถ้าวันนั้นพี่ฟังว่าออจะบอกอะไรเราคงไม่มีวันนี้” ชายหนุ่มมองอรุณีมาลาที่ยืนมองไปนอกหน้าต่าง นานมากในความรู้สึกของเขากว่าที่เธอจะตอบ
“เรื่องมันผ่านมาแล้วค่ะ มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก”
“แต่เราเริ่มกันใหม่ได้ พี่จะเป็นพ่อที่ดีให้ลูกจะเป็นสามีที่ดีของออ ออจะให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหม”
หญิงสาวหันมามองเขา
“ฉันจะให้คำตอบคุณ หลังจากที่กลับจากกระบี่ค่ะ”
เย็นนั้นอรุณประภาไปนอนที่บ้านของศิวัช เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด ชายหนุ่มช่วยอรุณประภายกกระเป๋าลงมาจากรถของเธอ
“ผมจัดห้องไว้ให้คุณพิณแล้วครับ จะให้เด็กพาไปเลยไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิณนอนกับออนะ” อรุณีมาลาพูดกับพี่สาวฝาแฝด
“ออหายไข้รึยังครับ จะติดคุณพิณรึเปล่า” ศิวัชทักท้วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณวัช ไข้นิดๆ หน่อยๆ แค่นี้เองไม่มีปัญหา เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลามาทั้งชีวิตแล้ว” อรุณประภาพูด
สิบสองปีต่อมา ณ เกาะพยาม อธิปหรือต้นกล้ายืนมองทะเลไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เขาเพิ่งกลับจากการไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา ชายหนุ่มเรียนจบแล้วและตั้งใจจะมาอยู่ที่นี่สักพัก ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อปริญญาโทแต่วันนี้บ้านพักที่เคยสงบกลับเต็มไปด้วยผู้คนเพราะเป็นงานวันเกิดของนายหัวภาคย์ คุณปู่ของเขาเอง อธิปไม่ชอบคนเยอะเขาจึงปลีกตัวออกมาหาความสงบตามลำพัง“ต้นกล้า” เสียงเรียกของผู้หญิงคนที่เขารักที่สุดดังอยู่ด้านหลัง “คุณแม่” เขาหันกลับไปหาอรุณีมาลา แม่ของเขาในวัยสี่สิบสี่ยังสวยพริ้งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยังทำให้พ่อเขาหึงได้อยู่เสมอ“แม่เดินหาลูกตั้งนาน มาทำอะไรตรงนี้” เธอถามลูกชายที่โตขึ้นผิดหูผิดตา ก่อนที่เขาจะจากไปเรียนต่อในตอนอายุ 17 ปีต้นกล้ายังเป็นวัยรุ่น แขนขายาวเก้งก้างแต่สี่ปีผ่านไปเขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัว ตัวสูงกว่าเธอเสียอีก“ผมไม่ค่อยชอบคนเยอะเลยครับแม่ รำคาญ” คำพูดของลูกชายทำให้เธอหัวเราะ“วันนี้มีแต่พี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้นเลยลูก” เธอหมายถึงต้นข้าวและต้นน้ำ และบรรดาหลานๆ เช่น ไอย่าลูกสาวของอัญญาและเมฆา อัครินทร์และมุกจันทร์ ลูกชายลูกสาวของอรุณประภาและคิรินทร์
เวลาผ่านล่วงเลยมาสี่ปี เด็กชายต้นกล้าในวัยเก้าขวบเขาบอกมารดาว่า“คุณแม่ ต้นกล้าอยากย้ายไปอยู่กับคุณปู่คับ”อรุณีมาลาเงยหน้าขึ้นมองลูกชาย“ลูกเพิ่งเรียนเกรด 3 เองนะลูก ที่นั่นไม่มีนานาชาติให้ไปต่อนะ”“เปิดเทอมหน้าต้นกล้าก็เรียนเกรด 4 แล้วคุณแม่ ปู่บอกว่าถ้าอยากไป ก็เรียนโรงเรียนประจำที่ภูเก็ตได้ ปิดเทอมกลับไปอยู่กับคุณปู่” เด็กชายพูด“ต้นกล้าไม่อยากอยู่กับแม่แล้วเหรอ” หญิงสาวเริ่มน้อยใจลูกชายนิดๆ ศิวัชเดินเข้ามาในห้องเขาได้ยินพอดี ชายหนุ่มวางมือบนบ่าของเธอเป็นเชิงให้ใจเย็น“ลูกไม่เคยเรียนโรงเรียนประจำจะอยู่ได้เหรอลูก” เขาถามต้นกล้า“ปู่บอกว่าพ่อก็เคยเรียน พ่ออยู่ได้ต้นกล้าก็ต้องอยู่ได้ครับ” เด็กชายตอบหนักแน่นศิวัชหันไปถามต้นข้าว “ต้นข้าวล่ะลูก หนูอยากไปไหม” เด็กหญิงส่ายหน้า “หนูอยากอยู่กับพ่อแม่ค่ะ” “คืนนี้พ่อจะคุยกับคุณปู่อีกที ปิดเทอมนี้ต้นกล้าไปเยี่ยมคุณปู่ตามปกติก่อนแล้วกันลูก” ศิวัชสรุปคืนนั้นศิวัชคุยกับอรุณีมาลา เขารอจนเธอลมหายใจสงบเป็นปกติจากบทรักหนักหน่วง ชายหนุ่มดึงร่างเธอมากอดลูบแผ่นหลังเรียบเนียน“เรื่องต้นกล้า ออคิดยังไง” “ออเป็นห่วงลูกค่ะ ต้นก
หลังจากที่คู่แต่งงานใหม่ใช้เวลาด้วยกันตามลำพังสามวัน คุณปู่คุณย่าก็พาเด็กๆ ตามมาสมทบที่เกาะพยาม และเพราะว่าอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนของเด็กๆเช้านี้นายหัวภาคย์มีแผนจะพาเด็กๆ ไปชมปะการังโดยขึ้นเรือท้องกระจกขนาดใหญ่ ศิวัชสวมเสื้อชูชีพให้ต้นกล้าและต้นข้าว เด็กชายถามบิดาว่า“แล้วเราจะลงไปดูในทะเลจริงๆ ได้ไหมคับพ่อ”“ได้ลูก แต่ลูกต้องโตกว่านี้แล้วไปเรียนดำน้ำก่อนครับ” ศิวัชตอบลูกชายที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านคุณปู่“ต้นข้าวไม่เห็นอยากลงไปเลย แม่บอกว่าเดี๋ยวตัวดำ” เด็กหญิงพูดขึ้นบ้าง“นี่มันเรื่องของลูกผู้ชาย” ต้นกล้าหันไปพูดกับน้อง เขาจำคำพูดของปู่มาใช้“ไปกันลูกเรียบร้อยแล้ว ห้ามดื้อ ห้ามโผล่หน้าออกนอกเรือ เข้าใจไหมครับ” ดร.หนุ่มบอกลูกแฝดต้นข้าวไม่เท่าไร เขากลัวต้นกล้าจะทำอะไรแผลงๆ มากกว่าเริ่มสายทั้งหมดจึงลงเรือกัน เรือที่ใช้วันนี้เป็นเรือขนาดใหญ่ มีที่ให้เดินหรือนั่งนอนได้ตามสบายตรงกลางท้องเรือเป็นแผ่นกระจกหนาเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 2.5 เมตร ทว่า..เด็กชายต้นกล้ากลับไปสนใจมองปะการังนอกตัวเรือ เขาชะโงกหน้าออกไปเรื่อยๆ “ต้นกล้า หยุ
งานแต่งงานของศิวัชและอรุณีมาลาถูกกำหนดขึ้นในอีกสองเดือนหลังจากนั้น ยิ่งช่วงใกล้วันงานทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ยิ่งมีเรื่องวุ่นวาย คุณศิตามาอยู่ยาวที่กรุงเทพฯ เพื่อช่วยเตรียมงานล่วงหน้าถึง 1 เดือนงานนี้มีเพื่อนเจ้าสาวเพียงคนเดียวคืออรุณประภา ซึ่งอรุณีมาลาต้องการให้เป็นแบบนั้น เธอถือว่าพวกเธออยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิดดังนั้นในวันสำคัญของชีวิต เธอต้องการให้คู่แฝดรับหน้าที่นี้เพียงคนเดียวส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวอรุณีมาลาขอว่าเธอจะเลือกเอง เธอต้องการให้สีหราชซึ่งเคยแนะนำให้เธอกับศิวัชพบกันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีอย่างยิ่งในวันลองชุดของหนุ่มสาวสี่คน ซึ่งเป็นร้านเดียวกันในระหว่างที่สองสาวฝาแฝดอยู่ด้วยกันในห้องแต่งตัว“ออจะไปฮันนีมูนที่ไหนนะ” พี่สาวถาม“จะไปเกาะพยามน่ะ ไปรอบที่แล้วมัวแต่ทะเลาะกัน ไม่ได้ดูอะไรเลย” อรุณีมาลาพูดปนหัวเราะนิดๆ“พิณดีใจด้วยที่ออมีความสุขสักที” อรุณประภาดีใจกับคู่แฝด เธอไม่เห็นอรุณีมาลาหัวเราะได้จริงๆ มานานแล้ว“จะดีกว่านี้ถ้าเราได้แต่งพร้อมกัน” แฝดน้องพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพวกเธอออกมาจากห้องแต่งตัว อรุณีมาลาในชุดไทยจักรพรรดิสีงาช้าง ส่วนอรุณประภาสวมชุดไทย
อรุณีมาลานอนโรงพยาบาลสองวันหมอจึงให้กลับได้ ในเช้าวันที่จะกลับบ้านเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของตัวเองที่แม่บ้านจัดมาให้ ศิวัชเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่เขาไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยามาให้แล้ว“นี่ยานะครับออ” เขาวางถุงยาไว้บนโต๊ะ หญิงสาวเดินมานั่งที่เก้าอี้สำรวจถุงยาว่ามีอะไรบ้าง“ส่วนนี่พี่ซื้อกาแฟมาให้กับขนม” เขาวางกาแฟกับขนมถัดไปจากยา หญิงสาวพึมพำขอบคุณ“ส่วนนี่อีกอย่างครับ แม่พี่ให้มา” เขาวางกล่องกำมะหยี่ลง หญิงสาวมองของแล้วมองหน้าเขาศิวัชนั่งลงกับพื้นตรงหน้าเธอ “วันนี้ออจะได้กลับบ้านที่เป็นบ้านของเรา พี่อยากทำให้ถูกต้อง ไม่อยากให้ใครเอาออไปพูดเสียๆ หายๆ ออแต่งงานกับพี่นะครับ พี่จะได้ดูแลออได้เต็มที่” อรุณีมาลามองหน้าเขา ศิวัชเปิดกล่องแหวนมันเป็นแหวนมรกตน้ำงามล้อมรอบด้วยเพชร“แหวนนี่เป็นแหวนเก่าของท่านตาใช้สวมในท่านยายในวันแต่งงานของท่าน ตกทอดมาถึงคุณแม่ที่เป็นลูกคนเดียวแล้ววันนี้มันจะเป็นของออช่วยรับไว้เก็บไว้ให้ต้นข้าว ในวันแต่งงานของต้นข้าวนะครับ” “แต่งงานเหรอคะ” เธอพึมพำ“ครับ ถ้าออตกลงพ่อกับแม่พี่จะคุยกับคุณอัญ พี่อยากบอกออว่าทั้งหมดที่ผ่านมาพี่รักออ อยากอยู่ใกล้
หญิงสาวตื่นมาอีกทีในตอนเช้าของอีกวัน เวลาเดียวกับที่ศิวัชเปิดประตูห้องน้ำออกมา“พี่ทำออตื่นเหรอเปล่า” เขามองหน้าเธออย่างเป็นห่วง อังมือกับหน้าผากของเธอทำท่าโล่งใจ“ดีนะ ออไม่มีไข้”“กี่โมงแล้วคะ ลูกล่ะ” เธอถาม“ตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าเอง ลูกอยู่กับแม่น่ะออ แม่กับพ่อมาถึงเมื่อคืนตอนเที่ยงคืน ออหลับอยู่พี่เลยไม่ได้ปลุก”“ค่ะ เลยทำคนอื่นลำบากกันไปหมด” “อย่าพูดแบบนั้น ทุกคนที่พูดถึงก็ครอบครัวทั้งนั้น” ศิวัชปลอบ รู้ว่าอรุณีมาลายังกลัวอยู่ “ออย้ายไปอยู่บ้านพี่นะ” ศิวัชบอกเมื่อเห็นเธอพยักหน้าเขาจึงพูดต่อว่า“เดี๋ยวพี่ให้คนไปเก็บของให้ ถ้าออยังกลัวก็ไม่ต้องไปเอง”“อิ๋วด้วยนะคะ ให้มาอยู่ดูแลเด็กๆ ด้วยได้ไหม” อรุณีมาลาห่วงคนของตัวเอง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างโดนทำร้ายอะไรตรงไหนเธอยังไม่ทันได้ดูเลย“ได้จ้ะ พี่ให้คนของออตรวจร่างกายแล้วเมื่อคืน หมอบอกว่าไม่มีอะไรมาก ฟกช้ำนิดหน่อยตรงข้อมือที่ถูกมัด พี่เลยให้ไปอยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อคืน จะได้อยู่เป็นเพื่อนต้นกล้าต้นข้าวด้วย” ศิวัชพูดเสียงนุ่ม“ขอบคุณค่ะ” อรุณีมาลาสบายใจขึ้นบ้าง“ออหิวไหม อยากกินอะไรรึเปล่าพี่ลงไปซื้อให้นะ” เธอส่ายหน้า “เจ