로그인“คุณชายหยวน ท่านอย่าพูดเพ้อเจ้อ ประเดี๋ยวจะทำให้นางเสียหาย”
“เป็นห่วงเป็นใยนางเสียเหลือเกิน ข้าจะรอดูว่าในอนาคตสตรีที่ท่านแต่งเข้าจวนจะเป็นผู้ใดกันแน่”
“เช่นนั้นข้าคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว เพราะข้ายังไม่คิดแต่งฮูหยินเข้าจวน”
“โบราณว่าเกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น ข้าว่าท่านระวังไว้หน่อยก็ดี หากผิดพลาดขึ้นมาได้แต่งกับสตรีอีกคนจะทำอย่างไร”
“...” โจวเฟิ่งฉีขี้คร้านจะตอบโต้กับชายหนุ่มตรงหน้าจึงได้เดินหนีไปอีกทาง
ทางฝั่งของโถงจื่อรุ่ยที่รวบรวมแขกสตรีทุกคนมาไว้ที่นี่ ทุกคนต่างคุยกันออกรสออกชาติราวกับว่ามิได้พานพบกันเสียนาน
“แม่นางเซียว ท่านกับแม่นางเยว่แต่งตัวต่างกันราวฟ้ากับดินเลยนะเจ้าคะ” แม่นางอีกคนเอ่ยขึ้น พลันทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำกล่าวเมื่อครู่หันมามองนางเป็นตาเดียว
“จริงด้วย หรือว่าครอบครัวของนางถังแตก ทำให้แม้แต่เสื้อผ้าดี ๆ ยังไม่มีใส่ หากข้าเป็นนางข้าคงไม่กล้าก้าวเท้าออกจากจวนแน่”
“ข้าว่าไม่น่าเป็นดังที่เจ้าพูด เมื่อไม่นานมานี้สกุลเซียวเพิ่งได้กำไรก้อนโตจากการขายเกลือให้พระราชวังมิใช่หรือ”
“ไม่แน่ว่าอาจขาดทุนจากการค้าขายครั้งนี้ก็เป็นได้ ที่บอกว่าได้กำไรคงเพราะไม่อยากอับอายกระมัง”
ม่านเหม่ยไม่ได้สะทกสะท้านอันใดกับคำพูดของสตรีสูงศักดิ์พวกนี้ นางเพียงนั่งจิบชาอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น เพราะจิตใจของนางล่องลอยไปหารองแม่ทัพโจว อีกไม่นานจะถึงวันเกิดของเขาแล้ว ทว่านางยังไม่ได้จัดเตรียมสิ่งใดให้เขา เมื่อสองปีก่อนนางมองหยกราคาแพงให้เขาไว้ห้อยข้างเอว แต่ชายหนุ่มไม่เคยหยิบหยกชิ้นนั้นมาใช้สักครั้ง ส่วนปีที่แล้วนางมอบถุงหอมที่ปักลวดลายก้อนเมฆให้เขาเองกับมือ แต่ก็ไร้ประโยชน์อีกเช่นเคย
“แม่นางเซียว เจ้าไม่พูดคัดค้านอะไรบ้างหรือ” จางจวินลี่เอ่ยถามสตรีด้านข้างด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากเป็นนางคงสวนกลับไปบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่กลับสตรีนางนี้ นอกจากนางจะไม่โต้ตอบอันใดแล้ว นางยังนั่งเหม่อลอยไม่ได้สนใจเหตุการณ์ตรงหน้าสักนิด
“พะ...พูดอะไรหรือ” นางถามขึ้น ยามสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด
“แม่นางพวกนั้นกล่าวหาว่าตระกูลเซียวตกอับจนไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ เพราะพวกนางเห็นเจ้าแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ถึงได้คิดดูแคลน”
“ข้าไม่สนใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้นหรอก พวกนางอยากพูดอะไรก็ตามแต่ใจต้องการเถิด”
“เจ้าช่างแปลกคนนัก แต่ข้าไม่อาจทนได้เมื่อเห็นผู้อื่นถูกใส่ร้ายป้ายสี”
“แม่นางจาง เจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง อันที่จริงเพราะท่านยายของข้าป่วย ข้าจึงได้ถือศีลภาวนาเพื่อขอพรให้ท่านยายหายป่วย ข้าไม่อยากพิรี้พิไรแต่งตัวงดงามโดยไม่สนใจอาการป่วยของท่าน วันนี้ถึงได้แต่งตัวเช่นนี้” นางตอบกลับ เดิมทีนางกับแม่นางสกุลจางเคยพบกันหลายคราตามงานเลี้ยงต่าง ๆ ทว่ายังไม่เคยพูดจากันเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ จึงได้แปลกใจอยู่บ้างที่นางดูกล้าหาญจริงใจราวกับบุรุษ
“ที่แท้เป็นเพราะเจ้ากตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าหยวน”
“งานเลี้ยงวันนี้สกุลเยว่ของเราตั้งใจจัดงานเลี้ยงขึ้นมาเป็นการฉลองที่สามีข้าได้กลับมารับราชการในเมืองหลวงอีกครั้ง ขอให้พวกท่านทุกคนร่วมดื่มกินกันให้เต็มที่” ฮูหยินเยว่พูดเสียงดัง เหตุเพราะผู้คนในงานมัวแต่สนใจการแต่งตัวของสตรีตระกูลเซียวมากกว่าตัวเอกของงานอย่างลูกสาวของนาง
“วันนี้แม่นางเยว่อิน แต่งตัวหรูหรางดงามสมแล้วที่เป็นลูกสาวคนสำคัญของใต้เท้าเยว่”
“ลูกสาวของฮูหยินเยว่สง่างามเช่นนี้ ไม่ทราบว่านางมีคู่หมั้นแล้วหรือยัง หากยังข้าจะให้แม่สื่อมาสู่ขอ” ฮูหยินหลิวแทรกขึ้น
“ลูกสาวของข้าคนนี้นางยังไม่มีคู่หมั้น แต่เร็ว ๆ ข้ากับใต้เท้าเยว่คิดหาบุรุษดี ๆ ให้นางแต่งด้วยสักคน”
“ใครได้แม่นางเยว่เป็นสะใภ้คงโชคดีที่สุดในเมืองหลวง แต่ถ้าหากได้แม่นางสกุลเซียวคงไม่พ้นเจอเรื่องหนักใจ เจ้าเห็นการแต่งตัวของนางรึไม่ ไม่ให้เกียรติงานเลี้ยงตระกูลเยว่เลยแม้แต่น้อย”
“นี่ท่าน!” ก่อนที่จางจวินลี่จะสวนกลับแทนนาง ม่านเหม่ยคว้ามือนางไว้เสียก่อนเป็นการบอกให้นางใจเย็นลง พร้อมกับลุกขึ้นยืนหันหน้าไปยังกลางห้องโถง
“ต้องขออภัยฮูหยินเยว่ที่วันนี้ข้าแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ เป็นเพราะท่านยายของข้าล้มป่วยข้าจึงไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นมาแต่งตัวให้สมฐานะได้ ข้าไม่อยากเป็นหลานอกตัญญูน่ะเจ้าค่ะ” ทันทีที่นางพูดจบประโยคสตรีทั้งหลายมีสีหน้าเจื่อนลง
“แม่นางเซียว เจ้าทำถูกแล้ว บุตรหลานต้องกตัญญูต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอันดับแรก”
“แม่นางเซียวกตัญญู แต่แม่นางเยว่อินประโคมสวมเครื่องประดับเต็มตัวเช่นนี้ข้าว่าช่างเหมือน...”
“เหมือนอะไรงั้นหรือ”
“เหมือนไก่ป่าที่เพิ่งเข้าเมืองหลวง” จางจวินลี่หัวเราะเล็กน้อยพาลทำให้สตรีที่ได้ยินหัวเราะไปตาม ๆ กัน ฮูหยินเยว่ได้แต่แต่กำหมัดแน่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของนางปั้นยิ้มอยู่
“คุณชายหยวน ท่านอย่าพูดเพ้อเจ้อ ประเดี๋ยวจะทำให้นางเสียหาย” “เป็นห่วงเป็นใยนางเสียเหลือเกิน ข้าจะรอดูว่าในอนาคตสตรีที่ท่านแต่งเข้าจวนจะเป็นผู้ใดกันแน่” “เช่นนั้นข้าคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว เพราะข้ายังไม่คิดแต่งฮูหยินเข้าจวน” “โบราณว่าเกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น ข้าว่าท่านระวังไว้หน่อยก็ดี หากผิดพลาดขึ้นมาได้แต่งกับสตรีอีกคนจะทำอย่างไร” “...” โจวเฟิ่งฉีขี้คร้านจะตอบโต้กับชายหนุ่มตรงหน้าจึงได้เดินหนีไปอีกทาง ทางฝั่งของโถงจื่อรุ่ยที่รวบรวมแขกสตรีทุกคนมาไว้ที่นี่ ทุกคนต่างคุยกันออกรสออกชาติราวกับว่ามิได้พานพบกันเสียนาน “แม่นางเซียว ท่านกับแม่นางเยว่แต่งตัวต่างกันราวฟ้ากับดินเลยนะเจ้าคะ” แม่นางอีกคนเอ่ยขึ้น พลันทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำกล่าวเมื่อครู่หันมามองนางเป็นตาเดียว “จริงด้วย หรือว่าครอบครัวของนางถังแตก ทำให้แม้แต่เสื้อผ้าดี ๆ ยังไม่มีใส่ หากข้าเป็นนางข้าคงไม่กล้าก้าวเท้าออกจากจวนแน่” “ข้าว่าไม่น่าเป็นดังที่เจ้าพูด เมื่อไม่นานมานี้สกุลเซียวเพิ่งได้กำไรก้อนโตจากการขายเกลือให้พระราชวังมิใช่หรือ”
“ช่วยหยิบชุดที่ท่านแม่ให้คนสั่งตัดเพื่อใช้ในงานเลี้ยงครั้งนี้มาที รวมทั้งเครื่องประดับด้วย” “เจ้าค่ะ” ท้ายที่สุดหญิงสาวไม่อาจทัดทานคำสั่งของมารดาจึงได้สวมอาภรณ์พร้อมเครื่องประดับราคาแพงเหล่านั้นอย่างจำยอม แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่จะทำอันใดได้ เดิมทีนางหวังเพียงว่าจะไม่ถูกคนในงานเลี้ยงหาว่านางแต่งตัวโอ้อวดฐานะจนเกินหน้าเกินตาผู้อื่นถึงได้คิดแต่งตัวเรียบง่าย ในใจของนางย่อมรู้ดีกว่าผู้ใดว่ามารดาของนางเป็นคนทะเยอทะยานมากเพียงใด แม้ภายนอกดูสูงส่งแต่ภายในคนในสกุลเยว่และสกุลไห่ย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้คนมองเข้ามาบางทีอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เซียวม่านเหม่ยได้รับเทียบเชิญจากตระกูลเยว่ด้วยเช่นกัน คืนนี้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงคนเดียว เหตุเพราะบิดาและมารดาเดินทางไปถือศีลที่วัดเพื่อขอพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหยวนหายป่วยในเร็ววัน “คุณหนู ท่านแต่งตัวเรียบง่ายเกินไปรึไม่” ฝูเยี่ยนถาม เมื่อเห็นการแต่งกายของเจ้านาย นางสวมเพียงอาภรณ์ธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาแพงหากเทียบกับชุดของบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงทั้งยังสวมใส่เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น “ทำไมหรือ” นาง
ครั้นถึงเวลาอาหารเย็นสามคนพ่อแม่ลูกได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน "ท่านแม่ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเจ้าคะ" นางถาม ยามเห็นมารดาเอาแต่จ้องหน้าไม่วางตา "เฮ้อ เจ้าน่ะไม่อยากออกเรือนข้ากับพ่อเจ้าหาได้บังคับ แต่เจ้าควรทำตัวเป็นสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนบ้างเถิด มีสตรีใดบ้างที่ทำเช่นเจ้า สองปีผ่านไปแล้วข้ายังไม่เห็นท่าทีว่ารองแม่ทัพ โจวจะมีใจให้เจ้าสักนิด" "ฮูหยิน" ใต้เท้าเซียวเรียกน้ำเสียงนิ่งงันประดุจสายน้ำเงียบสงบ ดูเอาเถิดบุตรสาวคนเดียวของเขาน้ำตาแทบจะไหลร่วงลงบนชามข้าวอยู่แล้วยามได้ยินคำพูดนั้นของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดา แม้จะเป็นความจริงแต่เขามิอาจทนเห็นน้ำตาของนางได้ "ท่านพี่ ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงนางนะเจ้าคะ ลูกสาวเราหาใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ บุรุษในเมืองหลวงต่างอยากแต่งนางเป็น ฮูหยินด้วยกันทั้งนั้น แต่นางกลับไม่ไยดี มัวแต่สนใจบุรุษที่ไม่ได้รักตัวเอง" "เจ้าพูดเกินไปแล้ว" "ความทุ่มเทของข้าจะต้องสำเร็จในสักวันเจ้าค่ะ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นข้าจะไม่ละความพยายามเป็นอันขาด" "แม้ว่าเจ้าจะแก่ชราจนผมกลาย
“แม้ท่านจะพูดจาร้ายกาจกับข้า แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้หรอกเจ้าค่ะ แม้จะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ตามข้าจะทำให้ท่านมีใจให้ข้าให้ได้” “เช่นนั้นเจ้าก็จงฝันไปก่อนเถิด ข้าไม่มีวันคิดเช่นนั้นกับเจ้าแน่” “คุณหนู” บ่าวรับใช้จวนตระกูลโจววิ่งหน้าตั้งมาหาม่านเหม่ย “เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” “ใต้เท้าให้บ่าวรับใช้เรียกท่านกลับจวนขอรับ” “ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ” นางหันไปบอกชายหนุ่ม ทว่าไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา “…” หลังจากที่เซียวม่านเหม่ยกลับไปแล้ว เยว่อินได้ซักไซ้เขาต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด “ดูท่าแล้วนางคงชอบพอท่านน่าดู แล้วเหตุใดท่านถึงได้แสดงท่าทีหยาบคายใส่นางมากถึงเพียงนั้น” นางถาม เหตุเพราะตั้งแต่รู้จักเขา ไม่เคยมีสักคราที่ชายหนุ่มจะหยาบคายใส่ผู้ใดอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้มาก่อน “เป็นเพราะนางตามตอแยข้าไม่เลิก สตรีอื่นเพียงแค่ข้าเอ่ยปากไล่อ้อม ๆ พวกนางก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่มิใช่กับเซียวม่านเหม่ย ข้าไล่นางนับครั้งไม่ถ้วน เคยบอกนางตามตรงตั้งหลายหนแ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอตัวก่อนนะเจ้าคะ" เสียงใสเอ่ยบอกบิดาและมารดา พร้อมกับก้าวขาลงจากเรือนไปโดยไม่ได้รอให้ทั้งคู่อนุญาต "ลูกสาวของพวกเรา นางรีบร้อนออกไปที่ใดรึ" "เฮ้อ จะที่ใดได้ล่ะเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่จวนตระกูลโจว" ฮูหยินเซียวตอบสามี หลังถอนหายใจอย่างระอา นี่ก็เกือบสองปีแล้วนับตั้งแต่บุตรสาวของนางได้พบกับรองแม่ทัพโจวหรือคุณชายเฟิ่งฉีที่แม่นางทั้งหลายเคยเรียกบุรุษรูปงามเช่นเขา ก่อนจะเข้ารับราชการในตำแหน่งรองแม่ทัพ "ฮูหยิน เจ้าจะถอนใจไปไย หากม่านเหม่ยชอบพอรองแม่ทัพโจวมากถึงเพียงนี้พ่อแม่อย่างเราจะทำอันใดได้ นอกเสียจากคอยดูอยู่ห่าง ๆ" "แต่ลูกเราเป็นสตรีนะเจ้าคะ มีแต่จะเสียหาย วัน ๆ นางเอาแต่วิ่งตามท่านรองแม่ทัพ แม่อย่างข้าเห็นแล้วก็อดทุกข์ใจไม่ได้" "คอยดูอีกสักหน่อยเถิด หากรองแม่ทัพโจวมีใจให้ลูกสาวเราพอถึงตอนนั้นข้าจะออกหน้าขอเกี่ยวดองกับตระกูลโจวด้วยตัวเอง" "แล้วถ้าหากท่านแม่ทัพไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับนาง ท่านพี่จะทำเช่นไร" "ข้าจะทำเช่นไรได้เล่า ถ้าเป็นดังที่เจ้าว่าก็ถือเสียว่าทั้งคู่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเคียงคู่กัน"







