คาบเรียนชั้นปี 3
“เจสสิก้า การ์เซีย!!!” เสียงแหลมดังของอาจารย์ที่อธิบายคาบตัวเองอยู่ตรงหน้าได้ดังขึ้น ทุกสายตาในห้องต่างจับจ้องมาที่เธอ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแถมยังนอนหลับอย่างสบายใจไม่ยอมตื่น ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ฟิ้ว~ นำพาหญิงสาวที่นั่งตรงกับหน้าต่างหลับไหลเย็นสบาย “ดูสิ ตอนเธอนอนยังสวยเลยอ่ะ!” “นั่นสิ ฉันล่ะ อิจฉาจริงๆ” “สวยตรงไหน สู้ฉันไม่ได้สักนิด!” ปากคนในห้องเริ่มไม่อยู่นิ่ง พากับซุบซิบต่างๆนาๆจนลืมไปว่าด้านหน้ายังมีอาจารย์ที่ยืนเท้าเอวมองอยู่ “ทุกคนเงียบค่ะ!!” “เจสสิก้า!! ฉันเรียกไม่ได้ยินรึไง!!!” อาจารย์ส่งเสียงดังซํ้านํ้าเสียงหงุดหงิด ทำให้หญิงสาวยอมตื่นขึ้นมา แต่สีหน้าเธอนั้นนิ่งเย็นยะเยือก สายตาจับจ้องไปทางครูอย่างนิ่งงัน “เธอนี่พูดไม่เคยฟังเลยจริงๆ! ฉันเตือนกี่ครั้งแล้วว่าห้ามนอนในคาบฉัน!“ “อาจารย์ก็รู้ว่าหนูไม่ฟังอยู่แล้ว แล้วจะเสียเวลาไปกับหนูทำไมคะ” เจสสิก้าสวนเสียงเรียบ “เจสสิก้า!! เธอนับวันก็ยิ่งทำตัวไม่เคารพอาจารย์มากขึ้นแล้วนะ!! เรียกผู้ปกครองเธอม____ช่างเถอะ! แต่คราวหลังห้ามหลับในเวลาเรียนอีกเข้าใจมั้ย!” “ไม่ค่ะ” เจสสิก้าสวนตอบอย่างหน้ามึน แววตาบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความหมายของคำพุด ยังไงก็ไม่มีใครห้ามเธอได้ ไม่แม้แต่อาจารย์ตรงหน้า “อาจารย์อยากเรียกผู้ปกครองหนูก็ได้นะคะ ป๊าหนูว่าง” “ได้ ฉันต้องการพบผู้ปกครองเธอพรุ้งนี้!” “แน่นอนค่ะ” เธอมองคนเป็นอาจารย์ด้วยสายตาแบบนั้นยังไม่พอ แถมมือสองข้างที่กอดอกไว้ด้วยความไม่เคารพนับถือ ปากที่ยกยิ้มขึ้นเบาๆ กับนํ้าเสียงช่างยั่วโมโห เมื่อพูดจบเธอฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้งไม่สนหน้าสนหลัง สีหน้าคนเป็นครูตอนนี้ไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรนักเรียนคนนี้ได้ อาจารย์เลื่อนสไลด์อธิบายต่อ หลังเลิกคาบ ห้องนํ้าหญิง “มึงเห็นหน้ามันตอนที่ตอบอาจารย์ป่ะ!โครตมั่น!” “นั่นสิ มันคิดว่ามันเป็นใคร!” “กูนี่อดใจไม่ไหวที่จะเห็นหน้ามันพรุ้งนี้ตอนมันเรียกพ่อมันมาจริงๆ!” “พ่อคงจะเสียใจน่าดู ถ้ารู้ว่าลูกสาวตัวเองเหี้ยขนาดไหน ฮ่าฮ่าฮ่าๆ” ปั้ง!!!!!!! “หึ นั่นน่ะสิ———” เฮือก!!! ต่างคนต่างตกใจเมื่อกำลังพูดอย่างมันส์ปากอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ต่างหันไปมองตามเสียงก็ตกใจสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเจ้าของชื่อที่พวกเธอกำลังนินทานั้นเป็นคนถีบประตูห้องนํ้าออกมาเสียงดังก่อนจะทำท่ายืนพิงประตูอยู่ด้วยมือสองข้างที่กอดอก สีหน้าเจสสิก้าตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมจะอัดหน้าพวกคนปากสุนัขได้ทุกเมื่อ “อ..อีเจส!” “นี่แกจะกลัวอะไร พวกเรามีกันตั้งสามคนกับมันแค่คนเดียวนะ!” “ง..งั้นมึงก็อยู่นี่ไปคนเดียวเถอะอีวิว!” “ใช่ เราไปกันดีกว่า!!” “เฮ้ย!—— พูดเสร็จเพื่อนสองคนรีบวิ่งออกไป ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง เมื่อถูกเพื่อนทิ้ง ด้วยความที่เจสสิก้าคือคู่อริตัวเอง ถึงจะมีความกลัวปะปนอยู่ในใจนิดๆแต่ก็ไม่มีทางที่จะยอมลดศักดิ์ศรีกับคนที่ตัวเองเกลียด “เอ้า ไม่วิ่งไปกับเพื่อนแกหล่ะ?” เจสสิก้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ขณะก้าวเท้าเข้ามาใกล้วิวทีละนิด ฝ่ายหลังเผลอถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากพอให้เธอมองเห็นแววตาคมกริบของเจสสิก้าอย่างชัดเจน หญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ สบตาด้วยสายตาเย็นเยียบจนวิวรู้สึกสะท้าน หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ สุดท้ายเธอก็จำต้องเบนสายตาหนี หันไปมองอย่างอื่นแทนเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นอย่างหนักหน่วง “แกคิดว่าแกแน่รึไง!!” “กูก็แน่มาตลอดนะ” “พ…เพราะมึงมีคนคอยหนุนหลังแกหรอก เหอะ!มึงมันก็แค่อีขี้ขลาด!” “ขี้ขลาดเหรอ…” เพียงแค่คำนั้นหลุดออกมาจากริมฝีปาก สายตาที่เคยเย็นชาก็เปลี่ยนเป็นแววตาอำมหิต ราวกับปีศาจจ้องเหยื่อ จนอีกฝ่ายเริ่มตัวสั่นไม่อาจควบคุมได้ “หึ!” “อ-อะไรของเธอ!” หญิงสาวยกยิ้มอย่างสะใจ เธอก้าวหลบออกจากตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะหมุนก๊อกน้ำ แล้วแช่มือทั้งสองลงล้างเบาๆ สายตาเหม่อมองกระจกตรงหน้า แต่แววตานั้นเปล่งประกายแห่งชัยชนะ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “รีบไปสิ…ก่อนที่มึงจะต้องก้มลงกราบแทบเท้าอีขี้ขลาดอย่างกู…” วิวกำมือแน่นจนสั่นด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่กล้าพอจะสู้กลับ โดยเฉพาะในที่เงียบงันเช่นนี้ สุดท้ายจึงทำได้แค่รีบหันหลังเดินจากไปด้วยความอับอาย “คิคิ~ ขู่ยัยนั่นทีไร สนุกทุกที ยัยโง่เอ๊ย!” เจสสิก้าหัวเราะสะใจอยู่สักพัก ก่อนจะตั้งท่าจะเดินออกจากห้องน้ำ ทว่าเท้ายังไม่ทันจะพ้นประตู เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างๆอย่างไม่ทันตั้งตัว “แสบจริงๆเลยนะ” หญิงสาวชะงัก หันขวับไปมองตามเสียง แล้วก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกำแพงใกล้ประตูห้องน้ำ มือทั้งสองล้วงกระเป๋า ท่าทางเหมือนคนที่ยืนรอใครบางคนอยู่ “พี่ปอร์เช่? มาทำอะไรห้องน้ำผู้หญิงคะ?” เธอถามกลับด้วยสีหน้าระแวงปนสงสัย “พี่มารอเรานั่นแหละ” “รอเจส? รอทำไมคะ?” สีหน้าของเธอแสดงความงุนงงอย่างชัดเจน ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือบางขึ้นแล้วจูงออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก “เอ๊ะ…” “พักเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันครับ” คำพูดของเขานุ่มนวลแปลกๆจนทำเอาหัวใจดวงเล็กแอบสั่นไหวเธอยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี มองดูมือใหญ่ที่จับมือเล็กของเธอไว้แน่น ก่อนจะเผลอหลุบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว…สหรัฐอเมริกา “ข่าวเด็ดสดๆใหม่ๆค่ะคุณผู้ชม! ประธานแห่ง K กรุ๊ป ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปี กลับสามารถสร้างอิทธิพลในแวดวงธุรกิจได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ประเด็นร้อนที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องอิทธิพลของคุณปอร์เช่นะคะ แต่เป็นเรื่องของหัวใจค่ะ! ใช่แล้วค่ะ ภาพหลุดของคุณปอร์เช่กับซูเปอร์สตาร์ชื่อดังหน้าใหม่อย่างคุณกอบัว กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล! หลายคนกำลังลุ้นกันว่า หรือทั้งคู่จะแอบคบหากันอยู่จริงๆ!?” หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งฟังข่าวจากอีกซีกโลกผ่านไอแพดในมือ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาทั้งคมและเย็นชาราวกับรู้อะไรมากกว่าที่ใครคิด “หึ…คบกันงั้นเหรอ…น่าสนใจดีนี่” “คุณหนูเล็กคะ คุณท่านให้มาตามให้ไปรับประทานของว่างค่ะ” เสียงของสาวใช้ดังขึ้นจากหน้าห้อง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เดี๋ยวเจสลงไปค่ะ” ⸻ ด้านล่างคฤหาสน์ “มาเร็วสิหลานรัก ย่าทำของโปรดไว้ให้เพียบเลยนะจ๊ะ” มาเดลิน ผู้เป็นย่าเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม ขณะหญิงสาวเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร เจสสิก้ารีบเดินตรงไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยของว่างหน้าตาน่ารับ
ประเทศสหรัฐอเมริกา เสียงเบรกของรถหรูดังขึ้นเบาๆ หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เอี๊ยด~ รถยนต์คันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าคฤหาสน์สุดหรู ก่อนที่ประตูหน้าจะเปิดออกพร้อมร่างสูงในชุดสูทดำของบอดี้การ์ดคนสนิท เขาก้าวเท้าไปยังประตูหลังด้วยท่วงท่าสง่างามและมั่นคง ก่อนจะเปิดมันออกอย่างสุภาพเพื่อรับหญิงสาวคนสำคัญ ขาเรียวยาวของหญิงสาวเหยียบลงจากรถทีละข้างอย่างเรียบหรูร่างของเธอปรากฏพร้อมกับเสื้อผ้าสุดหรูดูมีระดับ และทันทีที่คนตัวเล็กก้าวลงมาเต็มตัว ชายชุดดำก็ก้มศีรษะทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “หลานรักของย่า~~~” เสียงหญิงชราเอ่ยขึ้นอย่างเปี่ยมสุข รอยยิ้มอบอุ่นของท่านปรากฏอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ ผู้เป็นย่ายืนกางแขนออกพร้อมต้อนรับหลานสาวที่ตนรักสุดหัวใจ “คุณย่า!!” หญิงสาวร้องเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างอันอบอุ่นของย่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งสองสวมกอดกันแน่นราวกับโลกนี้มีกันแค่สองคน “คิดถึงที่สุดเลยหลานรักของย่า” “หนูก็คิดถึงคุณย่ามากกกกเลยค่ะ” เสียงใสๆ ที่แฝงด้วยความน่ารักของหญิงสาวทำเอาผู้สูงวัยยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความรักและความคิดถึง ทั้งสองเดินเคี
“ทำไมไม่ยิ้มหน่อยวะไอ้ปอร์เช่” “นั่นดิ กูเห็นมึงเหม่อตั้งนานละ” เสียงเพื่อนสองคนดังขึ้นติดกัน คล้ายจะดึงสติชายหนุ่มให้กลับมาจากภวังค์ แต่ปอร์เช่ก็ยังคงนั่งเงียบ สีหน้าเรียบนิ่งจนเกือบจะดูเย็นชา ดวงตาเขาไม่หยุดเหลือบมองไปทั่วบริเวณคล้ายกำลังตามหาใครบางคน ทว่า…ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่เห็นเธอคนนั้นเลย “…..” ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบาย มีแค่ความเงียบที่แผ่ซ่านไปทั่วโต๊ะ จนเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยเริ่มรู้สึกอึดอัดแทน “อ่อ กูรู้ละ…” “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก มึงจะคิดมากทำไม น้องเจสเขาอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้” เซนเซพูดพลางตบบ่าเบา ๆ เหมือนจะปลอบใจ แต่ปอร์เช่กลับไม่แม้แต่จะหันมามอง ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อยเหมือนกำลังพยายามสะกดกลั้นบางอย่างไว้ ทันใดนั้น เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ คว้าโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร “เอ้า! มึงจะไปไหนวะ!” เสียงเพื่อนร้องตามหลัง แต่ชายหนุ่มไม่ได้หยุดเดิน เขากดโทรศัพท์หาหมายเลขเดิมอีกครั้ง รอสาย แต่ก็เหมือนเดิม หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้… มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่นเล็กน้อย เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงบรรยากาศงานด้านหลังก็ดูจะค่อยๆ เ
ซ่า… ซ่า… ซ่า… เสียงเนื้อที่กำลังถูกผัดอยู่ในกระทะดังต่อเนื่องในห้องครัวของคอนโดสุดหรู หญิงสาวร่างบางกำลังยืนเตรียมอาหารเช้าด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ขณะที่แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านโปร่งบางเข้ามาอาบตัวเธอเบาๆ ฟุ่บ… แขนแกร่งวงใหญ่เข้ามารัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง พร้อมกับใบหน้าคมที่ซุกลงมาตรงซอกคอขาวอย่างออดอ้อน “หอมจัง ที่รักทำอะไรครับ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามพลางสูดกลิ่นหอมจากผิวเนียนตรงลำคอ “ที่รัก หนูทำอาหารอยู่นะคะ อย่าเพิ่งกวนสิ” “ก็พี่คิดถึงนี่นา” เขาไม่ฟังเลยสักนิด มือยังคงกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เธอขยับไปไหน ร่างสูงเอาแต่แนบชิดจนหญิงสาวต้องถอนหายใจนิดๆ อย่างเอ็นดู “อีกไม่กี่วันก็วันรับปริญญาแล้ว พี่อยากได้อะไรคะ?” “พี่อยากได้หนู” “หนูบ้านหรือหนูนาคะ?” “ที่รักอ่ะ!” หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้าและน้ำเสียงแบบเด็กน้อยสามขวบของเขา ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมกลายเป็นออดอ้อนราวกับแมวที่อ้อนเจ้าของ เพราะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันหยุดกวนหากยังยืนอยู่แบบนี้ ร่างเล็กจึงยื่นมือไปปิดเตาแก๊ส และหันกลับมาเผชิญหน้า— !!! แต่ไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็พุ่งเข้าประกบริมฝีปากนุ่มอย่างรวดเร็ว พร
“อย่าคิดว่ากูต่อยยัยนั่นเพราะมันว่ามึงล่ะ กูทำเพราะหมั่นไส้มันเฉยๆ” “กูก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่ มึงจะรีบแก้ตัวทำไม” ได้ยินแบบนั้น กอบัวเงียบลงทันที ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินออกจากตรงนั้น ปล่อยให้เจสยืนอยู่ลำพังโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่นาน เจสสิก้าก็เดินออกจากคาเฟ่โดยไม่มองกลับหลัง เธอเดินเรื่อยๆ ไปตามทางเท้าที่ทอดยาวราวกับปล่อยให้มันพาไปตามความรู้สึก หัวใจที่ปั่นป่วนทำให้เธอต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ความสงบในความโดดเดี่ยวนั้นก็จบลง เมื่อจู่ๆก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทักเธออย่างไม่คาดฝัน “มีเรื่องไม่สบายใจอยู่หรอครับ” เสียงนั้น…เสียงที่คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก ใครกัน? เธอหันกลับไปมองต้นเสียง และพบกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดแต่งกายสไตล์ผู้ชายจีนทันสมัย แต่ใบหน้าของเขากลับมองไม่เห็นชัดเจน เพราะหมวกสีดำกับแมสสีขาวที่บดบังใบหน้าทั้งหมด เขาเดินเข้ามาเคียงข้างเธออย่างใจเย็น หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “นายเป็นใคร?” “พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ รู้แค่ว่า…ตอนที่เราเจอกันครั้งล่าสุด พี่ก็อยู่ในสภาพแบบนี้…แต่เพิ่มเติมคือกลิ่นควันบุหรี่” “อ้อ…นายคือเด็กคนนั
“พี่ยอมรับว่าพี่เคยชอบกอบัวจริงๆ แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว… ตอนนั้นพี่ยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าความรักมันคืออะไร แต่ตั้งแต่ที่พี่ได้เจอเจส…พี่พูดได้เลยว่า นอกจากแม่แล้ว พี่ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้เลย”เสียงของปอร์เช่เอ่ยขึ้นช้าๆ แววตาเขาสงบนิ่งขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือหัว ดวงดาวนับพันดวงลอยอยู่กลางความมืด เสียงลมหอบเบาๆ พัดผ่านเส้นผมของคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าสูง ทำให้บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบสงบและอบอุ่นเจสนั่งอยู่ข้างๆ มองเขาเงียบๆ ดวงตาของเธอสะท้อนแสงดาว และบางอย่างในใจเธอก็เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มบางๆ ออกมาอย่างอ่อนโยน…ยิ้มที่แฝงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโล่งใจ ทั้งเศร้า ทั้งอบอุ่นและเสียใจไปพร้อมๆกัน หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอคงไม่หนี ไม่หลบหน้าปอร์เช่อย่างที่เคยทำ เธอควรจะฟังเขาตั้งแต่แรก“ทีนี้หนูเข้าใจแล้วใช่มั้ย?” เขาหันมาถามเสียงนุ่ม“เข้าใจแล้ว~” เจสตอบกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ดวงตาเธอมองเขาอย่างแน่นิ่ง เหมือนคนที่เพิ่งยอมรับความจริงบางอย่างได้อย่างเต็มหัวใจ“เจส…” เขาเรียกชื่อเธออีกครั้ง คราวนี้สายตาเขาจริงจังขึ้น เหมือนกำลังจะพูดอะไรที่สำคัญแต่ก่อนที่เข