จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอก
หญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยน
เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง
“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
แม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้เพื่อแขกคนสำคัญ โปรดดื่มเพื่อให้ข้ามีเกียรติ”
จางอี้หมิงรับถ้วยสุราด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะดื่มจนหมดในคำเดียว “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง แม่นางฉีเหอ”
แม่นางฉีเหอลงมาแช่น้ำในอ่างข้างๆ เขา น้ำในอ่างทำให้ชุดสีแดงที่นางใส่ยิ่งแนบเนื้อ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่น่าหลงใหล
“ข้าประทับใจในอักษรของท่านยิ่งนัก ไม่เคยมีใครทำให้ข้าหยุดมองได้เช่นนี้” นางเอ่ยชม
“แค่ลายมือธรรมดา ไม่สมควรให้แม่นางกล่าวเกินจริงเช่นนั้น” จางอี้หมิงตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ
แม่นางฉีเหอยื่นมือเรียวลูบไล้กล้ามเนื้อแกร่งของเขา ก่อนจะมองรอยแผลเป็นกลางอกด้วยความสนใจ “รอยแผลนี้... เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “เป็นรอยจากการปะทะกับโจรภูเขาที่ข้าไปปราบ”
นางหัวเราะเบาๆ กับคำตอบ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมเชิญเขาไปยังเตียง
เมื่อถึงเตียง ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง แม่นางฉีเหอเอนตัวเข้ามาใกล้ แต่ทันใดนั้นเอง นางกลับฟุบหลับลงอย่างกะทันหัน
จางอี้หมิงตกใจเล็กน้อย เขาพยายามปลุกนาง แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่ตื่น เมื่อเดินออกไปดูที่หน้าห้อง ก็พบว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ในสำนักสังคีตก็ล้มหลับไปเช่นกัน
เขาขมวดคิ้วทันที “นี่มัน... เวทจันทราของศิษย์พี่เจียงเยว่แน่นอน”
ยังไม่ทันตั้งตัว เชือกเวทสีทองก็ปรากฏขึ้นรัดตัวเขาแน่น ก่อนดึงตัวเขาออกจากสำนักสังคีตอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงลานกว้าง เขาเห็น ซ่งอิน ถูกจับนั่งรออยู่ในสภาพหมดสภาพ
ที่เบื้องหน้าเขา เจียงเยว่ ยืนด้วยท่าทีเย็นชา ร่างของนางงดงามในชุดคลุมสีเหลืองนวลที่สะท้อนแสงจันทร์ แต่สายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความกดดัน
“ศิษย์น้องจาง เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก ทั้งขายตำราติวสอบ ทั้งเที่ยวหอคณิกา ไม่อายต่อหน้าที่ของผู้ฝึกตนบ้างหรือ?”
จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนไม่มีทางหนี เขาจึงตัดสินใจแกล้งฟุบหลับทันที พลางพึมพำเบาๆ “ข้าเมา... ข้าไม่รู้เรื่อง…”
ซ่งอินที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้แต่มองเขาแล้วก็แกล้งหลับไปเช่นกัน
จางอี้หมิงถูกจับมัดตรึงไว้บนแท่นเหล็กกล้าในห้องมืด มือนั้นถูกตรึงกางออก ขาทั้งสองข้างถูกล็อกแน่นหนา เขายังพยายามพูดแก้ตัว แต่ถูกขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชาของ เจียงเยว่
“เจ้าอย่าพยายามพูดอะไรทั้งนั้น นี่คือการลงโทษที่ข้าจะมอบให้เจ้า”
เจียงเยว่ใช้มือเรียวจับศีรษะของเขาเบาๆ จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น “จงหลับซะ…”
นางใช้ เวทจันทรา ส่งให้จางอี้หมิงเข้าสู่สภาวะหลับใหล นางก้มลงกระซิบข้างหูของเขา “ข้าจะให้เจ้าฝันในสิ่งที่เจ้าปรารถนา จากนั้นข้าจะทำลายมันลง ข้าจะให้เจ้ารู้จักกับความทรมานของฝันร้าย”
จากนั้นเจียงเยว่เข้าสู่ห้วงความฝันของเขา ภายในความฝันนางเห็นภาพ จางอี้หมิง กำลังพลอดรักกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม
เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คงไม่พ้นสตรีในสำนักสังคีตสินะ” นางพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปดูใบหน้าของสตรีในฝันนั้นใกล้ๆ
แต่เมื่อมองชัดๆ ใบหน้าของสตรีกลับเป็น ตัวของนางเอง
ดวงตาของเจียงเยว่เบิกกว้าง ความรู้สึกอายพุ่งพล่าน นางพึมพำเสียงเบา “เจ้าลูกเต่าน้อย! ต่ำช้ายิ่งนัก!” ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย
เจียงเยว่พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อทำลายภาพฝันนี้ให้กลายเป็นฝันร้าย แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ภาพของตัวนางและจางอี้หมิงกลับยิ่งชัดเจนเช่นเดิม
ทันใดนั้น เจียงเยว่สังเกตเห็นตัวอักษรเวทที่ลอยอยู่ในมุมหนึ่งของห้วงความฝัน ตัวอักษรเหล่านั้นเขียนว่า “ฝันลวง”
นางสะดุ้งเล็กน้อยและตระหนักทันทีว่านี่คือ ยันต์เวทอักษรที่จางอี้หมิงเขียนไว้ก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ ซึ่งทำให้ความฝันนี้ไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง แต่เป็นกับดักที่เขาวางไว้เมื่อนานมาแล้ว
จางอี้หมิงถูกเจียงเยว่ใช้เวทจันทราใส่บ่อยจึงเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ก่อนบาดเจ็บสาหัส
“เจ้าเล่ห์นัก!”
เจียงเยว่ถอนตัวออกจากห้วงความฝันทันที
เมื่อกลับมายังโลกจริง นางยืนมองจางอี้หมิงที่ยังหลับอยู่ ใบหน้ายิ้มอ่อนๆ ของเขาทำให้นางใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
“มารดามันเถอะ!...ในฝันต่ำช้าของเจ้าเหตุใดมีใบหน้าข้าติดอยู่!” นางบ่นพึมพำก่อนจะยกถังน้ำขึ้นมาสาดใส่เขาเต็มแรง
จางอี้หมิงสะดุ้งตื่นทันที เขาสบตากับเจียงเยว่ที่ยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขายิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวอย่างล้อเลียน “ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรของท่าน ข้ากำลังฝันดี”
เจียงเยว่ไม่ตอบอะไร แต่ยกเท้าถีบเขาเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้องไปด้วยความขุ่นเคืองและเขินอายในคราวเดียวกัน
“กลับมาปล่อยข้าก่อน”
ยามเช้า ฟ่านหวง ศิษย์พี่บุรุษรูปงามผู้มีอัธยาศัยดีเดินเข้ามายังคุกใต้สำนักเพื่อปล่อยตัว จางอี้หมิง ที่ยังถูกตรึงอยู่ที่เดิม
“ศิษย์น้อง เจ้าออกมาได้แล้ว” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าวพร้อมไขประตูเหล็ก
จางอี้หมิงลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุม ก่อนเอ่ยล้อเล่น “ศิษย์พี่ฟ่านหวง ท่านจะช่วยปล่อยตัวข้าหรือมาลงโทษซ้ำ?”
ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ “ข้าช่วยเจ้าออกมานี่แหละ แต่ว่า... เจียงเยว่ดูแปลกๆ ตั้งแต่เช้า นางเก็บตัวอยู่ที่น้ำตก ไม่พูดจากับใคร เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”
จางอี้หมิงทำหน้าตาไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ศิษย์พี่ เจียงเยว่ลงโทษข้าจนหมดสภาพ เจ้าคิดว่าข้ายังกล้าก่อเรื่องอีกหรือ?”
ฟ่านหวงมองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
เมื่อเดินออกมาจากคุก จางอี้หมิงพบกับศิษย์พี่ระดับ 7 สองคนที่ยืนรออยู่หน้าทางเดิน
เฉินเจิ้ง ชายร่างท้วมท่าทางใจดี กล่าวขึ้นก่อน “ศิษย์น้องจาง อาจารย์สั่งให้เจ้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์การสอบคัดเลือกผู้เข้าสำนักในปีนี้”
ฟางหรง สตรีงดงามที่มีท่าทางสง่างาม ยืนอยู่ข้างเฉินเจิ้ง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวเสริม “นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้า จะได้เห็นหน้าว่าที่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”
จางอี้หมิงยิ้มรับพลางยกมือคารวะ “ข้ารับคำสั่งแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสอง”
ฟางหรงมองไปรอบๆ แล้วถามทุกคน “ว่าแต่... เจียงเยว่อยู่ที่ใด? นางไม่เห็นปรากฏตัวเลยตั้งแต่เช้า”
ฟ่านหวงตอบพลางยักไหล่ “ได้ข่าวว่านางปิดวาจาอยู่ที่น้ำตก ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่”
ฟางหรงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอตัวไปหานางก่อน พวกเจ้าก็เตรียมตัวสำหรับงานสอบให้ดี”
นางกล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้จางอี้หมิงมองตามพลางคิดในใจว่า “ความจริงศิษย์พี่หญิงฟางหรงก็งดงาม แต่หุ่นทรวดทรงยังไม่เย้ายวนเท่าศิษย์พี่เยว่ ช่างเถอะ ข้าขอมีศิษย์พี่คนนึงไว้กราบไหว้ อีกคนเป็นภรรยาก็เพียงพอ หากมีสาวใช้คนงามของข้าอีกคนเป็นภรรยาด้วยก็ดียิ่ง”
แต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งและเดินไปเตรียมตัวสำหรับทำหน้าที่ทันที
ฟางหรง เดินมาถึงน้ำตกอันเงียบสงบ เห็น เจียงเยว่ นั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตกกระแสน้ำที่หล่นกระแทกร่างกายนางจนเสื้อผ้าบางแนบเนื้อ เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้า โดยเฉพาะส่วนอกที่นูนเด่นจนทำให้ฟางหรงเผลอคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง
ฟางหรงเดินเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ศิษย์น้องเจียงเยว่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เจียงเยว่นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้น น้ำในแอ่งตกกระทบใบหน้าของนางดูชุ่มชื้นและงดงามยิ่งนัก “ข้ามานั่งสงบสติ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เจ้าสุนัขนั่น ทำให้ข้าต้องเห็นความฝันอันหยาบช้าของมัน”
ฟางหรงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร
เจียงเยว่ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกว่ายันต์เวทอักษรของเจ้าสุนัขนั่นที่เขียนไว้ก่อนเจ็บยังสามารถใช้งานได้ อาจช่วยฟื้นพลังให้เจ้านั่นได้ในอนาคต”
ฟางหรงยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นห่วงเขาหรือ?”
เจียงเยว่ขมวดคิ้วแล้วรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าก็แค่... มันเป็นสิ่งที่ศิษย์ร่วมสำนักควรมีต่อกันเท่านั้น” นางตอบพลางหันหน้าหนี
ฟางหรงยังคงยิ้มอย่างรู้ทัน “เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ เผื่อว่าท่านอาจารย์จะมีวิธีช่วยเหลือเจ้าสุนัขเสี่ยวอี้ของเจ้าได้เร็วขึ้น”
เจียงเยว่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟางหรงก็ไม่รอฟัง นางหันหลังเดินจากไปก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ศิษย์น้องเจียงเยว่ รีบขึ้นจากน้ำเถอะ ถ้านั่งนานไปเจ้าจะป่วยเอาได้”
เจียงเยว่ได้แต่นั่งนิ่ง ถอนหายใจลึก “มันเป็นของข้าเมื่อไหร่กัน”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร