หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 8 การปรับสมดุลของผู้สูญเสียพลังปราณ

แชร์

บทที่ 8 การปรับสมดุลของผู้สูญเสียพลังปราณ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-02 10:30:57

ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้ว

ในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่น

แต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้น

จากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา

แต่แล้วก็มีภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ปรากฏขึ้นในห้วงฝัน เขาเห็นครอบครัวของตน ท่านพ่อ มารดาเลี้ยง น้องสาว ซงเอ๋อร์ องครักษ์หญิงของน้องสาว รวมถึงคนอื่นๆ ในบ้าน ทุกคนถูกกำจัดอย่างโหดเหี้ยม ภาพเลือดและเสียงกรีดร้องดังสะท้อนในหัวเขา ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้น “เสี่ยวอี้”

จางอี้หมิงสะดุ้งตื่น ลมหายใจของเขาแรงและถี่ มองไปรอบๆ ห้องที่เงียบสนิท ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วพลางพึมพำเบาๆ “นี่มันอะไรกัน…”

“นี่ไม่ใช่เวทจันทราของศิษย์พี่!”

เขานั่งนิ่งสักพักก่อนจะจุดตะเกียง แสงสว่างจากเปลวไฟเล็กๆ ทำให้ห้องดูอบอุ่นขึ้น เขาลุกขึ้นเดินไปที่มุมหนังสือ หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา บนหน้าปกมีอักษรเขียนไว้ว่า “พื้นฐานแห่งลมปราณ”

จางอี้หมิงเปิดตำราพลิกดูอย่างตั้งใจ ดวงตาจับจ้องไปยังตัวอักษรพลางอ่านอย่างละเอียด เขาตั้งใจศึกษาอย่างหนักในคืนนี้เพื่อจุดหมายเดียว นั่นคือ การฟื้นฟูพลังของตนให้ได้ เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเบาๆ เคล้าคลอไปกับเสียงลมยามดึก ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง

จางอี้หมิงอ่านตำราทั้งคืนยันหน้าสุดท้าย ตาเหลือบไปเห็นบรรทัดสุดท้ายเขียนว่า 

“ตำรานี้ใช้ไม่ได้กับผู้ที่สูญเสียพลังปราณ”

“มารดามันเถอะ! ทำไมไม่เขียนตั้งแต่หน้าแรก”

เขาปิดตำราดังปัง แล้วเก็บมันกลับไปบนชั้นหนังสือด้วยท่าทางหงุดหงิด

เมื่อมองดูชั้นหนังสือทั้งหมดในบ้าน พบว่าที่นี่ไม่มีตำราใดที่เกี่ยวกับผู้สูญเสียพลังปราณเลย เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหมดกำลังใจ สายตามองออกไปยังหน้าต่างที่เห็นดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

หลังจากเงียบงันไปครู่ใหญ่ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว “ที่หอเทียนหยางยังมีคนหนึ่งที่รู้เรื่องตำราดี…”

จางอี้หมิงลุกขึ้นด้วยความหวังใหม่ เขาหันไปหาคันฉ่องวิเศษที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนเรียกชื่อ ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บุรุษร่างท้วมผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ “หนอนหนังสือแห่งหอเทียนหยาง”

ไม่นานนัก ภาพของศิษย์พี่เฉินเจิ้งก็ปรากฏขึ้นบนคันฉ่อง ใบหน้าของเขาดูงัวเงีย ผมยุ่งเหยิง ขณะที่เขาขยี้ตาและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “เจ้ามีธุระอะไรถึงปลุกข้ากลางดึกเช่นนี้ เจ้าสุนัขน้อย!”

จางอี้หมิงยิ้มแห้งๆ ก่อนตอบอย่างรวดเร็ว “ข้ามีเรื่องสำคัญ! ศิษย์พี่ ข้ากำลังหาตำราที่เกี่ยวกับผู้สูญเสียพลังปราณ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีเล่มใดบ้าง?”

เฉินเจิ้งนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าของคนที่นึกอะไรออก “อืม… จะว่าไปก็มีอยู่เล่มหนึ่ง จำได้ว่าข้าเคยเห็นในคลังหนังสือ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปนำมาให้เจ้า”

จางอี้หมิงยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่!”

เฉินเจิ้งยกมือขึ้นห้ามพลางพูดเสียงหงุดหงิด “เอาเถอะ! แต่คราวหน้าอย่าปลุกข้ากลางดึกเช่นนี้อีก!” ก่อนที่ภาพในคันฉ่องจะตัดหายไป

จางอี้หมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนตัวพิงเตียงนอนหลับไป

ยามเช้าตรู่

ศิษย์พี่เฉินเจิ้งร่างท้วมมาหาจางอี้หมิงถึงเรือนพัก เขาถือหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งในมือ พลางเอ่ยด้วยเสียงงัวเงียเล็กน้อย 

“นี่ตำราที่เจ้าต้องการ ข้ารู้มาว่าผู้ที่สูญเสียพลังปราณจะมีปัญหาด้านสมดุลพลังภายใน การฝึกตามวิธีปกติไม่ได้ผล ต้องปรับสมดุลก่อน ถึงจะเริ่มฝึกใหม่ได้”

จางอี้หมิงยื่นมือรับตำรา พร้อมถามด้วยความสงสัย “แล้ววิธีปรับสมดุลต้องทำอย่างไรหรือ ศิษย์พี่?”

เฉินเจิ้งส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่อยากพูดมากหรอก เจ้าอ่านเองเถอะ” ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวเสริม “อย่าลืมว่าเช้านี้เจ้ายังมีหน้าที่ต้องไปสังเกตการณ์งานสอบเข้าของศิษย์ใหม่ที่ห้องทำงานเจ้าสำนัก เตรียมตัวให้ดีล่ะ”

จางอี้หมิงรับคำ “ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะไปตามเวลาที่กำหนด”

เมื่อเฉินเจิ้งเดินจากไปแล้ว จางอี้หมิงมองตำราในมือ แล้วคิดว่าเวลายังพอมี เขาจึงนั่งลงที่โต๊ะ จุดตะเกียง อ่านตำราอย่างตั้งใจ

ตำราเล่มนั้นอธิบายวิธีปรับสมดุลพลังปราณไว้ 3 วิธีหลัก:

วิธีแรก การใช้สมุนไพรหายาก 18 ชนิด

ตำราให้รายชื่อสมุนไพรแต่ละชนิด พร้อมวิธีปรุงยา จางอี้หมิงอ่านแล้วส่ายหน้า “สมุนไพรพวกนี้หายากเกินไป หากข้าต้องเสียเวลาหาทั้งหมดคงต้องรอกันไปอีกหลายปี” เขาตัดสินใจข้ามวิธีนี้ไปทันที

วิธีสอง การฝึกฝนด้วยวิธีพื้นฐานแต่ต้องสลับด้าน

ตำราระบุว่าผู้ฝึกต้องเปลี่ยนการฝึกจากด้านซ้ายเป็นขวา และจากหน้าเป็นหลัง เพื่อให้สมดุลพลังที่เสียไปกลับคืนมา จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “ยุ่งยากชะมัด แต่ก็ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าแบบแรก” เขาเก็บวิธีนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือก

วิธีที่สาม การร่วมรักกับผู้บริสุทธิ์

ตำราเขียนอธิบายว่า การรวมพลังหยินหยางของชายและหญิงบริสุทธิ์จะช่วยปรับสมดุลพลังปราณได้เร็วที่สุด แต่เป็นวิธีที่มักขัดต่อจิตใจผู้ฝึกตน จางอี้หมิงอ่านแล้วถึงกับหัวเราะเบาๆ “ง่ายที่สุดสำหรับข้า แต่ปัญหาคือ ใครจะยอมให้ข้าทำเช่นนั้น…ยอดคณิกาสาวจากสำนักสังคีตก็คงไม่ถูกนับ” เขาพึมพำอย่างท้อแท้

เมื่ออ่านจบ เขาปิดตำราแล้วถอนหายใจ “ข้าคงต้องลองวิธีที่สองก่อน ส่วนวิธีที่สาม… ไว้คิดอีกทีถ้าไม่มีทางเลือก”

เขาเก็บตำราเข้าชั้นหนังสือ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางการ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานเจ้าสำนัก ที่ตั้งอยู่บนชั้นเก้าของหอเทียนหยาง 

ณ ลานหน้าประตูสำนักเทียนหยาง

ผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก ทุกคนต่างมีความหวังที่จะเป็นศิษย์ของสำนักชื่อดังแห่งนี้ 

หลินหนิง สาวน้อยหน้าตางดงาม ผู้มีดวงตากลมโตเป็นประกาย มาพร้อมกับชุดเรียบง่ายที่แม้จะดูธรรมดา แต่กลับยิ่งขับเน้นความงามของนาง

นางยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน พลางมองไปที่ หอคอยสูงตระหง่าน บนยอดภูเขาด้วยความตะลึง ดวงตาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันและตื่นเต้น นางมองไปรอบๆ เห็นผู้คนต่างกันออกไป บางคนจับกลุ่มพูดคุยถึงบททดสอบที่กำลังจะมาถึง บ้างก็ปลีกตัวทำสมาธิเพียงลำพัง

หลินหนิงผู้มีนิสัยชอบพบปะและทำความรู้จักกับผู้คน มองหาคนที่จะเข้าไปทักทาย จนสายตาของนางสะดุดเข้ากับบุคคลผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง แต่งกายเหมือนบุรุษ แต่ใบหน้าและรูปร่างกลับงดงามราวสตรี

คนผู้นั้นเดินวนเวียนไปมา ดูเหมือนกำลังสังเกตบางสิ่ง หลินหนิงตัดสินใจเดินเข้าไปหา พร้อมกับรอยยิ้มสดใส 

“ข้าชื่อหลินหนิง วันนี้ข้ามาสอบ ท่านล่ะเป็นใครหรือ?”

บุคคลนั้นหันมามองหลินหนิงด้วยแววตาที่แฝงความเฉลียวฉลาด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าชื่อหวงจื่อรั่ว”

หลินหนิงเอียงคอนิดๆ พร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร “ท่านมาสอบเหมือนกันหรือ?”

“ใช่” หวงจื่อรั่วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 

ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสียงระฆังจากสำนักดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า การสอบคัดเลือกกำลังจะเริ่มต้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status