ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนัก
เมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไป
จางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น
“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจ
จู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป
“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”
จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู่ควร
เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางก้มมองต่ำ แต่พลันสายตาเหลือบไปสบกับ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเจียงเยว่ที่งดงามไม่แพ้ฟางหรงนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว แต่ท่าทีของนางกลับทำให้เขาชะงัก เพราะทันทีที่เจียงเยว่เห็นเขา นางทำหน้าหงุดหงิดใส่และหันหน้าหนี
จางอี้หมิงคิดในใจอย่างสงสัย “ข้าเผลอไปทำอะไรให้นางโกรธ? ก็ไม่มีนี่!”
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เสียงสัญญาณเริ่มการสอบก็ดังขึ้น คันฉ่องวิเศษบานใหญ่กลางห้องฉายภาพผู้เข้าสอบแต่ละคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องสอบเบื้องล่าง ทำการทดสอบข้อเขียนอย่างเคร่งเครียด
จางอี้หมิงนั่งดูอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า “ใช่แล้ว แม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำจวนของข้า วันนี้จะมาร่วมการสอบด้วย?”
ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกคาดหวัง เพราะถ้าเป็นซงเอ๋อร์ นางอาจยอมเสียพรหมจรรย์ให้เขาได้ง่ายกว่าผู้อื่น “ถึงอย่างไร ท่านพ่อของข้าก็ตั้งใจจะแต่งตั้งนางเป็นอนุภรรยาของข้าไม่วันใดก็วันหนึ่งอยู่แล้ว”
ขณะที่จางอี้หมิงกำลังคิดไปไกล ภาพในคันฉ่องแสดงให้เห็นภาพของหญิงสาวมากมายที่กำลังทำข้อสอบ แต่กลับไม่มีร่องรอยของซงเอ๋อร์เลย ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆ
“ภาพอาจไม่ได้จับไปที่นาง”
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงสัญญาณยุติการสอบดังขึ้น
หลังจากเวลาสอบข้อเขียนสิ้นสุดลง ผู้เข้าสอบทุกคนต่างพักผ่อนเพื่อรอฟังผลสอบที่กำลังจะประกาศออกมา ในห้องตรวจข้อสอบ ซ่งอิน ศิษย์ระดับ 3 ผู้เชี่ยวชาญเวทอักษร และ หลี่เกอซิน ศิษย์หญิงระดับ 3 ผู้เชี่ยวชาญเวทตรวจจับ ต่างทำหน้าที่ตรวจข้อสอบอย่างขะมักเขม้น
เวลาผ่านไปเพียงชั่วหม้อข้าวเดือด ผลสอบก็ถูกตรวจเสร็จสิ้น และรายชื่อผู้ผ่านการสอบก็ถูกปิดประกาศที่กระดานใหญ่บนลานกว้าง
ห้องประชุมศิษย์ระดับสูง ชั้นเก้า หอเทียนหยาง
ที่หน้าคันฉ่องวิเศษขนาดใหญ่ ปรากฏภาพรายชื่อและใบหน้าของผู้เข้าสอบที่ได้คะแนนสูงสุดของรอบข้อเขียน คนผู้นั้นคือ หลินหนิง
จางอี้หมิงมองเห็นภาพของหลินหนิงในคันฉ่อง เขานึกขึ้นได้ทันทีว่า “ข้าขายตำราติวโก่งราคาให้แก่นางนี่!”
“ช่างเป็นอัจฉริยะเสียจริง”
“แล้วทำไมแม่นางซงเอ๋อร์ถึงไม่ได้ที่หนึ่ง? ทั้งที่ข้าส่งข้อสอบจริงให้แก่นาง”
จางอี้หมิงคิดต่ออย่างครุ่นเครือง “หรือว่า…นางแกล้งตอบผิดสองสามข้อเพราะกลัวถูกจับได้ว่าข้าขโมยข้อสอบจริงมาให้? ต้องใช้แน่ๆ”
เขากวาดสายตาตรวจสอบรายชื่อผู้สอบผ่านทั้งหมด แต่กลับไม่พบชื่อ ซงเอ๋อร์ เลย
“ทำไมไม่มีชื่อของนาง?”
ความผิดหวังพลันถาโถมเข้ามาเหมือนอกหัก เขาอดถอนหายใจไม่ได้ แต่ในรายชื่อเหล่านั้น เขามองเห็นชื่อ หวงจื่อรั่ว องครักษ์สาวประจำกายของจางหลันซือ น้องสาวต่างมารดาของเขา
“เหตุใดหวงจื่อรั่วถึงมาสอบได้?”
“นางไม่ต้องเป็นองครักษ์ให้แก่หลันซือแล้วหรือ?”
จางอี้หมิงรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง วิ่งลงมาจากหอเทียนหยาง ก่อนควบม้าตรงไปยังลานกว้าง
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงบินไปแล้ว”
ที่ลานกว้าง
เมื่อจางอี้หมิงมาถึงลานกว้างและพบกับ หวงจื่อรั่ว จางอี้หมิงไม่รอช้า รีบสอบถามทันที
“แม่นางหวง เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่?”
หวงจื่อรั่วหันมามองเขา ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เป็นท่านสินะ ที่เป็นมอบข้อสอบนั้นให้แม่นางซงเอ๋อร์”
จางอี้หมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ ข้าทำเอง แล้วนางเล่า?”
หวงจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ ก่อนเล่าว่า “แม่นางซงเอ๋อร์คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสำนักเทียนหยาง นางจึงไม่กล้ามาสอบ ท่านอ๋องเลยส่งตัวข้ามาแทนนาง”
จางอี้หมิงเข้าใจเหตุผลของซงเอ๋อร์ในทันที แต่ในใจก็ยังอดเสียดายไม่ได้ เขาถามต่อว่า “แล้วเจ้าไม่ต้องเป็นองครักษ์ให้หลันซืออีกแล้วหรือ?”
หวงจื่อรั่วยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ในจวนมีองครักษ์มากมาย”
“ท่านอ๋องกำชับมาว่าให้ช่วยคุ้มกันท่าน แต่อย่าหวังว่าข้าจะปรนนิบัติท่านเหมือนที่แม่นางซงเอ๋อร์ทำ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน หลินหนิง เดินเข้ามาหาจางอี้หมิงพร้อมรอยยิ้ม นางกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณท่าน…ที่ขายตำราติวให้ข้า”
จางอี้หมิงหันไปมอง ก่อนยิ้มบางๆ “ถ้าจะขอบคุณ ก็ขอบคุณท่านต้าหมิงเถิดที่เขียนตำรานั้นขึ้นมา”
“แล้วข้าต้องขอบคุณท่านต้าหมิงที่ใด”
“ท่านต้าหมิงคือผู้ฝึกตนผู้แข็งแกร่ง เขาได้ยินเจ้าแล้ว”
‘ข้านี่แหละคือท่านต้าหมิงที่เจ้ากำลังขอบคุณ หึ! ถึงอย่างไรศิษย์หน้าใหม่ก็ไม่มีใครรู้จักข้าอยู่แล้ว ข้าจะสถาปนาตัวเองเป็นวีรบุรุษอันใดก็ได้’ จ้างอี้หมิงครุ่นคิดในใจ
จางนั้นจางอี้หมิงขอตัวลา เพื่อกลับไปยังหอคอยเก้าชั้นตามเดิม “ไว้พบกันวันเปิดการศึกษา ข้าไปเตรียมตัวก่อน”
หวงจื่อรั่วและหลินหนิงมองตามเขาที่กำลังเดินจาก หวงจื่อรั่วมองดวงสายตาเย็นชาคล้ายกับจางอี้หมิงไม่มีตัวตน ส่วนหลินหนิงนั้นมองเขาด้วยตาเป็นประกายตามประสาคนที่ชอบทำความรู้จักผู้อื่น
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านชื่ออะไร”
แม่นางหลินหนิงคนงามเอ่ยถามขึ้น มีหรือที่จางอี้หมิงเห็นสตรีที่งดงามเช่นนี้จะไม่หันไปตอบ “ข้ามีนามว่า เสี่ยวอี้!”
“ข้าหลินหนิง!”
เมื่อจางอี้หมิงกลับไปยังห้องประชุมบนชั้นเก้าของหอเทียนหยางแล้ว เหล่าผู้คุมสอบก็เริ่มทยอยเข้าสู่ลานกว้าง ผู้เข้าสอบใหม่ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการสอบในรอบถัดไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความคาดหวังและความกดดัน
หนึ่งในผู้คุมสอบในชุดคลุมสีขาวซึ่งเป็นสีประจำสำนัก ก้าวขึ้นไปยังแท่นสูง เขากล่าวเสียงดังด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “ลำดับต่อไป จะเป็นการทดสอบความสามารถในการต่อสู้และการเอาตัวรอด! ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม!”
เสียงฆ้องขนาดใหญ่ดังขึ้นก้องกังวานทั่วลานกว้าง เป็นสัญญาณเริ่มต้นการสอบรอบใหม่ ทุกคนต่างเตรียมพร้อมทันที!
ชั้นเก้า หอเทียนหยาง
ที่ห้องประชุมศิษย์ระดับสูง ศิษย์พี่ชิงซิ่ว ศิษย์ชั้นสูงระดับแปด บุรุษผู้มีอายุมากกว่าจางอี้หมิงพอสมควร เป็นผู้มีออร่าแห่งความสงบลึกซึ้ง ก้าวเข้าไปยืนหน้าคันฉ่องวิเศษที่ฉายภาพเหตุการณ์ในลานกว้าง เขายกมือขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังร่ายเวทบางอย่าง ก่อนร่างของเขาจะหายเข้าไปในคันฉ่องวิเศษนั้น
ลานกว้าง
ในลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้เข้าสอบ ร่างของ ศิษย์พี่ชิงซิ่ว ปรากฏกายขึ้นบนอากาศเบื้องบน เขามีรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าสุขุมสงบนิ่ง เขาคือผู้เชี่ยวชาญ ปราณเวทแห่งเสียง หนึ่งในศาสตร์ที่คล้ายจะง่ายดาย แต่กลับลึกซึ้งและรุนแรง
ชิงซิ่วยก ขลุ่ยหยกสีขาวเลาเล็ก ขึ้นมาในมือ ขลุ่ยเลานี้มีลวดลายแกะสลักเป็นคลื่นเสียงอันงดงาม เขาเป่าเพลงท่วงทำนองที่แสนอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยพลังสะกดจิตใจ กับเพลง "พฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา"
เสียงขลุ่ยของชิงซิ่วดังก้องไปทั่วลานกว้าง ทุกคนที่ได้ยินเสียงเพลงต่างรู้สึกถึงความสงบที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจ และไม่อาจหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงนั้นได้ ดวงตาของผู้เข้าสอบทุกคนเริ่มเหม่อลอย ร่างกายคล้ายถูกตรึงไว้ด้วยพลังปราณ
จางอี้หมิงมองดูผ่านคันฉ่องอย่างตั้งใจ พลางหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา 10 อีแปะ แล้วหันไปมองศิษย์พี่ฟ่านหวง “กล้าพนันกับข้าหรือไม่ ผู้ที่ลืมตาออกมาก่อนเป็นสตรีหรือบุรุษ!”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร