เนม ชื่อจริงของเขาคือ วรวิทย์ วรโชติวาทิน อายุ 25 นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง และมีเสน่ห์เหลือร้าย รับตำแหน่งต่อจากพ่อแม่ที่เสียไปเมื่อตอนอายุ 17 ปี จากเหตุการณ์เสียพ่อแม่ไปในครั้งนั้น ทำให้เขาได้พบเด็กชายที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีที่พักพิงใจ นาย ชื่อจริงของเขาคือ เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 เด็กชายบ้านๆ คนหนึ่ง ฐานะกลางๆ ไม่จนแต่ก็ไม่ได้รวย การตายของแม่ทำให้เขารู้อะไรหลายอย่าง ที่พ่อและแม่ไม่เคยบอก ความลับที่ถูกปิดบังไว้ ในช่วงเวลายากลำบาก ก็ได้เจ้านายหนุ่มผู้ใจดีเข้ามาช่วยเหลืออยู่เสมอ "อ่า ทั้งนาย ทั้งฉัน เราต่างเหมือนกันเลยนะ"
ดูเพิ่มเติมเคยไหมครับ หลังจากผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา ทำให้เราอยากนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่อยากขยับไปทางไหน
เคยไหมครับ เอาแต่คิดซ้ำๆ ว่าทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้เลย
ครับ ตอนนี้ผมเป็นแบบนั้นอยู่ เรื่องอะไรน่ะหรอครับ คงต้องย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ผมเจอ เขา เป็นครั้งแรก...
“นาย ทำไรอะ” เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง อายุราวๆ 10 ขวบ ดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อน จมูกรั้นนิดๆ ริมฝีปากบางสีชมพูเล็กๆ นั้น ช่างดูน่ารักน่าชัง แต่ไม่ใช่สำหรับผมในตอนนี้
“ออกไป!!! อย่ามายุ่ง!!!” ผมตะโกนใส่หน้าของเด็กคนนั้น แต่เด็กนั่นไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวอยู่ในสายตานั้นเลย แต่กลับฉายแววของความสงสัยและเป็นกังวล
“เป็นไรอะ อารมณ์ไม่ดีหรอ ยิ้มหน่อยนะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกับเด็กคนนั้นไป ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ แต่เด็กคนนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย ทำหน้าเหมือนพยายามนึกถึงเรื่องที่จะคุย และสุดท้ายเขาก็เอ่ยปากออกมา
“เราชื่อนายนะ แม่เราตั้งว่าเจ้านายละ อายุ 10 ขวบแล้ว นายละ ชื่ออะไรหรอ ทำไมทำหน้าเศร้าจัง?” เด็กคนนั้นแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ แต่คำถามของเขาทำให้ผมต้องก้มหน้าลง ทำไมน่ะหรอ ทำไมถึงทำหน้าเศร้า หึ เพราะตอนนี้ผมได้แต่นั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ที่มีรูปพ่อและแม่ของผมอยู่บนป้ายนั้น ส่วนสาเหตุนั้น ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ถึงผมจะยังเด็ก ยังอายุน้อย แต่เรื่องราวธุรกิจในครอบครัว ก็ทำให้ผมรับรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้รับรู้ว่าโลกนี้มันช่างชั่วร้ายและไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก สักวัน ผมจะหาพวกมันให้เจอ จะจัดการมันอย่างสาสม ให้สมกับที่มันทำกับผม ทำกับครอบครัวของผม
“อย่าร้องไห้เลยนะ ไม่เป็นไรหรอก” มือเล็กๆ นั้นเอื้อมมาปาดน้ำตาที่ไหลรินรดแก้มของผม ผมหลับตา ยอมรับสัมผัสอ่อนโยนที่เด็กผู้ชายคนนั้นมอบให้ เมื่อลืมตาขึ้น ผมมองพิจารณาเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมมองเห็น ว่านอกจากหน้าตาของเด็กชายที่ดูน่ารักคนนี้แล้ว การแต่งตัวของเขาบ่งบอกถึงสถานะได้ดี เสื้อตัวเก่า มีรอยขาดที่รอบคอและรอบแขน กางเกงที่ใส่เป็นกางเกงบอลของเด็กๆ แต่สภาพก็ไม่ได้ต่างไปจากเสื้อเท่าไหร่นัก ผิดจากผมที่ใส่สูทผูกไท แต่งตัวเรียบเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทั้งชุดที่ผมใส่ล้วนเป็นสีดำ และมันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นักเมื่อผมนั่งอยู่บนพื้นหญ้า
“นายอยู่แถวนี้หรอ” ผมเอ่ยถามนายไปอย่างไม่รู้จะคุยอะไร อีกอย่างผมก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครเท่าไหร่
“เปล่าหรอก วันนี้แม่พามาหาพ่อด้วยน่ะ นั่นไง” เมื่อผมมองตามนิ้วมือเล็กๆ นั้นไป ก็เห็นป้ายหลุมศพที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“อืม” ผมตอบกลับไปแค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก นายมองหน้าผมนิ่ง และเริ่มพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่บอกนายว่า พ่อนายไม่ได้หายไปไหน แค่ยืนมองอยู่บนฟ้า ถ้านายเป็นเด็กดี สักวันหนึ่งนายจะได้ไปหาพ่อละ เพราะงั้น อย่าร้องไห้เลยนะ” นายพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ผม ที่มันยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ อย่างนั้นโดยไม่มีเสียงบ่นใดๆ ออกมา ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่นั่งเฉยๆ ไปอย่างนั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเขา
ผม เนม ครับ ชื่อจริงของผมคือ วรวิทย์ วรโชติวาทิน ที่บ้านผมทำธุรกิจหลายอย่างครับ ทั้งโรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจด้านยานยนต์ และ อาหาร ซึ่งมีผมเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด เนื่องจากพ่อและแม่ของผมเสียไปเมื่อผมอายุ 17 ปี ทำให้ผมต้องเข้ามารับหน้าที่และกิจการของพวกท่านแทน ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็ผ่านมา 8 ปี แล้วครับ ตอนนี้ผมอายุ 25 ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง และมีเสน่ห์เหลือเฟือ แต่นั่นก็เป็นแค่บทสัมภาษณ์จากนิตยสารต่างๆ ที่เคยเข้ามาทำการสัมภาษณ์ผมเท่านั้นล่ะ จากการที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ผมรับรู้อะไรๆ หลายอย่าง ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างคิด ไม่ได้มีคนดีไปเสียหมดทุกคน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงตามหาสาเหตุที่แท้จริงถึงการตายของพ่อแม่ผมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ได้อะไรคืบหน้าสักเท่าไหร่ก็ตาม
“อ้าว ยังไม่กลับอีกหรอเนม”
“ยังครับ ผมขอตรวจสอบรายการอีกนิดหน่อย ใกล้เสร็จแล้วละครับ” ผมตอบกลับลุงชาญ หรือก็คือคุณชาญชัย วรโชติวาทิน เป็นพี่ชายของพ่อผมเองครับ เมื่อผมยังเด็กและต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้ ผมก็ได้ลุงชาญนี่แหละครับ ที่เข้ามาช่วยเหลือและสอนงานต่างๆ ให้
“อ้อหรอ อย่ากลับดึกมากนักละ งั้นลุงกลับก่อนนะ โชคดีๆ” ลุงชาญพูดและหยิบกระเป๋าเอกสารออกไป เพื่อกลับบ้านไปพักผ่อน ผมทำงานต่ออีกนิดหน่อยก็เก็บของเตรียมกลับบ้านเช่นกันครับ ผมเดินเอื่อยๆ มาจนถึงลานจอดรถ ซึ่งมีรถสปอร์ต คันหรูของผมจอดอยู่เพียงคันเดียว ผมปลอดล็อกรถและเข้าไปนั่งประจำที่คนขันก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนพ้นออกจากตัวเมือง มาแถบชานเมือง บ้านของผมตั้งอยู่เขตชานเมืองครับ แม้จะต้องใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า ในการไปและกลับ แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปพักตามคอนโดในเมืองกรุงแต่อย่างใด
“เฮ้ย!!!”
เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดด ตึง!!
ผมร้องอย่างตกใจ เนื่องจากมีคนวิ่งตัดหน้ารถของผม ทำให้ผมเหยียบเบรกกะทันหัน จนล้อรถขูดไปกับพื้นถนน และหมุนวนอย่างไรทิศทาง ชนกับขอบกั้นถนนจนเกิดเสียงดังสนั่น บ้าเอ้ย!!!! ผมนั่งหอบหายใจอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อผมสงบสติอารมณ์ลงได้ ก็เปิดประตูรถลงมาอย่างหัวเสีย รีบเดินไปดูคนที่สลบอยู่ตรงมุมที่ผมหักหลบเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณ! คุณ! นี่คุณ! ฟื้นสิ” ผมเริ่มทำการสำรวจตามร่างกายของเขา เพื่อหาร่องรอยบาดแผลตามตัว แต่ไม่พบแผลจากตรงไหนในร่างกายของคนตรงหน้านี้เลย ทำให้ผมโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่มีท่าทีที่จะฟื้นขึ้นมา ทำให้ผมเริ่มกังวล และอุ้มเขาขึ้นรถ ตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาล ก็แจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลอย่างรวดเร็ว ถึงสาเหตุ และอาการเบื้องต้นที่ผมเจอ และส่งตัวเขาให้กับพยาบาลต่อทันที
“คุณคะ อันนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของคนไข้ค่ะ”
“อ่อ ครับ” ผมรับของเหล่านั้นมาจากนางพยาบาล และเริ่มสำรวจดู อืมมม ไม่ได้มีของอะไรมากมายเท่าไหร่นัก มีเพียงกระเป๋าสตางค์และนาฬิกาหนึ่งเรือนเท่านั้น ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขามาดู พบว่ามีเงินอยู่ไม่กี่ร้อยบาท และหยิบบัตรประชาชนของเขาขึ้นมาตรวจสอบ ชื่อของเขาคือ เจ้านาย พัชรวิทิต ผมเก็บข้าวของ ของเขาตามเดิม ผมได้จัดการเรื่องต่างๆ ของคนไข้ที่หมดสตินั้น และจัดให้เขาอยู่ห้องพัก VIP เมื่อผมมั่นใจว่าจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วจึงเดินทางกลับบ้าน ระหว่างนั้นผมต่อสายหาลุงชาญไปพลางๆ
“ฮัลโหล ว่าไงเนม โทรมาซะดึกเชียว มีอะไรด่วนรึ”
“ขอโทษครับลุงชาญ ผมจะโทรมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ ผมฝากลุงเข้าประชุมแทนผมด้วยนะครับ”
“อ้อๆ ได้สิ มีไปธุระด่วนที่ไหนรึ” ลุงชาญถามผมอย่างทุกทีที่ผมมีงานด่วนต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่
“ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย มีคนบาดเจ็บด้วยผมเลยจะมาดูอาการของเขาวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
“ห๊ะ!!! เกิดอะไรขึ้นเนม เป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนบ้าง ให้ลุงไปหาไหม” ลุงชาญยิงคำถามมารัวๆ ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรครับลุงชาญ ผมชนขอบถนนไป พอดีผมไม่ได้ขับแรงเท่าไหร่ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”
“อ่าๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่ตรวจแน่ใจแล้วใช่ไหม ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”
“ครับลุงชาญ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”
“โอเคๆ งั้นรีบกลับไปพักผ่อนนะ มีสติให้มาก ขับรถอย่าประมาทละ”
“ครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายจากลุงชาญและมุ่งหน้าตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อนทันที
“ใจเย็นๆ มึง” ไอ้ซันไอ้เบสลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจผม ให้คลายความตื่นเต้นลง เมื่อตอนนี้กำลังเตรียมตัวเดินผ่านเข้าประตูบานใหญ่ มีซุ้มดอกไม้จัดแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งดอกไม้ที่ใช้ ก็คือ เยอบีร่า ไฮเดรนเยีย ดอกลิลลี่สีชมพู ทิวลิปสีแดงและขาว เหมือนกับตอนที่พี่เนมขอผมแต่งงาน....งานในครั้งนี้พี่เนมขอเป็นคนจัดการเรื่องสถานที่ การจัดตกแต่ง อาหารและรูปแบบตรีมของงาน ในขณะที่ผมดูเรื่องเสื้อผ้า ของชำร่วย การถ่ายภาพ และเราก็ช่วยกันดูรายชื่อแขกด้วยกัน เราจัดเตรียมงานด้วยความวุ่นวาย หัวแทบหมุน วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ถึงจะอย่างนั้น เราก็มีความสุขเมื่อวันงานใกล้เข้ามามากขึ้นตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมในเครือของวรโชติวาทิน ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน เรียกได้ว่าเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด และชั้นบนสุดของห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม มือของผมเย็นเยียบเต็มไปด้วยเหงื่อ กำช่อดอกไม้ในมือไว้แน่น มีเพื่อนสองคนคอยปลอบอยู่ไม่ห่าง หลังบานประตูมีอากันต์ที่คอยยืนรอให้ผมเดินคล้องแขนเข้างาน ผมพยายามระงับความแตกตื่นของตัวเอง พยักหน้าช้าๆ เมื่อพร้อมแล้ว เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปภายใน
...Name Part“พี่เนมครับ มาเร็ว” เสียงของคนตัวเล็กที่ร้องตะโกนเรียกผมให้เร่งสาวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้พวกเรามาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตครับ และครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่ปี พ.ศ. ใหม่กำลังจะเริ่มต้น จึงพาคนตัวเล็กออกมาเที่ยวบ้าง หลังจากที่ผมกรำงานจนเหนื่อยล้า และทะเลาะกับคนตัวบางไปเมื่อคราวนั้น ทำให้ผมดาวน์งานลงทันที กระจายงานออกไปให้ลุงชาญบ้าง ให้มาคัสบ้าง แต่อำนาจการตัดสินใจยังอยู่ที่ผมอยู่ดี ทำให้มีเวลาให้เจ้านายได้มากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูแฮปปี้ขึ้นมาก“เดินดีๆ เดี๋ยวก็ล้มหรอก” ผมเอ็ดเจ้านายนิดหน่อย เมื่อเจ้าตัวเดินไปกระโดดโลดเต้นไปด้วย ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะส่วนตัวที่อำนวยความสะดวกสบายครบครันของครอบครัวผมเอง เรากำลังเดินทางไปที่เรือสปีดโบ๊ทที่กำลังจอดรอเทียบท่าอยู่ อาจจะแปลกที่มันเป็นหน้าหนาว แต่พวกเราดันเลือกที่จะมาทะเล แต่ก็เป็นเพราะเรามีเกาะส่วนตัวอยู่ จึงเลือกที่จะไปพักผ่อนที่ๆ ห่างไกลผู้คน หลบหนีความวุ่นวาย ไปพักผ่อนสบายๆ ซัก 3-4 วันเจ้านายหันมายิ้มเผล่ให้ ก่
ครับ วันนี้วันลอยกระทงครับ เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ พี่เนมจึงไม่ได้หยุดงาน ตัวผมเองก็ยังต้องไปเรียนตามปกติ แต่วันนี้ผมรีบกลับบ้านมา ชวนป้านุ่มกับเด็กๆ มาทำกระทงด้วยกัน โดยที่ผมทำกระทงอันใหญ่อันเดียว แต่มี 2 ชั้น เอาไว้ลอยกับพี่เนม ผมกับพี่เนมคุยกันแล้วครับ เราจะไปลอยกันที่มหาลัยของผม เพราะมีการจัดงานลอยกระทงและออกร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้วแต่พี่เนมก็ยังมาไม่ถึงบ้าน ผมก็ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น มองออกไปนอกหน้าต่างก็พบกับพระจันทร์ดวงโตที่มีกระต่ายตัวน้อยอยู่ภายใน ผมนั่งมองอยู่สักพักแล้วเหลือบดูเวลา เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว พี่เนมก็ยังมาไม่ถึง แต่แล้วแสงไฟจากรถยนต์ก็สาดส่องเข้ามา บ่งบอกว่าพี่เนมมาถึงแล้ว“นาย! พี่ขอโทษนะครับ ที่พี่มาสาย พอดีติดประชุมยาวไปหน่อย แล้วก็รถติดอีก เรารีบไปกันเถอะ” พี่เนมพูดไป ถอดชุดสูทไปพลาง ปลดเนกไทและกระดุมเสื้อไปพลาง ผมหันไปยิ้มให้น้อยๆ แล้วพยักหน้าลุกขึ้น เราเดินไปที่รถด้วยกัน พี่เนมก็ออกรถด้วยความรวดเร็ว ตรงดิ่งไปที่มหาลัยทันที กว่าเราจะมาถึงก็เป็นเวลา 3 ทุ่มครึ่งแล้วครับ ร้านค้าต่างๆ ก็พากันปิดหมดแล้ว
“เพราะนายเมาแล้วเกเร แถมยังแต่งตัวแบบนี้มาอีก ต้องโดนลงโทษนะครับ หึหึหึ พี่รับรองว่ามันจะทำให้นายทรมานจนแทบขาดใจ” พี่เนมกล่าวด้วยเสียงพร่าแหบ นัยน์ตาประกายวาววับ ตาของผมเสมองหลบดวงตาคมกล้า มองออกไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นอะไรๆ ชัดขึ้นในห้องที่ผมอยู่ ตรงกลางห้องเป็นเตียงขนาดใหญ่ ถูกล้อมด้วยลูกกรงที่เป็นวงกลม ห้องทั้งห้องถูกทาสีดำมืดทึบ ให้เข้ากับบรรยากาศ มีไม้เป็นรูปกากบาทตั้งอยู่ที่มุมกำแพง และมีสายรัดทั้งบนล่างดูก็รู้ว่าเอาไว้รัดอะไร ตามแต่ละซี่ของลูกกรง มีของแขวนไว้เต็มไปหมด โซ่ แส้ กุญแจมือ เชือก และพวกเซ็กส์ทรอย ทำให้ผมตาเหลือกทันทีเมื่อหันกลับมาเจอพี่เนมที่กำลังยกยิ้มแบบจิตๆ อยู่“มะ มะ ไม่เอา ไม่เอาห้องนี้” ผมส่ายหน้าไปมาระรัว จนผมกระจาย“หึหึหึ” พี่เนมหัวเราะเสียงต่ำ จ้องมองเหมือนสิงโตที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ ก่อนจะพูดต่อ“เสียใจด้วยนะครับ พี่เลือกห้องนี้ไปแล้ว” จบคำคนตัวโตพี่เนมก็ก้มหน้าลงฉกวูบมาที่ซอกคอของผม ขบกัดรุนแรงเป็นการลงโทษ“อะ จะ เจ็บ” ผมบอกเสียงสั่น เอามือดันอกแกร่งให้ออกห่าง
“มึงว่างมากรึไง”ผมหันไปตามเสียงของเพื่อนที่ดังขึ้นอย่างเบื่อหน่าย เมื่อผมนั้นมาหามันแทบจะทุกวัน เพื่อนคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร ไอ้ซันกับไอ้เบสครับ ตอนนี้พวกผมทั้ง 4 คนเรียนจบแล้วครับ และกำลังอยู่ในช่วงเอื่อยๆ พักผ่อนหลังเรียนจบ เพื่อรอให้ถึงวันรับปริญญาในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้านี้เอง“เออ กูว่าง” ผมหันไปตอบมันกวนๆ และว่างในที่นี้คือว่างจริงๆ ครับ ผมขออากันต์ไว้แล้วว่าจะเข้าไปช่วยงานหลังรับปริญญาเสร็จ ซึ่งอากันต์ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนี้หลังจากรับปริญญาแล้ว ผมกับพี่เนมมีแผนว่าจะแต่งงานหลังจากนั้นกันด้วย แต่รายละเอียดยังไม่ได้ลงลึกสักเท่าไหร่ส่วนสาเหตุที่ผมมาหมกตัวอยู่กับพวกมันก็เป็นเพราะว่าผมว่างจริงๆ และพี่เนมเองก็ทำงานอย่างหนักหน่วงอีกด้วย เนื่องจากตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ที่คอยส่งให้กับบริษัทของคุณรอลเลนอยู่เพิ่มปริมาณมากขึ้น และยังมีโปรเจ็คใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกัน ทำให้ต้องบินไปๆ มาระหว่างประเทศไทยกับลอนดอน ถามว่าทำไมถึงไม่เอาผมไปด้วย เพราะผมไปแล้วพี่เนมไม่มีเวลาให้เลย สรุปคือผมไปแล้วก็ไปนั่งรอพี่เนมในห้องเฉยๆ หรืออาจจะออกไปเที่ยวคนเด
หลังจากที่พี่เนมขอผมแต่งงาน ในค่ำคืนวันนั้นเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เฝ้าเพียรบอกรักกันไม่ขาด กระซิบถ้อยคำหวานหูคลอเคล้าไปกับเสียงครางรัญจวนและในตอนนี้ผมก็เดินทางกลับประเทศไทยแล้วครับ ที่ๆ ผมยืนอยู่ตอนนี้มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ กระทบกับผิวกายให้พอเย็นๆ ไม่ได้รู้สึกร้อนมากมายเท่าไหร่นัก และมีคนตัวสูงยืนอยู่ข้างกัน ในมือของเราถือดอกไม้ไว้คนละช่อที่เบื้องหน้าคือแผ่นหินแกะสลักชื่อของผู้ที่เป็นบิดาและมารดา ครับ ตอนนี้เราอยู่กันที่สุสานวัดนาไพร พี่เนมวางดอกไม้ในมือลงให้กับหลุมศพตรงหน้า เราจุดธูปกันคนละหนึ่งดอก เพื่อทำความเคารพให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว“พ่อครับ แม่ครับ ผมพาสะใภ้มาหานะ” คำพูดของพี่เนมทำให้ผมหน้าแดง ก่อนจะหันไปมองค้อนให้หนึ่งที คนตัวสูงสบสายตากลับมา ก่อนจะยกยิ้มให้เบาๆ ก่อนที่ผมจะเริ่มพูดบ้าง“ขออนุญาตให้ผมได้ดูแลพี่เนมด้วยนะครับ แม้เราจะมีลูกกันไม่ได้ แม้ผมจะช่วยงานของพี่เนมไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ผมก็จะยืนเคียงข้างพี่เนมเสมอ ผมขออนุญาตนะครับ.... ถือว่าพวกท่านตกลงแล้วนะครับ” ผมว่
ความคิดเห็น