แชร์

บทที่ 27 ผลกระทบ

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:24:28

ทางฝังองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง หลังจากที่รู้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลพ้นขีดอันตรายแล้วเขาพลันวางใจลง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนั้นเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโตของนางอยู่ในมือของหมอหลวงแล้วนางก็วางใจลงได้ อันที่จริงนางวางใจตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินเจียวเจียวโรยยาห้ามเลือดลงไปบนบาดแผลแผลแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นและการอธิบายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเด็กสาวผู้นั้นทำให้จิตใจอันเคร่งเครียดของนางพลอยผ่อนคลายไปด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทติดตามมาเพื่อปกป้องคุ้มครองนางและหลานชาย ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก

ฮูหยินผู้เฒ่าสำรวจห้องโถงของเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานหลวงด้วยความสนใจ เรือนแห่งนี้แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับใช้แต่ของดีและมีราคา นางหันไปจ้องมองหลานชายผู้สูงศักดิ์ของตนเองอีกครั้งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา

“องค์รัชทายาท พระองค์ทรงปลูกเรือนเอาไว้ข้างนอกเช่นนี้ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้หรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เขาก็หันไปส่งยิ้มให้แก่นางแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่ท่านยายไม่ต้องกังวลต่อให้ทรงรู้เรื่องนี้ก็แค่เพียงตำหนิข้าแค่เพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น”

“ในเมื่อฝ่าบาททรงตามพระทัยพระองค์จนถึงขั้นนี้แล้ว ในอนาคตก็อย่าได้ทรงทำสิ่งใดที่จะทำให้ฝ่าบาททรงเสียพระทัยเลยนะเพคะ” ถ้อยคำนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

“เพียงแต่เหตุใดท่านยายจึงได้เข้าเมืองหลวงมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า กว่าข้าจะรู้ท่านและญาติผู้พี่ก็เข้ามาจนถึงด้านในประตูเมืองแล้ว ท่านยายข้าขอบอกท่านตามตรงยามนี้กองกำลังรักษาเมืองยังไม่ใช่คนของข้าการจัดการของพวกเขาทั้งหละหลวมและจัดการได้ไม่ดี ทำให้กลุ่มคนไม่ประสงค์ดีลงมือได้ตามใจ วันหน้าหากท่านยายและญาติผู้พี่จะไปที่ไหนจะต้องแจ้งให้ข้ารู้ก่อน ข้าจะได้ส่งคนไปคอยอารักขาท่านอย่างเต็มที่” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็ทอดถอนใจออกมา

“เป็นเพราะหม่อมฉันประมาทเองเพคะ หลายปีมานี้หลงคิดว่าการที่สกุลหยวนย้ายออกจากเมืองหลวงไม่มีอำนาจใดๆ ในราชสำนักแล้วจะปลอดภัย คิดไม่ถึงว่าแค่เพียงเข้าประตูเมืองมาไม่ได้เท่าไหร่ก็จะถูกผู้อื่นลอบโจมตีเช่นนี้” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันทอดถอนใจออกมา

“เรื่องที่สามารถทำให้ท่านยายร้อนใจเช่นนี้ได้คงจะเกี่ยวกับญาติผู้พี่กระมัง”

“เพคะ ก่อนหน้านี้อี้เอ๋ออ่อนแอมาโดยตลอด สามวันดีสี่วันไข้พอเริ่มเติบใหญ่สุขภาพก็พันดีขึ้น เมื่อแม่สื่อที่ได้รับการไหว้วานจากจวนผิงกั๋วกงติดต่อมาว่าทางนั้นสนใจจะเกี่ยวดองด้วยโดยผ่านการแต่งงานของอี้เอ๋อกับคุณหนูรองของจวน หม่อมฉันดีใจมากก็เลยรีบตอบตกลง ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันก็ยังแอบหวังว่าการได้เกี่ยวดองกับจวนผิงกั๋วกงอาจจะช่วยทำให้พระองค์ทำการใหญ่ได้ราบรื่น คิดไม่ถึงว่าหลังจากตอบตกลงไปอาการของอี้เอ๋อจะกลับไปทรุดเหมือนเก่า หม่อมฉันก็เลยไม่กล้าดำเนินเรื่องการหมั้นหมายต่อเพราะเกรงว่าอาการป่วยของอี้เอ๋อจะทำให้คุณหนูรองผู้นั้นต้องลำบาก” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา

“จวบจนได้พบกับท่านหมอผู้หนึ่งเขาไม่เพียงรักษาอาการป่วยของอี้เอ๋อจนหายดีเขายังบอกอีกว่าอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของอี้เอ๋อหายดีแล้วและไม่กลับมาเจ็บป่วยเช่นเดิมอีก ด้วยความดีใจหม่อมฉันก็เลยตามหาแม่สื่อผู้นั้นอีกครั้งด้วยตั้งใจว่าจะดำเนินเรื่องการหมั้นหมายกับจวนผิงกั๋วกงต่อ คิดไม่ถึงว่าทางจวนผิงกั๋วกงจะเข้าใจว่าทางอี้เอ๋อไม่คิดจะหมั้นหมายแล้ว ยามนี้ก็เลยให้แม่สื่อคนนั้นช่วยดูคุณชายคนใหม่ให้แก่คุณหนูรอง หม่อมฉันก็เลยคิดว่าควรจะพาอี้เอ่อมาขอขมาด้วยตนเองและขอสานสัมพันธ์เรื่องการหมั้นหมายและการแต่งงานอีกครั้ง” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไม่หลงก้พลันขมวดคิ้ว

“คุณหนูรองจวนผิงกั๋วกง …เฉินเจียวเหม่ย! นี่ท่านยายคิดจะหมั้นหมายเฉินเจียวเหม่ยให้แก่ญาติผู้พี่หรือ”

“ใช่เพคะ เพียงแต่แม่นางที่แนะนำตัวว่าเฉินเจียวเหม่ยที่แท้ก็คือคุณหนูรองของจวนผิงกั๋วกงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนคิดทบทวนตอนที่เฉินเจียวเหม่ยแนะนำญาติผู้พี่ของนางว่าคือคุณหนูใหญ่มีนามว่าเฉินเจียวเจียว ส่วนตัวนางนั้นนางแนะนำแค่ชื่อแล้วก็เลี่ยงไปแนะนำว่าบิดาของนางคือน้องชายคนที่สามของผิงกั๋วกง

“ที่แท้คุณหนูรองก็คือนาง เรื่องนี้นับว่าเป็นบุพเพของคนทั้งคู่แล้วจริงๆ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันส่ายหน้า

“ท่านยาย ญาติผู้พี่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับผู้อื่นเพียงเพราะต้องการช่วยหลาน แม้ว่าจะไม่มีจวนผิงกั๋วกงหลานก็มั่นใจว่าหลานสามารถเอาชนะจวนสกุลจ้าวได้” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พลันส่ายหน้า

“แม้ว่าจะไม่สามารถดึงจวนผิงกั๋วกงมาช่วยสนับสนุนได้ แต่พระองค์ก็ควรจะมั่นพระทัยได้ว่าในวันหน้าจวนผิงกั๋วกงจะไม่หันไปสนับสนุนผู้อื่น หม่อมฉันรู้ดีว่าหลายปีมานี้พระองค์รู้สึกอย่างไร หม่อมฉันเองในยามนี้มีเพียงพระองค์และอี้เอ๋อที่ยังคงมีสายเลือดของคนสกุลหยวน ขอเพียงวันหน้าองค์รัชทายาทสามารถอยู่รอดปลอดภัยทรงใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นมีคู่ครองที่ดีไร้ผู้อื่นคอยปองร้าย ส่วนอี้เอ๋อนั้นขอเพียงเขาแข็งแรงได้แต่งงานกับคนที่ดีใช้ชีวิตอย่างราบรื่นปลอดภัยเพียงเท่านี้หญิงชราเช่นหม่อมฉันก็สามารถนอนตายตาหลับแล้วเพคะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยถามหญิงชราตรงหน้าออกไปตามตรง

“ท่านยายคิดว่าเฉินเจียวเหม่ยเหมาะสมกับญาติผู้พี่จริงหรือ ญาติผู้พี่จะชอบนางหรือไม่แล้วนางจะดีต่อญาติผู้พี่หรือไม่” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พลันยิ้มออกมา

“หลายปีมานี้แม้ว่าจะต้องเผชิญต่อความทุกข์ยากและทรงมีศัตรูรอบด้าน หม่อมฉันเคยกังวลใจว่าจิตใจขององค์รัชทายาทจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีจิตใจด้านชาและเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก แต่ยามนี้หม่อมฉันรู้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นหลานชายตัวน้อยที่มีความเอาใจใส่ต่อผู้คนรอบข้างเช่นเดิม องค์รัชทายาททรงวางใจเถิด อี้เอ๋อเคยเห็นรูปวาดของคุณหนูรองแล้วแม้ว่าตัวจริงจะงดงามกว่าในรูปจนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง แต่ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาและชอบช่วยเหลือผู้อื่นของนางจะต้องทำให้อี้เอ๋อชอบพอนางได้จากใจจริงอย่างแน่นอนเพคะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็พยักหน้าอย่างวางใจ

ในขณะที่ผู้คนในเรือนลับขององค์รัชทายาทกำลังพูดถึงเฉินเจียวเหม่ย ทางฝั่งจวนผิงกั๋วกงเฉินเจียวเหม่ยก็กำลังดุด่าญาติผู้น้องของตนเองด้วยความไม่พอใจอยู่เช่นกัน

“เจียวมี่! ข้าบอกให้เจ้าวาดรูปของข้าให้อัปลักษณ์ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะวาดเสียจนข้าดูอัปลักษณ์มากเช่นนี้ ฮือๆ ไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิดว่าทำไมจวนสกุลหยวนจึงไม่ส่งคนมาดำเนินเรื่องการหมั้นหมายต่อเช่นนี้” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางกำรูปในมือแน่น เมื่อคิดว่าตอนที่แม่สื่อของจวนส่งรูปนี้ของนางออกไปให้หยวนอี้ดูนางก็ร้องโอดครวญออกมาเสียงดังอย่างไม่คิดจะหยุดพัก

“ก็พี่เจียวเหม่ยบอกกับข้าเองว่ายิ่งอัปลักษณ์เท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ พี่เจียวเจียวตอนนั้นพี่ก็อยู่ด้วย นางบอกว่านางไม่อยากแต่งงานกับคุณชายขี้โรคของสกุลหยวนเองนะเจ้าคะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยพลางหันไปโอดครวญกับเฉินเจียวเจียวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“เจ้าอย่าได้สนใจนางเลย เรื่องนี้ล้วนเป็นนางที่ทำตนเองจนเป็นเช่นนี้” เฉินเจียวเจียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเพราะนางรู้ว่าในชาติก่อนช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกไม่นานเฉินเจียวเหม่ยจะได้หมั้นหมายกับหยวนอี้คุณชายรูปงามจากสกุลหยวนสมดั่งตั้งใจ

เพียงแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจจะวางใจมากจนเกินไป ยามนี้มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะการกระทำของนาง ซึ่งนางเองก็กำลังหวั่นใจว่าจะกระทบต่องานแต่งงานของญาติผู้น้องทั้งสองหรือไม่ ทุกการกระทำของนางล้วนค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างระมัดระวัง จุดประสงค์หลักก็เพื่อที่จะไม่ให้กระทบกับการแต่งงานอันสงบของเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ ยามนี้นางเองก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ความระมัดระวังของนางประสบผลสำเร็จเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีจะได้แต่งงานกับคนที่พวกนางพึงพอใจอย่างเช่นในชาติที่แล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status