แชร์

บทที่ 28 สำรวม

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:24:54

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พาหยวนอี้ที่ยังไม่หายดีมาเป็นแขกของจวนผิงกั๋วกง เนื่องจากบุรุษภายในจวนล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมดอีกทั้งยังรู้ถึงเจตนาของทางฝั่งสกุลหยวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรับแขกจากสกุลหยวนที่โถงกลางของเรือนชั้นใน โดยมีฮูหยินและลูกสะใภ้ทั้งสามคอยช่วยนางต้อนรับแขก

“เจียวเหม่ย ควบคุมสติอารมณ์แล้วออกมาจากหลังพุ่มไม้เดี๋ยวนี้เลย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยกับญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“จะทำอย่างไรดี เขาจะต้องเข้าใจว่าข้าคือสตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ในรูปผู้นั้นเป็นแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจโดยไม่คิดจะสนใจถ้อยคำตักเตือนของเฉินเจียวเจียวเลยสักนิด

“ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเห็นใบหน้าของท่านแล้วมิใช่หรือ ท่านบอกกับข้าเองว่าเขาถูกท่านลากตัวออกจากรถม้าแล้วโยนให้ผู้คุ้มกันของจวนเรา” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็หันไปขึงตาใส่เฉินเจียวมี่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่าเต็มที่

“เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ข้ายังคิดเสียดายอยู่เลยว่าในยามนั้นข้าน่าจะอ่อนโยนอีกสักนิด เอ่ยวาจาดีๆ กับเขาสักประโยคสองประโยค” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมี่ก็ต่างส่ายหน้าให้กันอย่างรับไม่ได้กับท่าทีเช่นนี้ของนาง

“เจ้าวางใจเถิด ท่านย่าบอกกับข้าแล้วว่าที่คนสกุลหยวนมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อพูดคุยเรื่องการหมั้นหมาย ก่อนหน้านี้เป็นเพราะคุณชายหยวนล้มป่วยจึงได้ยังไม่กล้าดำเนินการเรื่องการหมั้นหมาย แต่ยามนี้เขาหายดีแล้ว สาเหตุที่เข้าเมืองมาก็เพียงเพื่อขออภัยที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ส่งคนมาแจ้งให้เข้าใจในความจำเป็น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแต่เฉินเจียวเหม่ยก็ยังคงจ้องมองคนผ่านทางหน้าต่างของห้องโถงที่ยังเปิดอยู่ แม้ว่าระยะการมองเห็นจะทำได้แค่เพียงเห็นเงาคนเพียงไม่กี่คนแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับไม่ยอมละสายตา

“ไม่เป็นไรๆ ข้าอายุน้อยถึงเพียงนี้ย่อมไม่ตำหนิท่านอยู่แล้ว ท่านไม่ได้ทำให้การแต่งงานของข้าล่าช้าไปเสียหน่อยแล้วข้าจะตำหนิท่านได้อย่างไร” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาดุจคนละเมอทำให้เฉินเจียวมี่ทอดถอนใจออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับเฉินเจียวเจียวเสียงเบา

“ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบออกไปจากบริเวณนี้ดีหว่าหากพี่เจียวเหม่ยถูกผู้อื่นจับได้ก็เรื่องเป็นเรื่องของนาง ส่วนพวกเราควรจะไปนั่งจิบน้ำชาด้วยท่วงท่าอันงดงามเพื่อรอฟังข่าวดีกันดีกว่า”

“นั่นน่ะสิ ปล่อยให้นางนั่งขาแข็งไปเถิด อีกทั้งหากถูกจับได้ว่าแอบดู คุณชายหยวนอาจจะรู้สึกว่าว่าที่คู่หมั้นของเขาคนนี้ไร้กิริยาน่าเชิดชูไม่สมกับที่เกิดมาเป็นคุณหนูในสกุลใหญ่สักนิด” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็รีบลุกขึ้นในทันที

“ผู้ใดแอบดูกัน ไปเถิดพวกเราไปนั่งจิบน้ำชารอฟังข่าวดีด้วยท่วงท่าอันงดงามสมกับที่เป็นคุณหนูในสกุลใหญ่กันดีกว่า” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยจบนางก็เดินนำหน้าไปด้วยกิริยาชดช้อยทิ้งให้เฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมีที่ยืนมองนางทางด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขัน

นั่งดื่มชาได้ไม่นานสาวใช้ของเฉินเจียวเหม่ยที่ไปนั่งรอฟังข่าวก็เดินเข้ามาเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ขอแสดงความยินดีต่อคุณหนูรองด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าตกลงทำสัญญาหมั้นหมายระหว่างท่านกับคุณชายหยวนแล้ว อีกไม่นานก็จะกำหนดวันแลกเปลี่ยนของหมั้นอย่างเป็นทางการเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็พยักหน้าด้วยท่าทางที่พยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่

“ดีมาก นี่รางวัลของเจ้า ส่วนนี่คือเงินเล็กน้อยเจ้านำไปแบ่งกับสหายของเจ้าให้ทั่วถึง” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางปลดถุงเงินสองถุงแล้วส่งให้สาวใช้ผู้นั้นอย่างใจกว้าง เฉินเจียวมี่ถึงกับเบิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ทำให้พี่เจียวเหม่ยใจกว้างได้ถึงขั้นนี้ได้ชะรอยว่าคุณชายหยวนผู้นี้จะต้องมีความไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่” เมื่อน้องสาวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

“เขาเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมงดงามสะดุดตามากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น เอาเป็นว่าบรรดาอนุของท่านพ่อของข้าไม่มีเลยสักคนที่สามารถเทียบเคียงเขาได้”

“เอ่อ พี่สาวไม่มีบุรุษคนใดชอบให้นำรูปโฉมของเขาไปเปรียบเทียบกับสตรีหรอกนะเจ้าคะ”

“ก็ใช่น่ะสิวันหน้าห้ามพวกเจ้าเอ่ยกับผู้ใดว่าข้าเคยเอ่ยวาจาชื่นชมเขาเช่นนี้ จำเอาไว้ด้วย” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางโบกพัดเบาๆ ส่วนเฉินเจียวเจียวเอาแต่ก้มหน้าลงเพื่อปิดบังรอยยิ้ม

“ปีหน้าก็ปักปิ่นหลังจากนั้นจึงจะพูดถึงกำหนดวันแต่งงาน เจียวเจียวเจ้ามีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของข้าคนที่จะได้แต่งงานก่อนก็คือเจ้า ถึงยามนั้นก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงพระราชทานคู่ครองเช่นใดให้เจ้ากันนะ” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“เช่นนั้นวันหน้าเจ้าก็หาวิธีตีสนิทกับว่าที่คู่หมายของเจ้าให้ได้ เมื่อเจ้าสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาดีแล้วก็อย่าได้ลืมขอให้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้กับองค์รัชทายาท ขอให้องค์รัชทายาทช่วยทูลกับฝ่าบาทให้ข้าด้วย ข้าผู้นี้ก็อยากได้สามีที่ดีดังเช่นผู้อื่นเช่นกัน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยโดยไม่ได้คิดอันใดจุดมุ่งหมายของนางก็แค่เพียงต้องการหยอกเย้าเฉินเจียวเหม่ยแต่คิดไม่ถึงว่าเฉินเจียวเหม่ยกลับยึดถือเป็นจริงเป็นจัง

“ได้! เจ้าไม่ต้องกลัวข้าจะต้องตีสนิทกับคุณชายหยวนแล้วทำให้คุณชายหยวนชอบข้าให้ได้ วันหน้าเมื่อสนิทกันดีแล้วข้าจะขอให้เขาเอ่ยเรื่องแต่งงานของเจ้ากับองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน” สำหรับเฉินเจียวเหม่ยแล้วนางยึดถือว่าเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมี่เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาวที่คลานตามกันออกมา หากนางมีหนทางที่จะทำให้พี่น้องของนางมีความสุขได้นางย่อมไม่ละความพยายามอย่างแน่นอน

“คุณหนูทั้งหลายมาหลบกันอยู่ที่นี่เอง” เฉินมามา มามาอาวุโสข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินเอ่ยออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม

“ฮูหยินผู้เฒ่าให้บ่าวมาเรียนเชิญคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองไปที่โถงกลางของเรือนชั้นในเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอยากพบพวกท่านและอยากมอบของขวัญขอบคุณให้แก่พวกท่านด้วยตนเองเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินมามาเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยก็ต่างหันไปสบตากัน

“เจ้าจงสำรวม” เฉินเจียวเจียวเอ่ยเตือนญาติผู้น้องโดยไม่ออกเสียงซึ่งเฉินเจียวเหม่ยก็รีบพยักหน้าเพื่อรับคำในทันที

“ให้ข้าติดตามไปด้วยได้ไหมเจ้าคะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยถามเฉินมามาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เฉินมามานิ่งงันไปชั่วครู่แต่เมื่อคิดได้ว่าเฉินเจียวมี่ยังไม่โตเต็มที่ย่อมจะเลี่ยงคำครหาได้ อีกทั้งอีกไม่นานสกุลเฉินกับสกุลหยวนก็จะเกี่ยวดองกันแล้วนางจึงตัดสินใจเอ่ยปากอนุญาตด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ย่อมได้เจ้าค่ะ แต่คุณหนูสามจะต้องสำรวมตนและห้ามซุกซนนะเจ้าคะ” เมื่อเฉินมามาเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมี่ต่างหันไปมองเฉินเจียวเหม่ยกันอย่างพร้อมเพรียง

“ท่านเอ่ยเตือนผิดคนแล้ว” พวกนางเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเฉินเจียวเหม่ยส่งค้อนให้นางคนละหนึ่งทีแล้วจึงได้เอ่ยกับเฉินเจียวเจียวเสียงเบา

“เรื่องการตีสนิทของข้าเจ้าอย่าได้ลืมเชียว” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็เอ่ยวาจาตอบโต้เสียงเบาอย่างไม่ยอมแพ้

“หากเจ้าตีสนิทไม่ได้ก็ช่างเถิด หากข้าไม่พึงใจคู่ครองที่ฝ่าบาททรงประทานให้ข้าก็แค่หาเรื่องให้เขาและไม่ยอมแต่งงาน ถึงยามคนที่จะต้องร้อนใจก็คงเป็นเจ้าแล้วพี่สาวยังไม่ได้แต่ง คนเป็นน้องก็ยากจะได้แต่ง”

“เจียวเจียว!” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาเลย

“คุณหนูรองได้โปรดสำรวมด้วยเจ้าค่ะ” เฉินมามาหันมาเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจังทำให้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยหันไปฟาดฟันกันทางสายตาแทน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status