จากท่านหญิงสูงศักดิ์ต้องกลายมาเป็นเด็กสาวบ้านป่าฐานะยากจนแถมยังเป็นกำพร้า แรกเริ่มหลัวจืออจื่อที่มาเกิดใหม่ในร่างของหลินหลีฮวาก็คิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตให้ดีไม่คิดว่าสุดท้ายพอนางตัดสินใจแต่งงานจะพบหายนะ!
View Moreแสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดยาวเหนือแนวเขา ดุจม่านสุดท้ายของโชคชะตาลาลับขอบฟ้า ขบวนทูตจากเผ่าเจียงเคลื่อนผ่านผืนป่าเข้าสู่เขตชายแดนแคว้นต้าฉู่ อาภรณ์สีสด พู่ธงไหวลู่ตามลม ราวกับเป็นขบวนเกียรติยศ
หากแท้จริงแล้ว ภายนอกที่ผู้คนรู้คือเผ่าเจียงส่งท่านหญิงหลัวจือจื่อบุตรสาวคนโตของทู่ป๋าอ๋องเผ่าเจียงมาเป็นทูตสันถวไมตรี ทว่าภารกิจลับคือการส่งตัว หลัวจือจื่อ ไปอภิเษกกับ ไท่จื่อจ้าวจื่อหาน องค์รัชทายาทของต้าฉู่ เพื่อสานพันธไมตรีลับระหว่างสองดินแดนตามข้อตกลงทางการทหารของไท่หมิงฮ่องเต้กับทู่ปาอ๋องหลัวเจิงหนาน
แต่นี่คือสิ่งที่ราชสำนักบางฝ่ายไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะ องค์ชายสาม จ้าวจื่อเฉิน ผู้มองการแต่งงานนี้เป็นภัยอำนาจโดยตรงของตนเอง
เขาจึงส่งมือสังหารฝีมือฉกาจในคราบ “โจรป่า” ซุ่มดัก ณ เส้นทางลับ หวังสังหารหลัวจือจื่อตั้งแต่ก่อนนางจะข้ามพรมแดน
เสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง สะเทือนจนฝุ่นปลิวว่อน เงาดำมากมายพุ่งออกจากแนวไม้หนาทึบ ประกายดวงตาแต่ละคู่ฉายแววกระหายเลือด เหล็กในมือพวกมันส่องแสงเย็นเฉียบยามกระทบแสงสุดท้ายของวัน
"ศัตรู! ปกป้องท่านหญิง!!"
เสียงตะโกนขององครักษ์ดังลั่น พวกเขาชักดาบออกจากฝัก โลหะปะทะกันดังกึกก้อง เสียงลมหายใจขาดห้วง เสียงเลือดพุ่งสาด ดังก้องแทนบทเพลงอำลาชีวิต
ในขบวนรถม้า หลัวจือจื่อ ท่านหญิงวัยเพิ่งจะครบสิบห้าปี เข้าสู่วัยแรกรุ่นเบิกตากว้าง นางสัมผัสถึงคลื่นอันตรายที่ซัดเข้าหัวใจราวพายุพัด นางไม่เคยคาดคิดว่าวันที่ควรเป็นการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน จะกลายเป็นจุดจบของการมีชีวิต
แต่…นางไม่ใช่เด็กสาวผู้อ่อนแอ
หลัวจือจื่อ ผู้เคยดื้อดึงตามท่านอาออกศึกตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมรบอย่างเปิดเผย แต่นางกลับเรียนรู้การต่อสู้จากข้างสนาม และฝึกเพลงกระบี่ พระจันทร์คู่ เพลงกระบี่ที่มีเพียงทหารม้าเกราะเหล็กของเผ่าเจียงเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนได้ นางก็จนช่ำชอง เป็นดั่งจันทราทรงพลังคู่หนึ่งในเงามืดของสงคราม
นางกระชากดาบคู่จากข้างเอว ร่างบางกระโจนลงจากรถม้าอย่างสง่างาม เงาดาบในมือนางวูบไหวดั่งแสงจันทร์เฉือนเมฆ หมุนฟันเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ดาบซ้ายเฉือนไหล่ ดาบขวาตวัดกรีดเอ็นข้อมือของอีกคน เสียงร้องโหยหวนดังลั่น เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนอาภรณ์สีขาวจนย้อมแดง
นางกัดฟันแน่น แม้หัวใจจะเต้นระรัว แต่มือไม่สั่น ความกลัวถูกกลบด้วยความตั้งใจแน่วแน่
"เจ้าจะฝึกกระบี่เพื่ออะไร…ในเมื่อสุดท้ายก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คิดว่าจะรอดไปได้หรือ เพ้อฝันเสียจริง!"
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากเงามืด หัวหน้าโจร ในชุดดำสนิทก้าวออกมาช้าๆ แววตาของมันไร้ความปรานี ดาบในมือเคลือบประกายสีเขียวคล้ำวาววับกลิ่นของ “พิษ” ร้ายลอยแตะปลายจมูก
หลัวจือจื่อรู้ทันที…มันไม่ใช่ศัตรูธรรมดาเสียแล้ว
นางพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่ โจมตีเป็นจังหวะรวดเร็ว ราวระบำแห่งดวงจันทร์ ทั้งอ่อนช้อยและแม่นยำ แต่ดาบของมันกลับรับไว้ได้ทั้งหมด ด้วยพลังที่ไม่สมควรเป็นของมนุษย์
และในจังหวะหนึ่ง…เพียงครึ่งกระพริบตา
ฉึก!
กระบี่ซ้ายในมือนางหลุดจากการควบคุม ร่างของนางชะงักไปทั้งร่าง บาดแผลเล็กๆ ที่ต้นแขนลึกเพียงปลายมีด แต่กลับแล่นความเจ็บจนถึงไขสันหลัง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงพิษที่ไหลผ่านกระแสเลือด
มือเริ่มสั่น ความร้อนแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก
องครักษ์ของนางร่วงลงไปทีละคนถูกหั่น ถูกเฉือน ร่างแหลกเหลวไร้ชิ้นดี เสียงของพวกเขากลายเป็นเสียงร้องขอชีวิตสุดท้ายก่อนจะเงียบงัน
"ท่านหญิง! หนี…"
เสียงสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อดาบของโจรตวัดเฉือนกลางร่างขององครักษ์ผู้ภักดี ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น มือที่ยื่นมาหานางสั่นเทา ก่อนจะหยุดนิ่งตลอดกาล
นางกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าหาหัวหน้าโจรในความมืดอีกครั้ง แม้ร่างจะอ่อนแรง แม้พิษจะแล่นไปทั่วกาย
แต่…
ฉึก!
ดาบของมันเสียบทะลุร่างของนางอย่างโหดเหี้ยม ความเจ็บแล่นพล่านเกินทานทน เลือดไหลทะลักจากปากแผล ดวงตาของนางพร่าเลือน
ก่อนสติจะดับลง ภาพสุดท้ายที่เห็น…
คือ ชายในอาภรณ์สีแดงเข้มโดดเด่นท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยอาชาตัวใหญ่กับคนติดตามกลุ่มหนึ่ง
ใคร…กัน?
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงพร้อมชื่อของนาง ที่เริ่มถูกลืมเลือนจากประวัติศาสตร์ของเผ่าเจียงในวินาทีนั้น…
เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น พัดฝุ่นแดงฟุ้งขึ้นทั่วแนวป่าลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์จางหายแทนที่ด้วยแสงจันทร์คืนเพ็ญตกกระทบกับชายอาภรณ์แดงเข้มที่สะบัดไหวกลางสายลม
ราวกับเลือดที่ยังไม่แห้งบนผืนผ้าใบของสนามรบ
ซ่งไป๋เซียว ปรากฏตัวขี่ม้าดำทะมึน มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยาวที่บรรจงสวมปลอกไว้แน่น กระบี่เล่มนั้นคือนามแห่งตำนานของ จ้งฉี หน่วยองครักษ์ลับของไท่หมิงฮ่องเต้แห่งต้าฉู่!
-กระบี่แสงเมฆา-
อาวุธประจำตัวที่มีเพียงองครักษ์ระดับสูงขั้นสองขึ้นไปซึ่งผ่านการคัดเลือกหน้าพระที่นั่งเท่านั้นจะครอบครองได้
เขาคือหัวหน่วยจ้งฉีที่ไท่หมิงฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยที่สุดคือมือขวาของไท่จื่อจ้าวจื่อหาน
และคือผู้ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ รีบเดินทางปกป้องหลัวจือจื่อ ไม่ว่าแลกด้วยสิ่งใด!"นายท่าน! ทางนี้ขอรับ!! "
เสียงของ หลินลู่เฟย ดังขึ้นนำทางเข้าไปกลางป่าลึก
เมื่อกลุ่มจ้งฉีทั้งแปดนายควบม้าผ่านแนวไม้รกทึบเข้าสู่ลานโล่งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ…
นรกบนดิน
ซ่งไป๋เซียวกระตุกบังเหียนม้าจนหยุดนิ่งทันที ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มเบิกกว้างน้อย ๆ
ท่ามกลางหมอกเลือดคละคลุ้งศพของขบวนทูตจากเผ่าเจียงนอนเกลื่อนกลาดหญิงสาวในชุด ขาวปัดลวดลายสีทองนอนแน่นิ่งอยู่กลางวงศพองครักษ์ของเผ่าเจียง
..เขามาช้าไปจริง ๆ
หลินลู่เฟยกัดฟันแน่น
"บัดซบ... เรามาช้าไป!"
ซ่งไป๋เซียวไม่พูดสิ่งใด แต่กระบี่แสงเมฆาในมือถูกชักออกอย่างเงียบงันเสียงของโลหะขัดผ่านปลอกดาบ ดังต่ำจนลมหายใจของเหล่าศัตรูสะดุด
"พวกมันยังอยู่! รีบจับกุมพวกมันให้ได้ ข้าต้องการรู้ว่าคือผู้ใดคิดสังหารท่านหญิงทูตจากเผ่าเจียง!"
กลุ่มโจรซึ่งแท้จริงคือมือสังหารขององค์ชายสาม ยังไม่ทันหลบหนี ก็ต้องเผชิญกับจ้งฉีทั้งแปดนายการประทะเริ่มต้นทันทีเสียงดาบฟาดฟันกระหน่ำเหมือนพายุฤดูเหมันต์ เลือดสาดกระเซ็นราวสายฝน ฝีเท้าม้ากระแทกพื้นจนดินกระจาย
ซ่งไป๋เซียวเคลื่อนไหวเร็วราวสายลม กระบี่แสงเมฆาในมือเขาตวัดออกในทุกจังหวะที่แม่นยำ ร่างของศัตรูร่วงลงทีละคน...ทีละคน จนเหลือเอาไว้สอบสวนเพียงห้าชีวิต
เมื่อศึกสงบ ซ่งไป๋เซียวเป็นผู้รีบเข้าไปตรวจดูร่างของท่านหญิงหลัวอจื่อในจังหวะนั้นเอง...
หนึ่งในโจรที่แสร้งทำเป็นตายก็พุ่งตัวขึ้นมาพร้อมดาบที่เคลือบยาพิษ
ฉึก!!!
ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงไปที่กลางหลังของซ่งไป๋เซียวแต่ หลินลู่เฟย เห็นเข้าเสียก่อนจึงพุ่งร่างเข้ารับดาบนั้นไว้แทน
เลือดสีแดงฉานทะลักจากร่างที่เคยยืนหยัดเคียงข้างเขาทุกสนามรบมาตลอดสองปีเศษ
"อาลู่!!! "
ซ่งไป๋เซียวประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ทั้งโลกในยามนี้เหมือนหยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงกระบี่…
ไม่มีเสียงลม…
มีเพียงลมหายใจสุดท้ายของสหายรัก…
"นายท่าน…" หลินลู่เฟยฝืนพูดทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด เขายังมีห่วง
"ข้า…ยังไม่ได้บอกลาท่านย่ากับน้องสาว…"
ดวงตาเขาแผ่วเบา แต่แววแน่วแน่
"ขอ…นายท่าน…พาเถ้ากระดูกข้ากลับบ้านที… ขอนายท่านนำเงินที่ข้าจะได้…ไปมอบให้…อาหลี…น้อย…ฝาก…"
ซ่งไป๋เซียวกัดฟันแน่นจนเลือดซึมที่ริมฝีปาก
"ข้าสาบาน…จะพาเจ้ากลับบ้านด้วยมือของข้าเอง ข้าจะนำเงินและสิ่งที่เจ้าสมควรได้ไปมอบให้ท่านย่ากับน้องสาวของเจ้าเอง!"
ลู่เฟยยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาไหล เขาพยายามจะพูดบางสิ่งแต่ สุดท้ายเขาก็จากไปในอ้อมแขนของซ่งไป๋เซียวทั้งที่ดวงตามิอาจปิดลง!…
แสดงให้เห็นว่าผู้ตายคงมีบางสิ่งที่เขายากจะปล่อยวาง ไป๋เซียวเจ็บปวดนัก!
หลังจากนั้นซ่งไป๋เซียวเดินไปยังร่างของหลัวจือจื่อที่ไร้ลมหายใจชุดขาวของนางเปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่าง กระบี่พระจันทร์คู่วางตกอยู่ข้างมือเล็กที่เย็นเฉียบบอกได้ว่าเด็กสาวก็นับเป็นนักรบคนหนึ่งของเผ่าเจียง
เขาทรุดตัวลงเงียบ ๆ มือที่ฆ่าคนนับร้อยในสนามรบ กลับสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมไปปิดเปลือกตาของนาง
"ข้ามาช้า...เพียงก้าวเดียว…"เสียงเขาเบาจนแทบเป็นเสียงลม วันนี้เขาสูญเสียมากไปแล้ว
"แม้จะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้...แม้จะเป็นความหวังของไท่จื่อ…แต่ข้าก็ยัง…ช่วยท่านหญิงเอาไว้ไม่ได้"
เขาหลับตาลงชั่วครู่และพูดกับลมหายใจสุดท้ายของเธอว่า
"ชาติหน้า…หากท่านหญิงได้เกิดใหม่…ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากลมหายใจของท่านไปอีกแน่!"
สายลมยามราตรีพัดผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของเขาสะบัดพลิ้วอยู่ใต้แสงจันทร์ ราวกับเปลวเพลิงที่เงียบงัน แต่ยังคงลุกไหม้ไม่สิ้นสุด
…ก่อนที่ซ่งไป๋เซียวจะเอื้อมมือปิดเปลือกตาของนางสายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเครื่อประดับเล็ก ๆ
ที่ตกอยู่ใกล้ตัวของท่านหญิงตัวน้อยปิ่นหยกจันทรา ซึ่งหักครึ่งหนึ่งเขารู้ทันทีว่านี่คือเครื่องหมายประจำตระกูลของเผ่าเจียง เป็นของสำคัญของผู้มีสายเลือดราชวงศ์
เขานิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นควัก ผ้าแพรสีแดงเข้มที่ปักตรากิเลนเพลิงแห่งจ้งฉี
ออกมาจากอกเสื้อ และพันครึ่งหนึ่งของปิ่นหยกไว้อย่างแน่นหนาเขาวางมันแนบไว้ในอุ้งมือของหลัวจือจื่อเอาไว้
ราวกับฝากคำสัญญาอะไรบางอย่างไว้กับนาง
"ข้าไม่เชื่อในปาฏิหาริย์"
เสียงของเขาแหบพร่าต่ำ
"แต่หากสวรรค์ยังมีเมตตา หากท่านมีชาติหน้ายังได้เกิดใหม่ ขอให้ท่านจงรู้เอาไว้ ข้าผิดต่อท่านที่มาช้าไป หากชาติได้พวกเราได้พบกัน ข้าสัญญาจะปกป้องท่านให้ดี"
ปลายนิ้วเขาสัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือนาง เป็นสัมผัสสุดท้ายที่เย็นเฉียบก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและหันหลังให้นางพร้อมคำสั่งให้คนของตนเองจัดการศพของท่านหญิงให้ดีเตรียมส่งกลับเผ่าเจียง เขาตรงไปอุ้มร่างของหลินลู่เฟยขึ้นหลังม้าเตรียมพาสหายร่วมรบไปทำพิธีเผาเพื่อจะนำเถ้ากระดูกกลับไปส่งให้กับครอบครัวของเขาที่คงเฝ้ารออยู่…
ม่านราตรีคลี่คลุมผืนป่า เสียงลมพัดแผ่วผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของซ่งไป๋เซียวสะบัดในเงามืด
ละลายหายไปในม่านเงาแห่งราตรี…ทว่าในแววตาเย็นชาคู่นั้นกลับมีร่องรอยของคำว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งปราก
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ
Comments