หน้าหลัก / วาย / หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg) / บทที่ ๑ ต้องตามประสงค์

แชร์

บทที่ ๑ ต้องตามประสงค์

ผู้เขียน: Somoon
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-08 22:08:27

บทที่ ๑

ต้องตามประสงค์

๑๐ ปีต่อมา

ช่วงสายยามพระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือหัว บรรยากาศรอบข้างไม่ได้เงียบสงบเสียทีเดียว จอแจด้วยเสียงคนมากหน้าหลายตา ยืนต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรอรับอาหาร

แดนสามที่เป็นเขตโรงอาหารกำลังวุ่นวายมือประวิง มีคณะคนกลุ่มหนึ่งถูกนำทางด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากีอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คุมเรือนจำ เดินเลียบเคียงเข้าไปที่ตึกสองชั้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงาน

เรือนจำแบ่งเป็นหลายเขตหลายแดน แดนหนึ่งแรกรับ แดนสองให้ญาติเยี่ยม แดนสามเป็นโรงอาหารและสำหรับทำกิจกรรม แดนสี่เป็นต้นไปถึงสิบเป็นแดนกักขังนักโทษ เริ่มจากเบาสุดไปหาหนักสุด

และพวกที่อยู่ร่วมกับนักโทษทั่วไปไม่ได้ ก็คือแดนสิบ แดนที่รวมพวกมากวิชาอาคม จอมขมังเวทย์ไว้ในแดนนี้หมดแล้ว

การมาเยือนเรือนจำผู้ต้องโทษร้ายแรงในเวลานี้ ถ้าหากไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้ที่สามารถเข้าถึงนักโทษระดับนี้ได้ก็คงยศใหญ่หรือเส้นสายใหญ่ไม่น้อย

คณะเดินทางนั้นมาหยุดที่ห้องหนึ่ง ร่างภูมิฐานแต่งกายดูดีกว่าใครเดินองอาจเข้าไปในห้อง ด้านในมีคนรออยู่ก่อนแล้ว

“ไม่ใช่เรื่องง่ายนะท่าน หากเบื้องบนรู้เข้าล่ะซวยแน่” คนในห้องหน้าเครียดขึง คิ้วขมวดแน่น

“พูดอะไรอย่างนั้นท่านมนตรี ก็ท่านไม่ใช่หรือครับที่เขาเรียกกันว่าเบื้องบน” คนมาใหม่หย่อนตัวนั่งเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“แต่นี่..”

“ถ้ามีเขา งานของเราจะสบายขึ้นมาก ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ”

“ถ้านายใหญ่รู้…”

“ไม่เอาน่าท่าน ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่มีหนทางให้หันกลับแล้วล่ะ ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ” ไม่สนหรอกว่านายใหญ่ที่ว่าจะหมายถึงใคร ใหญ่มากแค่ไหน เขาแค่ต้องการและจะทำทุกวิถีทางให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น

แสงแดดยามเช้าของเมืองสยามสดชื่นและมีชีวิตชีวาไม่แพ้เมืองใดในโลก อากาศที่บริสุทธิ์ชวนให้หายใจเข้าลึก ๆ เอามวลเวหาก้อนใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่งเป็นพิเศษด้วยไม่มีหมู่เมฆบดบังสีครามกว้างใหญ่ ฉัตรเกล้าในวัยยี่สิบสาม จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ เป็นเจ้าของเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไว้เชิดชูเกียรติศรีให้แก่วงศ์ตระกูล

เจ้าตัวผิวขาวนวลผ่องใสเสียจนผู้คนรอบข้างเหลียวมอง เส้นผมหนานุ่มสุขภาพดีและมุมปากที่ยกขึ้นตลอดเวลาขับให้ใบหน้าดูอ่อนโยนนุ่มนวล

ช่างดูเป็นคนที่มีจิตใจดีในขณะเดียวกันก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน

“ตาฉัตร” สองจ้อกแจ้กจอแจของคนรอบข้างด้วยความวุ่นวายไม่อาจกลบเสียงหวานละไมที่เอ่ยเรียกชื่อเขาได้เลย

เสียงอันคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมาหลายปีทำให้ฉัตรเกล้าหันไปมองในทันที

คุณหญิงแก้วตาควงคู่มากับคุณชนาสามีของเธอ ด้านหลังมีลุงหมายที่มีหน้าที่ขับรถให้กับตระกูล

ขาเรียวยาวพาร่างกายสมส่วนดูดีเข้าไปกอดมารดาด้วยแสนคิดถึง ตามด้วยกอดบิดาที่รอท่าอยู่เหมือนกัน

“กลับมาแล้วครับ” เสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับของเจ้าตัวเอ่ยบอก ปากอิ่มเป็นกระจับเผยรอยยิ้มกว้างชวนมอง

บ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวนวลทั้งหลัง มรดกตกทอดมาจากบิดาของคุณหญิงแก้วตาที่เป็นถึงหม่อมเจ้า ส่วนคุณชนามาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านอาหารและที่พัก ตอนแรกไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก จนทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน ซึ่งนั่นทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น จนปัจจุบันไพศาลภิรมย์รักษ์มั่งคั่งด้วยเงินทองและอำนาจมีชื่อเสียงไปทั้งสยามประเทศ

เจ้านายของบ้านมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน ประกอบไปด้วยคุณท่านชนา คุณหญิงแก้วตา คุณปกเกล้าลูกชายคนโต และคุณฉัตรเกล้าลูกชายคนเล็ก

บ่าวไพร่นับสิบชีวิตหลับนอนอยู่ในเรือนด้านหลังของคฤหาสน์ เรือนไม้สองชั้นถูกกั้นห้องเป็นส่วนตัวให้คนงานหญิงอาศัย ส่วนคนงานชายปลูกเรือนไม้ชั้นเดียวแยกอยู่ด้านหลังลึกเข้าไปอีก

สวนทางเข้าบ้านกว้างใหญ่และสวยงาม เนื่องด้วยคุณหญิงแก้วตาชื่นชอบพืชพันธุ์ จึงจัดสวนและให้คนดูแลอย่างดีมาโดยตลอด

ทุกอย่างยังคงเหมือนกับวันที่ชายหนุ่มกลับมาครั้งล่าสุดเมื่อตอนจบไฮสกูล

เพียงแต่เงื่อนไขของกาลเวลาที่หมุนไปไม่มีวันหยุด เป็นสิ่งเดียวที่บอกกับฉัตรเกล้าว่าทุกสิ่งกำลังเติบโตในทางของมัน

นักเรียนนอกดีกรีเกียรตินิยมเปิดประตูห้องนอนบานใหญ่ กลิ่นสะอาดเป็นเอกลักษณ์ลอยเข้าจมูก บ่งบอกว่าแม้คนไม่อยู่แต่ห้องหับก็ถูกดูแลมาอย่างดี

“มาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักก่อนนะลูก ช่วงเย็นแม่จะให้คนมาปลุกแล้วเราออกไปทานข้าวข้างนอกกัน” คุณหญิงแก้วตามองลูกชายคนเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งของเธอแตะเบา ๆ ที่แขนชายหนุ่ม

ฉัตรเกล้าได้โครงหน้าและดวงตามาจากคุณหญิงแก้วตาราวจับวาง ใบหน้ามนสวยและดวงตาคมทว่ากลมโต ชวนมองไม่น้อย ส่วนปากอิ่มกระจับได้มาจากคุณชนาผู้เป็นพ่อ จมูกได้มาจากคุณย่าที่บัดนี้ล่วงลับไปแล้ว

โดยรวมฉัตรเกล้าเป็นบุคคลที่ใบหน้ามีความโดดเด่นและดึงดูดสายตาได้ทั้งหญิงและชายเลยทีเดียว

“ครับคุณแม่ แล้วนี่พี่ปกไปไหนหรือครับ” ถามถึงพี่ชายตนที่ไม่ได้เจอนานหลายปี แม้กระทั่งการกลับมาครั้งที่แล้วเจ้าพี่ชายที่อายุมากกว่าห้าปีก็ไม่เคยอยู่ให้เห็นหน้าสักที

“ตาปกน่ะหรือ ป่านนี้ก็คงไปเที่ยวสนุกตามประสานั่นแหละ แต่แม่บอกไว้แล้วว่าลูกกลับมาถึงวันนี้ อย่างไรตอนเย็นก็คงมา” คุณหญิงแก้วกล่าวด้วยคิ้วขมวดเล็กน้อย ก็เพราะลูกคนโตไม่ค่อยจะเอาไหน เรียนจบมาก็ผลาญเงินครอบครัวไปวัน ๆ

“ครับคุณแม่” ฉัตรเกล้าสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าแม่ของตนไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมไม่เอาอ่าวนี้เพียงใด

ชายหนุ่มอมลมไว้ในปากด้วยติดนิสัยมาตั้งแต่ยังเด็กและปล่อยออกย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัว

“ยังแก้ไม่หายหรือลูกที่ชอบอมลมจนแก้มตุ้ยเนี่ย” คุณหญิงแก้วตาเอ่ยแหย่

“ขอโทษครับ” เอ่ยกับมารดาเสียค่อย

คุณหญิงแก้วตาส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองฉัตรเกล้าด้วยเอ็นดูเป็นอย่างมาก

“พักผ่อนสักหน่อย ไว้แม่ให้คนมาเรียก”

คุณหญิงเธอจากไป ฉัตรเกล้าจึงหันหลังเดินเข้าห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่สีขาวกลางห้อง หันมองรอบข้างกับบรรยากาศที่คุ้นเคยและผูกพัน ไล่สายตาไปเรื่อย ๆ จนสะดุดกับชั้นหนังสือที่ติดกับผนังห้อง

บุษบารอรักจากชาตรี ห่างนทีไกลลับไม่กลับหวน

เคยชื่นมื่นอิงแอบหอมรัญจวน ต้องคร่ำครวญเดียวดายพี่หายไป

ชะตาช้ำนำรักไม่สุขสม ทุกข์ระทมจมปลักแสนอ่อนไหว

อันคิดถึงสุดคำนึงจ้าวดวงใจ อยู่แห่งใดใคร่รู้พ่อแก้วตา

บทกลอนที่เด็กชายฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ได้เรียบเรียงขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้เด็กชายเขียนกวีที่แสดงถึงการจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับ

แม้จะรู้สึกถึงความเศร้าแต่ในใจยังมีความอบอุ่นที่หล่อหลอมจากความทรงจำวัยเด็ก

ช่วงห้าโมงเย็นฉัตรเกล้าเดินลงมาจากห้องโดยไม่ต้องรอให้ใครไปเรียกหลังจากตื่นนอน พ่อแม่ลูกจึงได้นั่งรถแอสตัน มาร์ติน ดีบีโฟร์ออกไปทานอาหารที่เรสเตอรองหรูซึ่งถือเป็นร้านประจำของครอบครัว

คุณหญิงแก้วตาจัดการสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเพื่อเอาใจลูกชายคนเล็กโดยเฉพาะ อาหารไทยมากมายจึงอยู่ตรงหน้าฉัตรเกล้าให้ได้อิ่มอร่อย

“ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเสียนานคงไม่ค่อยได้ทานอาหารไทย กลับมาแล้วก็ทานเยอะ ๆ นะลูก” คุณหญิงแก้วตาตักแกงกะทิหอมกรุ่นด้วยเครื่องเทศจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์พร้อมด้วยหมูโสร่งให้ลูกของเธอตามลำดับ

“ขอบคุณครับคุณแม่”

“ข่าวว่ามีพายุฝนฟ้าคะนอง คิดว่าเครื่องบินที่ลูกนั่งจะต้องจอดพักที่ไหนเสียอีก คุณแม่เขาเป็นห่วงมาก” คุณชนาว่าบ้าง

เพราะสภาพอากาศแปรปรวน จึงอดห่วงลูกไม่ได้

“กลับมาแล้วก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องเดินทางไกลไปไหนแล้ว” เธอเป็นห่วงลูกทุกครั้งที่ต้องเดินทางไกล อุบัติเหตุหรือก็มากเสียจนหวาดหวั่นว่าหากวันหนึ่งเป็นข่าวจากเครื่องที่ลูกเธอนั่ง เธอจะทำอย่างไร

“ครับ” ฉัตรเกล้ายิ้มรับและเริ่มตักอาหารเข้าปากตามบิดามารดา

“ตาปกนี่ยังไง น้องกลับมาแท้ ๆ ไม่คิดจะมาหาบ้าง” คุณหญิงแก้วตาบ่น เมื่อทานไปได้สักพักแต่ปกเกล้าก็ยังไม่มาเสียที

“แบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่คุณ คงต้องจัดการจริงจังกับตาปกเสียหน่อยแล้ว” ก่อนจะหันมาบอกสามี

“ลูกคนนั้นมันกะล่อน อยู่ไม่เป็นที่ ถึงแม้งานดูแลกิจการจะช่วยผมไม่ได้แต่อย่างอื่นมันถนัดนัก” คุณชนายิ้มพราวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉัตรเกล้าไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก

ฟังดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล

“อย่างไรคะ”

“ได้ข่าวว่าพักนี้ตาปกไปเกี้ยวหนูหลิน ลูกสาวเฒ่าแก่ซ่งเจ้าของห้างดาวกระจายอยู่น่ะ”

“คุณหมายถึง?”

“มีทั้งห้างและอสังหาอื่น ๆ ในครอบครองเชียวคุณ ดีไม่น้อยเลยล่ะถ้าตาปกได้ตบแต่งกับหนูหลิน”

“จะได้แต่งแน่หรือคะ ตาปกเกี้ยวผู้หญิงไปทั่วทั้งพระนครขนาดนี้”

“แต่ไม่มีใครร่ำรวยเท่าครอบครัวซ่งแล้วนะคุณหญิง ถ้าได้แต่งไพศาลภิรมย์รักษ์ของเราจะต้องมีบารมีและยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่งแน่นอนเชียว”

เท่านี้ก็ยังไม่พอหรือ

เท่าที่มีตอนนี้ก็มากกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่าแล้ว

“ต้องให้ตาปกแต่งนี่แหละคุณ ให้ตาฉัตรแต่งไปอย่างไรก็คงได้ไปอยู่บ้านผัว ยิ่งถ้าตาฉัตรท้องขึ้นมาจริง ๆ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

ฉัตรเกล้าชะงักเมื่อได้ยินประโยคของบิดา มือข้างที่กำลังตักข้าวเข้าปากนั่งค้างกลางอากาศ

“คุณคะ ลูกฟังอยู่นะคะ” คุณหญิงแก้วตาเอ่ยปรามสามีเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของชายหนุ่ม

“ผมไม่เป็นไรครับ” ฉัตรเกล้าวางช้อนก่อนยิ้มละไม

ฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ เพศชายที่ถูกวินิจฉัยว่ามีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในตัวสูงกว่าปกติ อาจเพราะเชื้อพันธ์ที่ผิดประเภททำให้ตอนก่อร่างเป็นทารกในครรภ์ดันสร้างมดลูกของผู้หญิงมาในตัวด้วยหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งคุณหมอยังให้คำตอบไม่ได้

รู้เพียงหากหลับนอนกับผู้ชายและหลั่งใน ตัวฉัตรเกล้ามีโอกาสท้องถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์และเพราะถือเป็นกรณีแรก ๆ ในไทยทุกอย่างจึงถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากครอบครัว

“ฉัตรเกล้าเป็นผู้ชายค่ะคุณ วันหนึ่งก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิง สร้างครอบครัวเหมือนคนอื่น อย่าพูดให้ลูกคิดมากสิคะ”

“…เอาล่ะ พ่อพูดไม่คิดเอง กินเยอะ ๆ นะลูก” พูดด้วยรู้ตัวว่าเผลอกล่าวคำที่อาจทำร้ายจิตใจลูกชายคนเล็กเข้าจึงได้ตักอาหารโปรดของลูกให้ถึงจาน

“…คุณพ่อคุณแม่ครับ” ครู่เดียวชายหนุ่มก็เรียกบิดามารดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หือ ว่าไงลูก”

“ฉัตรอยากไปเลี้ยงอาหารคนยากไร้น่ะครับ”

คุณชนาและคุณหญิงแก้วตามองหน้ากัน

“ดีสิลูก แม่เห็นด้วย” ก่อนเธอจะหันมามองลูกชายที่นับวันยิ่งสง่างาม

“ทำเลยตาฉัตร พ่อให้ลูกคุมงาน งบเท่าไหร่ค่อยมาคุยกับพ่อ” คุณชนาเองก็สนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นโอกาสดีให้ลูกชายสร้างชื่อเสียงให้ตนเองและตระกูล ปูทางไปสู่อนาคตได้เป็นอย่างดี

“ขอบคุณมากนะครับ”

“แล้วลูกคิดไว้หรือยังว่าจะไปเลี้ยงอาหารที่ไหนบ้าง”

“คิดไว้บ้างแล้วครับ มีสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า สถานช่วยเหลือคนชรา คนยากไร้ที่ห่างไกลและเรือนจำ” ตอบอย่างฉะฉานเพราะคิดโครงการนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

“…”

“เรือนจำหรือลูก” คุณหญิงแก้วตาถามซ้ำราวไม่แน่ใจ

“ครับคุณแม่”

ฉัตรเกล้ามองหน้ามารดา เธอทำหน้าลำบากใจไม่น้อยก่อนหันไปหาสามี

“คนที่คู่ควรจะได้รับน้ำใจของลูกมีตั้งมากมาย ทำไมถึงมีพวกในคุกในตารางมาด้วยล่ะตาฉัตร” เป็นคุณชนาที่เอ่ยถาม

“น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับคุณพ่อ แบ่งให้พวกเขาบ้าง” ฉัตรเกล้าตอบ

“พวกมันเป็นคนชั่วนะลูก ไม่สมควรได้รับน้ำใจจากใครหรอก” คุณหญิงแก้วตาพูด

“ผมอยากทำให้ทั่วถึงน่ะครับ ส่วนใหญ่ในสังคมมักจะลืมพวกเขาเหล่านั้นไป ก็จริงที่ว่าเขาทำผิดจึงต้องไปอยู่ในคุก แต่ถ้าเขาพ้นโทษออกมาแต่คนข้างนอกไม่ต้อนรับ พวกเขาจะไปอยู่ไหนล่ะครับ ถ้าเราผลักเขาออกจากวงสังคม ไม่เหลียวแล ไม่ช่วยเหลือ ไม่ให้โอกาสทั้งที่เขาเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน”

“…”

“พวกเขากำลังชดใช้ความผิดที่ได้ทำไปอยู่ครับ แล้วถ้าคนผิดสำนึกเราจะไม่ให้โอกาสเขาเลยหรือ”

“แต่พวกที่พ้นโทษออกมาแล้วยังทำชั่วแบบเดิมซ้ำ ๆ ก็มีเกลื่อนไปนะลูก” สิ่งที่ลูกเธอว่ามาก็มีส่วนจริง แต่คนคุกชั่วช้าที่ออกมาแล้วยังทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ล่ะ พวกมันยังสมควรได้รับโอกาสหรือ

ไหนจะเหยื่อผู้โชคร้าย ผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดอย่างไม่อาจเยียวยาได้ตลอดกาล คนน่าสงสารเหล่านั้นจะให้โอกาสพวกมันหรือ พวกมันที่พรากความสุขจากไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

“…เอาล่ะคุณ ลูกอยากทำก็ให้ลูกทำ ตาฉัตร…”

“ครับ”

“ไปคิดมานะว่าจะเลี้ยงอะไรอย่างไรบ้าง ทำงบมาเสนอพ่อดู”

“ได้ครับ พรุ่งนี้ลูกจะเข้าไปคุยด้วยนะครับ”

“หืม? เร็วขนาดนี้เชียว”

“ทำไว้มากแล้วน่ะครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก”

“คุณคะ…” คุณหญิงแก้วตายังคงไม่เห็นด้วยนัก

“เอาน่าคุณหญิง ในคุกน่ะส่วนใหญ่เป็นคนชั่วตัวเล็กตัวน้อยที่ทางการตามจับได้ แต่อย่าลืมว่าด้านนอกก็มีคนเลว ๆ นับไม่ถ้วนที่ทางการจับไม่ได้และไม่กล้าจับอีกเยอะเชียวล่ะ”

“…”

“เผลอ ๆ นะคุณหญิง สังคมข้างนอกมีคนชั่วคนเลวมากกว่าในคุกเสียอีก”

สามสัปดาห์ต่อมาหน้าหนังสือพิมพ์และเสียงวิทยุตามสายรวมถึงรายการโทรทัศน์ลงเล่นข่าวการสร้างกุศลครั้งใหญ่ของตระกูลผู้มีอิทธิพลอย่างไพศาลภิรมย์รักษ์ ข่าวว่าลูกชายคนเล็กอย่างคุณฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ กลับมาถึงไทยก็ได้คิดทำทานบริจาคอาหารให้ผู้ยากไร้มากมาย

ฉัตรเกล้าส่งของไปบริจาคหลายที่ในประเทศเท่าที่กำลังของเขาจะไหว ทั้งเดินทางไปด้วยตัวเองและทั้งส่งตัวแทนไป

ของที่บริจาคมีทั้งข้าวสารอาหารแห้ง เสื้อผ้าและสำหรับเด็ก ๆ ยากไร้จะเพิ่มทุนเพื่อการศึกษา สำหรับคนชราไร้ที่พึ่งจะเพิ่มผ้าห่มและปัจจัยไว้ให้ดำรงชีวิตจำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีการทำโรงทานเลี้ยงข้าวปลาอาหารอยู่สามวันเต็ม

ที่บ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์วุ่นวายไม่น้อยและถึงกับต้องเปิดใช้โกดังเก็บของที่พึ่งสร้างเสร็จเพื่อจัดเตรียมข้าวของมากมายเหล่านั้นเลยทีเดียว ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยากร่วมทำบุญหรือแม้กระทั่งอยากได้หน้าได้ตาแวะเวียนเอาของบริจาคมาให้ทุกวัน

และแม้จะยุ่งกับการตระเตรียมมากเพียงใด ฉัตรเกล้าก็สังเกตเห็นว่ามีบุคคลไม่คุ้นเคยเข้านอกออกในห้องทำงานของคุณพ่อไม่น้อยเลยทีเดียว

สถานที่สุดท้ายที่ฉัตรเกล้าเลือกบริจาคทานคือเรือนจำ ซึ่งมีทั้งหมดหลายแห่งทั่วพระนครและพื้นที่ข้างเคียง โดยตัวของฉัตรเกล้าเลือกที่จะไปเรือนจำที่จังหวัดข้างเคียงด้วยตัวเอง

เป็นเรือนจำขนาดกลางแห่งหนึ่ง นักโทษมีอยู่เกือบพันชีวิต แบ่งเขตแดนอย่างชัดเจนอยู่สิบแดน กิจกรรมการบริจาคสิ่งของจัดขึ้นที่แดนสามอันเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และถือเป็นโรงอาหารไปในตัว

วันแรกที่ฉัตรเกล้าไปได้มีการมอบข้าวสารอาหารแห้งและอุปกรณ์สร้างอาชีพต่าง ๆ ให้กับทางเรือนจำ ช่วงเที่ยงของวันนั้นมีการเริ่มตั้งอาหาร โดยผู้คุมจะนำตัวนักโทษมาตามลำดับของแดนต่าง ๆ และตั้งแต่เขตแดนที่แปดขึ้นไปการคุ้มกันก็ยิ่งแน่นหนามากขึ้น

พวกเขาสวมเพียงเสื้อและกางเกงสีเดียวกัน เนื้อผ้าดูหยาบไม่นุ่มสบาย ในมือถือถาดอาหารต่อแถวอย่างมีระเบียบ

จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่และมีนักโทษกลุ่มใหม่เข้ามา

“ขอบคุณนะจ๊ะคนสวย” นักโทษคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาตอนที่ฉัตรเกล้าตักแกงจืดให้เขา

ชายหนุ่มเงยหน้ามองในทันที คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันน้อย ๆ

“เห้ย ไอ้โชติเอ็งนี่ก็พูดไปเรื่อย ดูคุณเขาสิ ผิวขาว ๆ แดงหมดแล้ว คงจะเขินสิท่า” นักโทษด้านหลังว่าเพื่อนมันเสียงไม่เบาเลย ก่อนจะหันสายตามองฉัตรเกล้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโลมเลีย

จนเขาเริ่มรู้สึกลมหายใจติดขัด

“ผิวขาว ๆ อย่างนี้ มันน่าตีให้แดงจัดเสียจริงว่าไหมไอ้ยิ่ง” พูดคุกคามอย่างไม่ไว้หน้ากัน ทั้งที่ฉัตรเกล้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน

หากเป็นสตรีจะทำขนาดไหนเล่า

“จะตีทำไมว้า เสียดายของ คนสวยอย่าไปฟังไอ้โชติมันนะจ๊ะ มันน่ะโรคจิตคิดจะตีผิวเนื้อพ่อให้แดงฉาน เป็นฉันนะผิวสวยขนาดนี้จะดอมดมทั้งวันทั้งคืนเลยจ้ะ” พูดไม่พอมันยังแลบลิ้นเลียปากอีกด้วย

ฉัตรเกล้าเผลอก้าวถอยหลังยามได้ยิน ดวงตากลมสั่นเล็ก ๆ จากกิริยาต่ำทรามที่โดนมันสองคนคุกคามแบบโต้ง ๆ แถมมันทั้งคู่ยังหัวเราะชอบใจที่เห็นท่าทางหวาดหวั่นจากเขาด้วยซ้ำ คำพูดของมารดาก่อนหน้าแล่นซ้ำในหัว คนชั่วช้าที่ทำผิดแล้วไม่สำนึก

“เดินเสียที” เสียงเข้มทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังของไอ้ยิ่งและไอ้โชติ น้ำเสียงที่พวกมันคุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้พวกมันรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษจ้ะพี่” เสียงที่ตอบกลับไปแกว่งแปลก ๆ จนชวนสงสัย

เป็นไอ้โชติที่หันไปพูดก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ฉัตรเกล้ายืนนิ่ง แม้จะงงงวยไม่น้อยกับท่าทางราวหวาดกลัวอะไรบางอย่างจากทั้งสอง แม้ใจยังสั่นกลัวกับพฤติกรรมคุกคาม แต่เสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินกลับดึงดูดเหลือเกิน ดวงตาเรียวสวยเงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นเจ้าของเสียงทุ้มต่ำเมื่อครู่นั้น

หนุ่มจบนอกชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

เจ้าของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่มีผมปิดบังยังพอมองเห็นดวงตาคมกล้ารำไร

ดวงตาคู่คมนั้นมองสบกับฉัตรเกล้าเพียงแวบเดียวก็กลับไปหลุบต่ำตามเดิม ขนทั่วร่างพากันลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เขาพยายามตั้งสติ แม้ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ฉัตรเกล้าไม่อาจละสายตาจากชายตรงหน้าได้เลย

“คุณฉัตรครับ” มองค้างอยู่นานไม่น้อยขนาดที่คุณทิวา ผู้ช่วยเลขาของคุณชนาที่มากับฉัตรเกล้าต้องสะกิดเรียก

“อะ…”

แรงเขย่าที่แขนจากทิวาทำให้คุณชายร่างสูงโปร่งได้สติขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มจึงยกมือที่สั่นอย่างเห็นได้ชัดบรรจงตักแกงจืดในหม้อใหญ่ให้คนตรงหน้า

“ข้าไม่กินฟัก” นักโทษคนนั้นกล่าวเสียงต่ำเบา ๆ ราวกระซิบแต่ทว่าหนักแน่น

“อ้อ ขะขอโทษครับ…งั้นเอาแกงเทโพแทนนะครับ”

“ขอบใจ”

ฉัตรเกล้าเหมือนได้ยินเสียงวิ้งในสมองของเขา เพียงไม่กี่คำที่หลุดจากปากหยัก ราวกับชายหนุ่มถูกมนต์สสะกดก็ไม่ปาน

ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างจนเห็นเขาไปนั่งที่โต๊ะ น่าแปลกที่ไม่มีใครนั่งกับเขา และนักโทษบริเวณโดยรอบดูหลีกเลี่ยงชายผู้นั้นอย่างมาก

“นักโทษแดนสิบน่ะคุณ มีแต่ระดับพระกาฬทั้งนั้น มันคงจะกวนคุณสินะ” พัศดีคนหนึ่งที่ดูมีอายุสักหน่อยเดินมาคุยกับฉัตรเกล้า เมื่อนักโทษคนสุดท้ายได้รับอาหารแล้ว

นักโทษคนสุดท้าย ก็เจ้าของร่างสูงใหญ่คนนั้น

“งั้นหรือครับ” ฉัตรเกล้าหันมาตอบรับก่อนจะหันหลังไปมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างดังก่อนหน้า

“ไม่บ่อยหรอกนะที่พวกแดนสิบจะได้ออกมากินข้าวรวมกันแบบนี้ พวกมันน่ะร้ายกาจ ไม่มีใครคุมได้” พัศดีคนเดิมหันมามองชายหนุ่มและเอ่ยบอก ก่อนเขาจะหันไปมองตามสายตาของฉัตรเกล้า

“ถึงขนาดต้องขอให้นักโทษช่วย…เขาเลยได้เป็นหัวหน้าของนักโทษแดนนั้นแหละ”

“…”

“เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยนะคุณ” ก่อนจะหันมาจ้องเขม็งที่ร่างโปร่งจนเจ้าตัวต้องละสายตามามองตอบ

“หมายถึงอะไรครับ” ฉัตรเกล้าถามกลับเสียงนิ่ง

“คนที่คุณมองอยู่น่ะ” พัศดีมากประสบการณ์ไม่อ้อมค้อม

“…”

“อย่ายุ่งกับเขาจะเป็นการดีกับคุณ”

ดวงตาที่ชายตรงหน้ามองมาทำให้คุณชายเล็กรู้สึกแปลกไม่น้อย ราวเขาล่วงรู้อะไรหลาย ๆ อย่างโดยที่ไม่ได้เอ่ยบอก

“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้นสิคุณพัศดี คุณฉัตรเกล้าเป็นถึงลูกคุณหญิงแก้วตาและคุณชนา ครอบครัวมีอิทธิพลระดับประเทศ คิดหรือว่าคนคุกคนตารางจะมีสิทธิ์มาคบค้ากับคุณเขาน่ะ”

ฉัตรเกล้ายังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ทิวาที่ยืนอยู่ข้างกันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจเล็ก ๆ

“เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ” ผู้คุมร่างใหญ่คนเดิมพูด มองฉัตรกล้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปตรวจตราสถานที่

“อะไรของเขา” โดยมีเสียงของทิวาว่าตามหลัง

TBC

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 7 ลงทัณฑ์

    เมื่อคืนจบที่ฟ้าครามเดินไปส่งฉัตรเกล้าถึงประตูด้านหลังของบ้านใหญ่ เขากลับมาที่ห้อง จัดการอาบน้ำและเข้านอนทันทีอย่างคนไม่มีอะไรให้ทำตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันช่วงล่างเอาไว้ ทั่วตัวมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ราคาแพงที่ฉัตรเกล้าซื้อมาให้เมื่อวาน ร่างสูงสง่ายืนอยู่หน้ากระจก สายตามองร่างกายแข็งแกร่งของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยสักเพราะเมื่อวานใส่เสื้อแขนยาว ลายสักอักขระมากมายทั่วร่างจึงไม่ปรากฏสู่สายตาของผู้ใด‘พ่อจ้ะ’ เสียงของเด็กชายตัวเล็กเรียก เด็กคนนั้นปรากฏกายขึ้นบนเตียง สะท้อนในกระจกให้เขาเห็น ฟ้าครามเหลือบสายตามองทองดีในขณะที่เขาก็จัดการใส่เสื้อผ้าให้ตัวเอง‘ที่พ่อให้ฉันไปสืบ พอจะได้ความมาอยู่บ้างจ้ะ‘“อืม”‘นังผีผู้หญิงคนนั้นมันชื่อหวานจ้ะ พึ่งตายไปเมื่อปีก่อน ส่วนอีกคนก็พ่อมันนั่นแหละชื่อว่าโชค เหมือนว่ามันจะมีปัญหากับคนในบ้านมั้งจ้ะ เลยโดนเขาฆ่าทิ้ง’ ทองดีนั่งห้อยขาลงกับเตียง พูดเจื้อยแจ้วตามที่ได้ไปไล่ตามผีเจ้าที่ นางไม้ หรือแม้กระทั่งสัมภเวสีก็ไม่เว้นโดนเขาไล่ถามแต่ข้อมูลที่ได้มีเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น พวกเขาดูหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอย่างสังเกตได้

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 6 สั่งสอน

    “คุณพ่อเรียกหาฉัตรหรือครับ” ฉัตรเกล้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของบิดา ภายในมีแม่ของเขานั่งอยู่ด้านขวามือของพ่อและพี่ปกเกล้ายืนกอดอกพิงตู้เก็บใบประกาศนียบัตรและเหรียญรางวัลต่าง ๆ ของครอบครัวอยู่คุณชนาละมือที่กอดเอวภรรยาออก ตบพื้นที่ข้างตัวสองสามที“ใช่ มานั่งข้างพ่อสิลูก” เอ่ยเรียกลูกชายคนเล็กเสียงนุ่มปกเกล้าอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก เสียงอ่อนโยนนั่นล่าสุดที่ใช้คุยกับเขาก็เกือบสิบปีได้แล้วกระมัง มองแก้วตาผู้เป็นมารดาเคียงข้างชนาราวหงส์คู่มังกรยิ่งรู้สึกหงุดหงิด อึดอัดในอกแทบจะระเบิดออกมา“อยู่พร้อมหน้าเชียว มีอะไรหรือเปล่าครับ” ฉัตรเกล้าเดินไปนั่งข้างบิดาก่อนจะเอ่ยปากถาม“ก็แค่อยากคุยกับลูกน่ะ ว่าจะเอายังไงหลังเรียนจบ”“พ่อเขาไม่ได้จะรบเร้าหรือรีบเร่งอะไรนะฉัตร เรามีความเห็นตรงกันอยากให้ลูกพักก่อน” คุณหญิงแก้วตาว่ายิ้ม ๆ“ความจริงแล้วก็ว่าจะพักสักเดือนน่ะครับ แล้วค่อยทำงาน”“เดือนเดียวจะไปพออะไรเล่า พักปีนึงเลย เที่ยวสนุกให้เต็มที่ หลังจากนั้นค่อยมาช่วยงานเอกสารให้พ่อ หรือจะลองมาเป็นเลขาพ่อก็ได้ พ่อจะให้ทิวาสอนงาน”“เป็นเลขาหรือครับ” ฉัตรเกล้าเลิกคิ้ว“ไม่สนงั้นหรือ”“…”“ถ้าอยากทำก็ค่อยทำ เรี

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 5 ที่ของคนสวน

    บ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทางหน้าบ้านหันไปทางถนน เปิดรั้วเข้ามาจะพบกับสวนสวยงามทั้งสองข้างทาง น้ำพุใหญ่ตกแต่งตามยุโรปนิยม สวนของคุณหญิงแก้วตายาวไปถึงข้างบ้านทางขวามือจรดศาลาริมน้ำ มีแปลงดอกกุหลาบสูงเท่าเอวส่งกลิ่นหอมฟุ้งทางซ้ายของบ้านเป็นลานหญ้า เดินเรื่อยเข้าไปถึงส่วนหลังบ้านใหญ่เป็นราวตากผ้าสำหรับเจ้านาย สวนของคุณหญิงแก้วตาก็หยุดอยู่ส่วนนี้ เดินอีกครู่จะเห็นหลังคาของเรือนพักสาวใช้ หน้าเรือนมีเตียงไม้หลังหนึ่งเอาไว้นั่งเล่น มีแปลงคุณนายตื่นสายประดับบริเวณ เยื้องขึ้นมาหน่อยเป็นรั้วตาข่ายกั้นบรรดาพืชสวนครัว ถัดจากเรือนสาวใช้เป็นเพียงลานเล็กที่เอาไว้ตากผ้าเดินลึกเข้าไปผ่านต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงสามฤดู ที่อยู่ทางขวามือและกอต้นกล้วยทางซ้ายมือจะพบกับเรือนไม้ชั้นเดียวทอดยาวแบ่งห้องเป็นสัดส่วน“ถึงแล้วครับ…พี่ครามพออยู่ได้ไหม” ฉัตรเกล้าหยุดเท้าที่หน้าเรือนไม้ หันไปถามฟ้าครามอย่างระมัดระวังพอสมควรเจ้าของชื่อหันมองรอบด้านเล็กน้อย ลมเอื่อย ๆ พัดผ่านทำเส้นผมดำสนิทปลิวไสว คุณหนูคนเล็กของบ้านมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย มุมหน้าด้านข้างที่แสนสมบูรณ์แบบข

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 4 ต้อนรับ

    เมื่อมารดาเดินเลี่ยงไปพร้อมกับสา สาวรับใช้คนสนิทของเธอ ฉัตรเกล้าจึงหันมาคุยกับคนที่เหลือ“ในเมื่อเขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านเรา ก็ต้องต้อนรับและปฏิบัติกับเขาให้ดี ไหมกับพลับพลึงไปเตรียมห้องให้ฟ้าครามเขาเสียหน่อย” ฉัตรเกล้าเอ่ยเสียงเป็นจริงเป็นจัง“…ค่ะคุณฉัตร” ไหมและพลับพลึงโค้งกายรับคำ นางทั้งสองลอบมองคนงานใหม่ที่ทั้งตัวสูงใหญ่และหน่วยก้านดีไม่น้อย แม้เห็นหน้าไม่ชัดแต่สันกรามคมชัดที่ไม่ได้โดนผมเผ้าปิดบังนั่นก็พอจะเดาออกว่าคงหล่อใช่ย่อยชื่นชมบุรุษก่อนจะพากันหัวเราะคิกเดินออกไปทำตามคำสั่งชื่อฟ้าครามใช่ไหมนะ ชื่อเพราะเหลือเกิน“ทุกคนแยกย้ายได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมบอกกฎระเบียบของที่นี่ให้เขาทราบเอง” ฉัตรเกล้าเห็นท่าทางของเจ้าหล่อนทั้งสองชัดเจน คิ้วเรียวอดไม่ได้ที่จะขมวด สาวใช้คนอื่นที่อยู่ในวัยละอ่อนก็พลอยลอบมองฟ้าครามไปด้วยเขาจึงรีบบอกให้ทุกคนออกไป เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณภายในบ้านจนแทบได้ยินเสียงหายใจ ฉัตรเกล้าเงยหน้ามองร่างสูง ก่อนจะยิ้มและผายมือเชื้อเชิญให้เดินตาม“เชิญทางนี้ครับ” คนตัวเล็กกว่าเดินนำไปทางห้องนั่งเล่นในตัวบ้าน ตัวเขานั่งลงที่โซฟาเนื้อน

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 3 เปลี่ยนสถานะ

    เมื่อพักรักษาตัวร่วมเดือนฉัตรเกล้ามีอาการดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ ยกเว้นเพียงอาการวิงเวียนศีรษะและไร้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง เขาแทบไม่ได้ออกไปไหนเนื่องด้วยคุณหญิงแก้วตาขอเอาไว้ หรือหากมีเรื่องต้องออกก็ต้องมีคนของคุณพ่อติดตามไปด้วยราวกับเงากริ๊ง กริ๊งเสียงโทรศัพท์ยกหูที่ตั้งอยู่ส่วนห้องโถงใหญ่ดังขึ้นฉัตรเกล้ากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่โซฟาผ้ากำมะหยี่ลุกขึ้นไปรับก่อนหน้าพลับพลึง สาวใช้คนหนึ่งจะเดินมาถึง ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งห้ามหล่อนไว้ เจ้าหล่อนจึงโค้งกายให้แล้วเดินถอยไปทำอย่างอื่น“สวัสดีครับ บ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ ฉัตรเกล้าพูดสายครับ” ฉัตรเกล้ากล่าวเสียงเรียบร้อยน่าฟัง[ดีครับคุณชาย] ได้ยินน้ำเสียงของบุรุษทะเล้นไม่น้อยยามตอบกลับ รู้ได้ทันทีว่าปลายสายคือใคร“เป็นอย่างไร ที่ฉันฝากถามไปน่ะ” เขามองข้ามน้ำเสียงกวน ๆ ของเพื่อนสนิทและถามในเรื่องที่อยากรู้มากที่สุดไปแทน[รับสายเพื่อนก็เข้าประเด็นเชียว รีบเสียจริง] บ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกลับมา“ค่าโทรไม่ใช่ถูกนะพิเชษฐ์” ฉัตรเกล้าเอ่ยดุเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาแต่เล็กพิเชษฐ์ ยศฐกาล ลูกของนายตำรวจใหญ่แห่งกองปราบปรามในสำนักง

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 2 ดึงดูดอัปสร

    บทที่ ๒ : ดึงดูดอัปสรตลอดทั้งสามวันฉัตรเกล้าใช้เวลาช่วงเช้าจนถึงเย็นอยู่ที่โรงอาหารของเรือนจำแห่งเดิมไม่คิดไปไหน สองวันแรกนักโทษจากแดนสิบมากินข้าวที่โรงอาหารเพียงช่วงเที่ยงเท่านั้น แต่วันสุดท้ายพวกเขามาช่วงเย็นด้วยวันนี้ฉัตรเกล้าจึงได้เห็นหน้าเขาคนนั้นก่อนจะต้องจากกันความรู้สึกวูบวาบไร้ที่มาที่ไปยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบร่างสูงใหญ่“ขอบใจ” คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเป็นประจำยามรับอาหารจากเขาตึก ตึก ตึกและเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกของตนฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ ไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางแม้ร่างกายจะแตกต่างจากเพศชายทั่วไป ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ไม่ได้ผอมแห้งแบนราบ แต่ไม่ได้เจ้าเนื้อแต่อย่างใด เขาเป็นชายงามที่มีรูปร่างสมส่วนเลยทีเดียว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักโทษแดนสิบคนนั้นกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา คิดคร่าว ๆ คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 เป็นแน่“เป็นอย่างไรบ้างตาฉัตร” เสียงทุ้มดูใจดีเอ่ยทักจากด้านหลัง“คุณพ่อ?” ฉัตรเกล้าละสายตาออกจากคนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ หันไปมองตามเสียงของบิดาอย่างแปลกใจ“ดูทำหน้าเข้า ตกใจอะไรกัน” คุณชนายังคงมีรอยยิ้มใจดีประดับที่มุมปาก“มาได้อย่างไรครับ”“พ่อมาทำ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status