“ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากมีวาสนาต่อกัน ข้าย่อมเห็นชะตาของเจ้า” “แล้วเจ้าเห็นสิ่งใดเล่า” อ่า~ จะตอบอย่างไรดีล่ะ ดันเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียได้ ฮื่อ! ............................................................................................... หลังจากบิดาตายจาก สองพี่น้องก็ใช้ชีวิตในสกุลชุนอย่างยากลำบาก แต่ทั้งสองก็ยังอดทนเรื่อยมา ทว่าเรื่องครานี้มันหนักหนาเกินทน ชุนลี่มี่ "ข้าขอตัดขาดกับพวกท่าน ต่อจากนี้พวกท่านมิต้องเลี้ยงดูข้า ข้ามิต้องแทนคุณท่าน อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกันอีก" . . "ท่านยาย ในนิมิตหลานเห็นเขากำลังควบขี่..." "ขี่ม้าหรือ" "มิใช่เจ้าค่ะ" "แล้วขี่สิ่งใดเล่า หรือจะเป็นกระบือ วัว ลา- " "เป็นข้าเจ้าค่ะ"
view more“ฮึก ฮื่อออ พี่มี่เอ๋อร์ เหตุใดพวกยุงๆ จึงเอาท่านพ่อกับท่านแม่ใส่ในหลุมเช่นนั้นเย่า น้องกลัวท่านพ่อ ท่านแม่จะหายใจไม่ออก” คำพูดของเด็กชายวัย 4 หนาวอย่างชุนลี่หมิง ทำเอาชุนลี่มี่ผู้เป็นพี่สาวถึงกับสะอึก มิรู้จะตอบน้องชายอย่างไร ว่าบิดามารดาได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว สองแขนกระชับกอดน้องชายให้แน่นขึ้น แม้เด็กสาวจะมิได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่กระนั้นหยาดน้ำสีใสก็ไหลออกจากตากลมโตไม่หยุด
“ท่านพ่อกับท่านแม่สิ้นลมแล้วอาหมิง อึก พวกท่านมิอาจมาอยู่ดูแลเราเช่นเก่าก่อนได้แล้ว ฮึก!…แต่ถึงอย่างนั้นพวกท่านก็จะคอยมองเราสองพี่น้องอยู่เสมอ” ลี่มี่ยกมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า พยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น เพราะมิอยากอ่อนแอต่อหน้าน้องชาย ทั้งที่บัดนี้ ขาของนางแทบจะยืนไม่ไหวที่ต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดาในคราเดียวกันเช่นนี้
ครอบครัวตระกูลชุนของลี่มี่เป็นครอบครัวใหญ่ มีคนในสกุลถึง 9 คน เป็นท่านย่าใหญ่ชุนฉือ ท่านลุงชุนไห่ ป้าสะใภ้ชุนเจียงและลูกของท่านลุงอีกสามคนคือ ชุนเต๋ออายุ 20 หนาว ชุนซูเม่ยอายุ 14 หนาว ชุนเป่าอายุ 3 หนาว และท่านพ่อชุนหยวน ท่านแม่ชุนเจียวมี่ ชุนลี่หมิงน้องชาย และตัวนางชุนลี่มี่
“เช่นนั้น เยาจะอยู่กับผู้ใดหยือ” นัยน์ตาดำสนิทของเด็กน้อยสั่นระริก น้ำตารื้นขึ้นมาเอ่อล้นหน่วยตาเล็กอย่างน่าสงสาร เขามิเข้าใจว่าสิ้นลม หมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยว่าท่านแม่และท่านพ่อจะไม่อยู่ด้วยแล้ว เด็กชายตัวน้อยก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันใด
“เราก็อยู่ด้วยกันที่เรือนของเราอย่างไรเล่า” ลี่มี่เอ่ยบอกน้องชายไปเช่นนั้น ทั้งที่นางเองก็ไม่รู้ว่าเรือนที่นางกล่าวถึง จะเป็นที่พักพิงให้นางและน้องชายได้หรือไม่ ยามที่ไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ คนพวกนั้นจะใจดีกับนางและน้องชายหรือไม่
ภาพสองพี่น้องกอดกันร้องไห้หน้าหลุมศพของบิดามารดา ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีศพของชุนหยวนและชุนเจียวมี่ อดที่จะน้ำตาซึมไปด้วยมิได้
“น่าเวทนาเสียจริง บิดามารดาตายจากไปพร้อมกันเช่นนี้ สองพี่น้องคงจะลำบากไม่น้อย”
“เจ้าเอ่ยสิ่งใดกัน เพียงแค่หลานสองคน ครอบครัวตระกูลชุนจะมิเลี้ยงดูเลยหรือ ยามมีชีวิตอยู่สองผัวเมียก็หาเงินจุนเจือครอบครัวไม่น้อย ตระกูลชุนก็คงมิคิดทิ้งขว้างหลานได้ลงคอกระมัง”
“เรื่องนี้มิแน่นอน ยายเฒ่าชุนฉือนั่น ใช่ว่าจะรักใคร่บุตรชายเมียรองอย่างชุนหยวน ทั้งชุนเจียวมี่เองก็มิยอมโอนอ่อนให้แม่สามี จนทะเลาะกันอยู่ร่ำไป”
“แน่สิ ก็สะใภ้ใหญ่อย่างชุนเจียงไม่แม้แต่จะขัดใจแม่สามี พูดจาออดอ้อน อ่อนหวาน จึงได้มีข้อเปรียบเทียบอย่างไรเล่า”
“หึ! แต่ข้าชอบแบบเจียวมี่มากกว่านะ นางซื่อตรง แม้จะพูดจาขวานผ่าซากไปบ้าง แต่ก็มีจิตใจดี ต่างจากชุนเจียงที่คอยยุแยงผู้อื่นให้แตกคอกัน ต่อหน้าพูดจาดี แต่ลับหลังกลับจ้องจะใส่ร้ายผู้อื่น” เสียงสนทนาของเหล่าแม่เรือน มิได้ทำให้ลี่มี่เด็กสาววัย 14 หนาวรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่พวกนางพูดนั้นล้วนถูกต้อง ท่านย่าใหญ่มิได้เป็นย่าทางสายเลือดกับนาง
ท่านพ่อของนางเกิดจากภรรยารองของท่านปู่ ซึ่งทั้งท่านปู่และท่านย่าเล็กก็สิ้นลมไปนานแล้ว เดิมทีหลังจากแต่งท่านแม่เข้ามา ท่านพ่อคิดจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่ท่านย่าใหญ่กลับเอ่ยทวงบุญคุณที่เลี้ยงดูท่านพ่อมา ท่านพ่อจึงได้แต่ก้มหน้าทำงานหาเงินมาจุนเจือบ้านใหญ่ ยังดีที่ท่านแม่มิใช่พวกยอมคน จึงได้มีเงินทองเก็บซ่อนไว้อยู่บ้าง ทั้งยังช่วยให้พวกเราสองพี่น้องไม่ถูกรังแก แต่ความไม่ยอมคนของท่านแม่นั้น ก็ยิ่งทำให้ท่านย่าใหญ่มิชอบใจ มิเพียงแค่ท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น แม้กระทั่งพวกเขาสองพี่น้องท่านย่าก็มิได้รักใคร่ ขนม ของเล่นทุกชิ้นในบ้านล้วนเป็นของซูเม่ยและชุนเป่า ยังดีที่พี่ชุนเต๋อยังเมตตาพวกเขาอยู่บ้าง
“มี่เอ๋อร์ เจ้าพาอาหมิงกลับเรือนเถิด พิธีกรรมทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว” ชุนเต๋อสงสารลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของเขาจับใจ เดิมทีท่านย่าก็มิใคร่จะชอบใจครอบครัวของท่านอาชุนหยวนอยู่แล้ว เพียงแค่ซูเม่ยร้องไห้มาหา ท่านย่าก็ดุด่าลี่มี่ โดยมิไถ่ถามสักคำ ทั้งเขาและท่านพ่อก็มิอาจเอ่ยห้ามได้ คงจะมีเพียงอาสะใภ้ที่พอจะต่อปากกับท่านย่าได้ แต่บัดนี้มี่เอ๋อร์และอาหมิงกลับสูญเสียทั้งบิดาและมารดา
“เจ้าค่ะ ข้าจะพาอาหมิงกลับเรือนก่อน อย่างไรเรื่องทางนี้ฝากพี่ชุนเต๋อจัดการด้วย”
“อืม ไปพักเถิด เรื่องอื่นมิต้องคิดมาก อย่างไรพวกเราสกุลชุนย่อมมิทิ้งขว้างกันเป็นแน่” มือหนายกขึ้นลูบศีรษะน้อยของลี่หมิงที่อยู่ในอ้อมกอดลี่มี่ ชุนเต๋อมองตามหลังน้องสาวและน้องชายไปจนลับสายตา แล้วจึงกลับเข้าไปช่วยบิดาของตนขอบพระคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีศพ
“นอนเถิดอาหมิง นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้สดชื่น” ลี่มี่นอนตะแคงกอดกล่อมน้องชายให้หลับ มือบางตบลงบนหน้าท้องของลี่หมิงเป็นจังหวะอย่างเบามือ
“ตื่นมาจะพบท่านพ่อกับท่านแม่หยือไม่”
“…มิพบ แต่พรุ่งนี้ตื่นมาเจ้าจะเจอพี่เป็นคนแรก ดีหรือไม่” ลี่มี่มิอยากโป้ปดน้องชาย นางเลือกที่เอ่ยบอกความจริง มิอยากให้น้องชายเฝ้ารอ ทั้งที่ในชีวิตนี้มิอาจได้พบท่านพ่อและท่านแม่อีก
“ดีขอยับ” ร่างเล็กพลิกกายเข้าซุกในอ้อมกอดของพี่สาว แล้วเข้าสู่ห่วงนิทราไป
เมื่อน้องชายหลับไปแล้ว ลี่มี่ก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร่างบางสะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความเสียใจ การสูญเสียครานี้มันกะทันหันสำหรับนางมากเกินไป
ทั้งที่ท่านพ่อท่านแม่เพียงไปหาของป่าดังที่เคยทำ แต่ทั้งสองกลับพลัดตกหน้าผา ท่านพ่อของนางสิ้นลมทันที มีเพียงท่านแม่ที่ยังมีสติพูดคุยได้ แม้จะมิอาจขยับร่างกายได้ แต่ท่านแม่ก็ได้สั่งเสียให้นางใช้เงินทองที่มีดูแลตนเองและน้องชายให้ดี จากนั้นไม่กี่ชั่วยามท่านแม่ก็สิ้นลมไป
เด็กสาวคลายอ้อมกอดจากน้องชาย ขยับลุกขึ้นมาหาถุงเก็บเงินที่ท่านแม่แอบเก็บซ่อนเอาไว้ หากจำไม่ผิด ท่านแม่เอ่ยว่าถุงเงินถูกเก็บไว้ใต้กองเสื้อผ้าในหีบ มือบางจึงเริ่มนำเสื้อผ้าของท่านแม่ออกมากองไว้ด้านนอกจนหมด จึงพบเข้ากับกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ก้นหีบ และเมื่อเปิดดูก็พบว่ามีเงินอยู่หลายตำลึงเงิน
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ห้าตำลึงเงิน กับอีกสามสิบอีแปะ” ตากลมเบิกกว้างขึ้น นางมิคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่จะเก็บเงินไว้ได้มากถึงเพียงนี้ เพราะยามที่ท่านพ่อล่าสัตว์ได้ก็มักจะนำไปขายและนำเงินมาแบ่งให้ท่านย่าใหญ่ไว้ใช้ตลอด
“เงินจำนวนเท่านี้ คงจะอยู่ได้นานกว่าหนึ่งหนาวเลยทีเดียว” ข้าวสาร 1 จิน ต้องจ่าย 20 อีแปะ เงินกว่าห้าตำลึงเงิน ครอบครัวชาวบ้านเช่นพวกนางย่อมเหลือกินเหลือใช้ หากว่ามิได้ฟุ่มเฟือย ซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ย่อมอยู่ได้นานกว่าหนึ่งหนาว
ลี่มี่เก็บเงินใส่ไว้ในกล่องแล้วซ่อนไว้ใต้หีบเสื้อผ้าของท่านแม่เช่นเดิม เงินเหล่านี้นางจะเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น นางมิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด กระทั่งท่านย่าใหญ่และท่านลุง เพราะไม่แน่ว่าเมื่อไม่มีท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ พวกเขาอาจจะขับไล่นางและน้องชายไปอยู่ที่อื่น อย่างว่า…ผู้ใดจะอยากรับภาระเลี้ยงดูหลานที่มิได้มีสายเลือดของตนได้
ร่างบางเก็บข้าวของให้เข้าที่ แล้วจึงลงมาล้มตัวนอนข้างน้องชายที่หลับสนิทไปแล้ว
“มิต้องกังวลนะอาหมิง พี่จะดูแลเจ้าแทนท่านพ่อและท่านแม่เอง” ริมฝีปากบางก้มลงจุมพิตหน้าผากมนของน้องชาย ใจตั้งมั่นว่าจะเป็นทั้งบิดา มารดา และพี่สาวที่ดีให้น้องชาย
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา
Mga Comments