"คงไม่มีโอกาสได้เจอกันแล้วสินะ ลาก่อนคุณลุงแฟนวันเดียวของฉัน ลาก่อนที่รักของฉัน" เอรินสะอื้นเบา ๆ นึกถึงความใจดีที่ได้รับจากชายหนุ่มแล้วได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา หล่อนจะจดจำมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ไม่ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ แต่ความรักครั้งนั้นจะยังติดอยู่ในใจ... ไม่รู้ลืม "แกชื่อเจ้าฟิเรนเซ่จมูกดื้อก็แล้วกันนะ" จมูกดื้อเหมือนเจ้าของมันไม่มีผิด... ชานนท์เผยอยิ้มบาง ๆ จ้องพินอคคิโอจมูกยาวไม่วางตา มันเคยเป็นของที่เขาผ่านตาไม่เคยสนใจ ตอนนี้มันกลับเป็นเหมือนสายใยบาง ๆ ที่ผูกพันเขาไว้กับสาวน้อยกุหลาบชมพูที่เพิ่งจากกัน เสียใจ... ใช่ เขาเสียใจที่ไม่รั้งหล่อนไว้อย่างที่ใจคิด แต่เขามีภารกิจที่ต้องทำให้ลุล่วงมากกว่าที่หัวใจต้องการ หนึ่งปีที่บอกให้หล่อนรอนั้น... เขาพูดจริง...
View Moreเพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำในความมืดท่ามกลางสายฝนปรอยลงมาเป็นระยะ น้ำขังฉ่ำนองไปทั่วท้องถนนแต่ไม่อาจดับเพลิงถาโถมตามแรงลมกรรโชกสะบัดประกายไฟให้ขยายเป็นวงกว้างแดงฉานไปทั่วฟ้าไร้ดาว
นานนับครึ่งชั่วโมงกว่าเพลิงจะมอดสลายไปพร้อมสายฝนกลายเป็นควันดำพวยพุ่ง ความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณถนนเลียบหน้าผา เบื้องล่างเป็นชะง่อนหินลดหลั่นสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสูงเทียมหัวรกเรื้อ เสียงสาดซัดรุนแรงของคลื่นทะเลดังพอ ๆ กันเสียงคำรามของท้องฟ้าจนแทบไม่มีรถคันใดที่ผ่านไปมาสังเกตเห็นความผิดปกติของรถที่บัดนี้กลายเป็นซากเหล็กสีดำสนิทในป่าหญ้าริมผา
ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ เงยหน้าจากกองหินมหึมาพลิกตัวหงายหลังนอนลงกับพื้นหญ้า ดวงหน้าโชกเลือดเกรอะกรังลืมตา มีเพียงท้องฟ้ามืดมิดไร้ดาว ไร้เรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด เจ็บไปหมดทั่วทั้งสรรพางค์กาย มีเพียงเสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา
“ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยด้วย... ช่วยที”
พยายามเปล่งเสียงเรียกแต่เหมือนว่ามันริบหรี่แผ่วเบาลงทุกทีจนแทบจะสงบนิ่ง ปลายหางตาพร่าเลือนเห็นเพียงเงาร่างทะมึนและเสียงสวบสาบของฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วหยุดลงใกล้จนได้ยินเสียงคุยกันสติสัมปชัญญะเริ่มรางเลือนลงอีกครั้งก่อนที่สติจะดับวูบ...
ร่างท้วมทรุดนั่งจับชีพจรก่อนจะเงยขึ้น ดวงตาฉายแววดีใจก่อนจะสลดลงเมื่อได้ยินคำถามตามมา
“มันตายรึยัง”
“ยังครับ แล้วเราจะทำยังไงกันดี” เสียงร้อนรนแทบจะกลายเป็นกระซิบ “ผมว่า... เราเรียกรถพยาบาลดีไหมครับ...”
“ไม่ต้อง! เอาตัวมันกลับ แล้วปิดปากให้สนิทห้ามบอกใครแม้แต่คนใกล้ชิดเข้าใจไหม...”
“ครับ... แต่ว่า...”
“ช่วยฉันแล้วฉันจะช่วยนาย”
ร่างเพรียวสั่งเสียงเฉียบขาดก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังทิศทางเดิมทิ้งร่างกำยำที่ก้มลงแบกร่างผอมโชกเลือดพาดบ่าพาออกเดินตาม...
ยี่สิบปีผ่านไป...
“สาวน้อย... ตื่นได้แล้ว ถ้าไม่ตื่น ฉันจะจูบเธอนะสาวน้อย… ได้ยินไหม... ถ้าไม่ตื่นฉันจะจูบเธอ... ”
เสียงกระซิบทุ้มนุ่มอ่อนโยนดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งอ่อนหวานพาเคลิบเคลิ้มและหวานแว่วเหมือนอยู่ในความฝันเมื่อครั้งนานมาแล้ว
เอรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงกระไอร้อนเหมือนลมแผ่วตกกระทบเปลือกตา รู้สึกระคายเคืองจนเปลือกตากะพริบปริบสู้แสงก่อนจะลืมตามอง
ภาพที่ปรากฏคือดวงหน้าขาว ปากอิ่ม จมูกเป็นสัน คิ้วเรียว ดูรวมๆ แล้วดูดีสมบูรณ์แบบฉบับชายชาวเอเชีย โดยเฉพาะดวงตาดำขลับกำลังจ้องมองหล่อนในระยะประชิด รอยยิ้มหยันยกมุมปากที่เห็นทำให้เอรินเผลอยกมือขึ้นปิดหน้าโดยอัตโนมัติ หน้านวลขึ้นสีเลือดฝาดทันทีที่เห็นรอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่ม
“ตื่นได้ซะทีนะ”
คำที่เปล่งออกจากปากคำแรกคล้ายขบขันแต่ไม่เหมือนเสียงที่หล่อนได้ยินในความฝันสักนิด
“คะ... คุณ! คุณจะทำอะไร”
หล่อนถึงกับผงะ ขยับตัวออกห่างจนแทบชิดทางเดิน สีหน้าตระหนกจนปิดไม่มิด
“ผมเรียกคุณตั้งนาน คนอะไรหลับลึกแล้วยังอ้าปากค้างทำน้ำลายหกอีก” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอทำปากแหลมล้อเลียน
“ฉันไม่ได้ทำนะคะ” เอรินแย้งหน้าตื่นรีบเช็ดมุมปากซ้ายขวาแต่ไม่มีอย่างที่เขาพูดสักนิด “คุณก็พูดแรงไป เราไม่รู้จักกันซะหน่อย”
“ขนาดนี้แล้วยังแก้ตัวได้อีกนะ”
“ฉันก็แค่ฝัน คุณต่างหากมาล้อเลียนคนหลับ บาปนะคุณ เรารู้จักกันรึไง” หล่อนตอบเสียงแผ่วลงด้วยความอายสายตาคนรอบข้าง เมื่อครู่ใหญ่เผลอทำเสียงดังจนคนหันมามองกันเป็นตาเดียว
แค่คิดก็อับอายจะแย่ ในที่แคบๆ แบบนี้จะให้หนีอายไปไหนได้ แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุด!
“ก็ผมกำลังใช้ความคิดว่าที่คุณทำเสียงกระเส่า แถมยิ้มเชิญชวนซะชนาดนั้น กำลังฝันกลางวันหรือว่า...”
“คุณคะ ฉันไม่ได้!”
ไม่ทันจะได้แก้ข้อกล่าวหา ร่างสูงใหญ่เจ้าของคำพูดยียวน ก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบ แถมปรายสายตาตำหนิมาอีก เอรินถึงกับงงกับท่าทางแต่ก็เข้าใจทันทีเมื่อเขาเอ่ย
“ช่วยเขยิบให้หน่อย ผมปวดฉี่จะตายอยู่แล้ว คราวหน้าถ้าจะหลับลึกขนาดนี้กรุณาจองที่นั่งริมหน้าต่างเถอะนะ ผมขอร้อง จะได้ไม่มีใครขัดจังหวะเวลาคุณกำลังเข้าเฝ้าพระอินทร์หรือกำลังฝันถึงเจ้าชายหนุ่มรูปงามอยู่ รู้ตัวรึเปล่าว่าปากคุณเกือบจะจิ้มหน้าผมอยู่แล้ว”
“หา!”
“ไม่หาล่ะ ช่วยเขยิบให้ทีเถอะ” เขาส่ายหน้า ปรายตาอย่างเอือมๆ อีกครั้ง
เอรินถึงกับผงะ ตาโตแทบถลนออกมานอกเบ้า ผู้ชายหน้าทะเล้นคนนี้วางระเบิดหล่อนด้วยคำพูดลูกใหญ่แล้วชิงเบียดตัวออกไป ทำให้หล่อนต้องพิงหลังกับพนักตัวลีบมองไล่หลัง
“ปากจัดจังผู้ชายอะไร ฉันแค่หลับเพลินไปนิดเดียวเอง” บ่นพึมพำค้อนลมแล้งแล้วพลันนึกได้
เสียงของใครบางคนในความฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาคือคนที่หล่อนมักฝันถึงเสมอตั้งแต่เด็กมาแล้ว เหมือนจิตใต้สำนึกบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงนั้นมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่เขาอยู่ที่ไหน...
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชานนท์ทะลุกลางปล้องออกมา ภิรณีย์ถึงกับหุบยิ้ม สีหน้าเครียดขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังทำใจดีสู้เสือ “อะไรกันลูก มาเหนื่อยๆ กินอะไรมารึยัง เดี๋ยวแม่ให้เด็กหาให้ดีไหม” “ไม่ต้องครับ ไม่อยากเสียเวลา เรื่องพ่อของเอรินมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้าง มีคนบอกว่าคุณแม่รู้ดีที่สุด หมายความว่ายังไงครับ” ชานนท์คาดคั้นไม่สนใจน้ำเสียงห่วงใยภิรณีย์ตาวาวนึกโกรธอติมาที่ไม่จัดการเรื่องกับพัชระอย่างเงียบๆ แต่กลับโบ้ยให้ชานนท์มา“ใครมันคาบข่าวมาบอกละ แม่ไปรู้จักพวกนั้นเสียที่ไหน”“แน่ใจนะครับ แต่แม่เอรินบอกว่าคุณแม่เท่านั้นที่ตอบได้” ชานนท์คาดคั้น มองแม่ตาวาว “ก็ได้! อยากรู้มากใช่ไหมว่าทำไมแม่ถึงขัดขวางลูก เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องมาเสียเวลากับเด็กคนนั้น เธอไม่มีอะไรเทียบได้กับลูกของแม่สักอย่าง”“เอาอะไรมาวัดว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะกับผม”ภิรณีย์ทำหน้าเศร้าเข้าเกาะแขนลูกชาย เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “แม่ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ว่า” “กับเอรินไม่ว่าต้องเสียเวลามากเท่าไหร่ผมก็ไม่แคร์ เธอเป็นเมียผม เป็นผู้หญิงของผม แม่อย่าขัดขวางเราเลยได้ไหมครับ” ชานนท์
อติมายื่นซองเอกสารให้ด้วยมือสั่นระริก เขาส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งอ้อนวอนอติมาอีกครั้ง “แต่คุณแม่ครับ ผมกับเอรินเรารักกัน อยากอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ไม่ต้องขยับขยายโยกย้ายใดๆ ทั้งสิ้น ผมรับรองว่าทุกคนได้อยู่ต่อ ผมจะเคลียร์กับคุณแม่ให้รู้เรื่อง กรุณาด้วยเถอะนะครับ” “อย่าเลย ต่อไปไม่ต้องเรียกว่าแม่อีกนะ น้าเสียใจที่เคยเอ็นดูคุณ” ชานนท์ยื้อไว้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเอรินยืนอยู่หน้าประตูระเบียง ดวงหน้านวลสวยซูบซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งลุกขึ้นจากเตียงมาทันได้ยินเข้าพอดี ดวงตากลมมีน้ำตาคลอหน่วยมองมาด้วยความผิดหวัง ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับหน้าซีด “แม่ขา เอาเอกสารนั่นมาให้หนู” น้ำเสียงเบาหวิวของเอริน ทั้งยังดวงตาแดงก่ำที่จ้องมอง ทำให้ชานนท์ใจหาย “เอริน! จะทำอะไร เอาเอกสารนั่นมาให้พี่” ชานนท์อุทานเสียงดังทันทีที่เอรินคว้าเอาเอกสารจากมือแม่ได้ ก็หันหลังกลับไม่ยอมสบตา ท่าทางลนลานมือสั่นระริกที่หยิบปากกาในสมุดโน๊ตไม่สนใจเสียงเรียกของชานนท์ที่โดนอติมาข
ชานนท์หันขวับมามองสีหน้าเครียดแต่ไม่ตอบอะไร รีบไปขึ้นรถตัวเองแล้วสตาร์ททันที ไม่สนใจกรณ์ที่รอค้าง“ลุงกับคุณหนูเป็นลม ป้าไปกับรถพยาบาลแล้ว ปื๊ดไปก่อนนะครับคุณกรณ์ก็ รีบตามไปนะ”“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ”“โรงพยาบาลปากทางนะคุณกรณ์!” ปื๊ดตะโกนบอกแทนแล้วรีบวิ่งตามไปขึ้นรถเมื่อเสียงแตรดังติดๆ กันหลายครั้งจนเจ้าอ้วนต้องอุดหูรีบขึ้นนั่งข้างคนขับทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม “ใจเย็นๆ นะคุณ หนูเอรินน่าจะไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นบ่อยเหลือเกิน แต่ลุงนี่สิ ปื๊ดไม่เคยเห็นลุงเป็นขนาดนี้มาก่อนเลย ดีว่าป้าเป็นพยาบาลเก่ารู้จักวิธีปฐมพยาบาล” “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องผู้ชายคนนั้น” “อ้าว... ไม่อยากรู้ได้ยังไง ลุงเป็นพ่อตาคุณนะ” ปื๊ดทำหน้างงจ้องรอคำตอบ ชานนท์รู้ตัวว่าแสดงออกมาเกินไปจึงเปลี่ยนเรื่อง “เอรินไม่สบายบ่อยหรือ” “บ่อยมาก ตอนเด็กก็เกือบตายไปที เข้าไอซียูเป็นเดือนๆ เลยคุณ” “ทำไม” ชานนท์สะกิดใจถาม “ก็โดนรถชนตอนเด็กๆ ห้าขวบได้มั้ง ผ่าตัดข้ามวันข้ามคืน ลุงกับป้าบอกว่ารอดมาได้เหมือนปาฏิหารย์ แต่ก็อย่างว่าแหละคุณ ลุงต้องเป็นหนี้เป็
เกลียวคลื่นถาโถมซัดหาฝั่งอย่างแรง ลมทะเลพัดต้นมะพร้าวริมแนวทางเดินของหาดเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ชานนท์และพัชระยืนกอดอกมองคลื่นทะเลอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ เวลาผ่านไปนานพอควรก็ยังไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากจนพัชระนึกฉุนอยู่ในใจ พยายามสงบใจไว้แต่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี “แกจะเอายังไงว่ามา” ชานนท์เหลือบมองชั่วครู่ก่อนจะหันไปมองทะเลสุดลูกหูลูกตาอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร พัชระถึงกับทนมาไหวถามย้ำ“ถ้าแกไม่พูด ฉันจะพูดเองแล้วอย่ามาหาว่าฉันใจร้าย” “คุณเห็นบ้านสีขาวบนเนินฝั่งโน้นไหม” จู่ๆ ชานนท์ก็เปลี่ยนเรื่อง พัชระมองตาม“เห็น ทำไม มีอะไร” พัชระเหลือบมองแล้วตอบเสียงขุ่น ชานนท์ยิ้มมุมปากก่อนจะยื่นข้อเสนอบางอย่าง “นั่นคือบ้านผม” ชานนท์ตอบเน้นคำ พัชระถึงกับตะลึงมองชานนท์อย่างไม่เชื่อสายตา เคยคิดว่าเขาอาจจะใช่ แต่ไม่ได้เตรียมใจว่าคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าจะเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณจริงๆ “หมายความว่าไง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา” “เกี่ยวสิ เพราะไม่ว่าจะที่นั่นหรือบ้านสวนโฮมสเตย์แห่งนี้ มันอยู่ในกำมือผมแล้ว” ชานนท์พูดปด แค่อยากได้ความส
“แล้วยังไงคะ ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย ถ้าจะเรียกมาเพื่อเล่าความหลังสมัยสาวๆ ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนที่บ้านงานยุ่งมากค่ะ” อติมาตัดบทเก็บกระเป๋าจะเดินออกไป แต่ภิรณีย์พูดขัดขึ้นมาทำให้หลิอนต้องลงนั่งตามเดิม “แล้วเธอไม่อยากรู้หรือไงว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร” “คุณอยากเล่าก็เล่ามาค่ะ ฉันไม่มีเวลามาก” “ก็ได้... เขาคือชาร์ล ลูกชายพี่ศานต์” ภิรณีย์ตอบเสียงเข้มชัดถ้อยชัดคำ อติมาถึงกับตาโต “เป็นไปได้ยังไง เขาเป็นลูกชายของคุณศานต์กับคุณวาสิฏฐีที่หายสาบสูญไปจริงๆ หรือคะ ตอนนั้นเราพบซากรถแต่ไม่พบคุณหนู หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนเราคิดว่าเขาอาจจะกระเด็นตกหน้าผาจมน้ำตายไปแล้ว” “เขากระเด็นออกมาจากรถ บุญดีที่ไม่ตายแต่บาดเจ็บสาหัส ฉันกับคนขับรถผ่านมาเจอก็เลยพาเขาส่งโรงพยาบาล พอฟื้นเขาก็เรียกฉันว่าแม่นั่นละ” “แล้วทำไมคุณไม่บอกครอบครัวเขา ทุกคนเข้าใจว่าคุณหนูตายไปแล้ว” อติมาถามกลับน้ำเสียงเครือ “เพราะฉันเกลียดพวกมันไง ทั้งไอ้กอง ทั้งนังพิม และนังวามันรวมหัวกันแย่งพี่ศานต์ไป” “แต่คุณมาทีหลังนะคะ
คอฟฟีช็อปหนึ่งคูหาในหัวหินบรรยากาศอึมครึม เพราะฝนฟ้าคะนองนอกหน้าต่าง ละอองฝนตกกระทบกระจกหน้าต่างเกิดเป็นฝ้าทั่วกราะจกทั้งบาน อติมานั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่า กาแฟร้อนแก้วเล็กเริ่มเย็นชืดไม่ส่งกลิ่นหอมเหมือนตอนแรก เพราะเธอมัวแค่ครุ่นคิดกังวล ภาพเหตุการณ์ในอดีตวนเวียนกลับมาอีกครั้งราวกับภาพจำที่ลืมเลือนไปหากไม่มีใครมาสะกิด นางพยาบาลสาวจบใหม่อย่างหล่อน หน้าตาไม่จัดว่าสวย แต่เป็นคนที่ใครเห็นต่างพากันลงความเห็นว่าเป็นหญิงสาวน่ารัก จิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อย รูปร่างสมส่วนติดจะท้วมนิดๆ ไม่เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจชายหนุ่มคนไหน แต่ก็มีความสุขอย่างที่เป็น จนได้มาเจอเขา... ผู้ชายที่เข้ามารักษาตังเพราะบาดเจ็บจากการถูกลอบทำร้าย และหล่อนรับหน้าที่เป็นพยาบาลเฝ้าไข้เนื่องด้วยความจำนงจากเจ้าของไข้ให้มาเฝ้าเป็นกรณีพิเศษ หญิงสาวหอบแฟ้มงานปึกเล็กและหนังสืออ่านเล่นหนึ่งเล่มติดมือมาด้วย แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงโวยวายจากใครบางคนเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน “ฉันบอกให้ทำ แกก็ต้องทำ!” เสียงผู้หญิงกราดเกรี้ยวทำให้หล่อนสะดุ้งชะงักอยู่หน้าประตูแนบหูฟังอย่างเงียบกริบ
Comments