จาก ‘ของเล่น’ ชั่วคราว ก้าวเข้าสู่สถานะ ‘ของตาย’ ไร้ราคา แต่นั่นไม่ใช่ ‘ม่านบุษยา’ ที่หล่อนยอมเป็นของเล่นของ ‘พชร’ ก็เพราะความจนตรอกบีบคั้น แต่เมื่อสัญญาสิ้นสุด ของเล่นอย่างหล่อนจะโบยบิน แม้จะเจ็บเจียนตายที่ต้องควักหัวใจตัวเองทิ้ง ก็จะไม่ยอมเป็น ‘ของตายไร้ค่า’ ของใคร
Voir plusที่ด้านหน้าโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดแถบภาคตะวันตก ‘พชร’ นั่งรอเพื่อนอยู่ในรถแบบไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เพราะเขานัดกับเพื่อนว่าจะไปแฮงค์เอ้าท์กัน นานๆ ทีเขาจะมีวันหยุดได้มาพักผ่อนที่ชายทะเล แต่กลายเป็นว่าเพื่อนติดเคสผ่าตัดด่วน!
ใช่ เพื่อนของเขาเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งนี้ แล้วเรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินมันก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ สุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งรอเพื่อน เพราะมาแล้วก็ต้องรอ อีกอย่างไม่อยากทำให้เพื่อนไม่สบายใจด้วย เขารู้ว่าอาชีพหมอต้องเสียสละความสุขส่วนตัวแค่ไหน
แต่ก็ขอหงุดหงิดคนเดียวหน่อยเถอะ
พชรเป่าลมออกจากปากเบาๆ ทว่าความหงุดหงิดก็ต้องจางหายไป เมื่อสุดสายตานั้นเขาเห็นหญิงสาวรูปร่างแบบบางในชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย กำลังเดินก้าวข้ามถนนเล็กๆ ที่เชื่อมต่อแต่ละตึกในโรงพยาบาล ตรงมายังตึกที่เขาจอดรถอยู่ด้านข้าง
เวลาเย็นจนเกือบค่ำแบบนี้ แต่หล่อนก็ยังเหน็บชายเสื้อไว้ในกระโปรง ต้องเป็นคนที่เรียบร้อยมากๆ แน่ แต่ท่าทางเร่งรีบช่างสวนทางกับใบหน้าที่ดูอิดโรยนั้นเหลือเกิน เด็กสาวก้าวเดินแบบรีบเร่งจนเส้นผมยาวสยายที่มัดรวบไว้เป็นหางม้า กวัดแกว่งไปมา แต่ก็ยังดูรู้ว่านั่นชื้นไปด้วยเหงื่อ
พชรสะดุ้งน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เขาละสายตาจากร่างแบบบางที่เดินใกล้เข้ามา ก้มมองมือถือ และเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนหมอ ก็กดรับ
[เสร็จแล้วว่ะเพชร รอแป๊บหนึ่งนะโว้ย! เดี๋ยวกูลงไป]
“เออ กูรอมาได้ตั้งชั่วโมง กูก็ต้องรอต่อนั่นแหละ”
[เออน่า เดี๋ยวกูพามึงไปที่เด็ดๆ]
“เออแค่นี้แหละ กูรอ”
พชรบอกเพื่อนก่อนจะกดตัดสายเพราะเขากำลังติดพันมองตามเด็กสาวคนนั้นอยู่ ทว่าแค่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ร่างแบบนั้นก็หายไปแล้ว
ความหงุดหงิดคล้ายจะวนเข้ามาอีกรอบ คราวนี้ล่ะเขาหงุดหงิดเพื่อนของจริง ที่โทร.มาไม่ดูเวล่ำเวลา
ไม่ดูเวล่ำเวลาที่ไหนกันล่ะ เขานั่นแหละที่เอาใจไปจดจ่อกับสิ่งอื่น
พชรถอนใจอีกครั้ง
รอไม่นานเพื่อนก็เดินออกมา แม้จะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็ค แต่มาดของคุณหมอก็ยังดูเป็นคุณหมออยู่วันยังค่ำ เพราะเมื่อเพื่อนเดินผ่านก็จะมีพยาบาลหรือไม่ก็คนไข้ทักทายและยกมือไหว้มาตลอดทาง
พชรมองภาพนั้นแล้วส่ายหน้าน้อยๆ แต่แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้เขาต้องจ้องเขม็ง เพราะเด็กสาวคนนั้นวิ่งตามเพื่อนเขาออกมา
เขาจ้องเขม็งไปที่การพูดคุยของคนทั้งคู่ เด็กสาวนักเรียน ม.ปลาย มีสีหน้าร้อนรนเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็กลั้นเอาไว้จนตาแดง เพื่อนของเขาก็เหมือนปลอบใจและพยักหน้ารับเหมือนตกปากรับคำอะไรบางอย่าง ก่อนที่เด็กสาวจะยกมือไหว้และเดินกลับเข้าไปในตึกเหมือนเดิม
“เด็กนั่นเป็นอะไรเหรอ”
แค่เพื่อนก้าวขึ้นมาบนรถพชรอดไม่ได้ที่จะถาม
“ก็เคสผ่าตัดด่วน! วันนี้ไง เป็นของน้องสาวเธอนั่นแหละ”
แวบหนึ่งภาพของใบหน้าเหมือนจะร้องไห้นั้นก็ฉายซ้ำๆ ในความคิด
“อาการไม่ดีเหรอ”
“ไม่ดีเลยมึง กระดูกสันหลังกระทบกระเทือน ขาหักสองข้างเลยด้วย นี่กูผ่าตัดเสร็จแล้วก็ต้องรอดูอาการต่ออีก ถ้าไม่ดีขึ้นต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ ล่ะ”
“โดนอะไรมา ทำไมเยอะขนาดนั้น”
“ถูกรถชนน่ะสิ ชนแล้วหนีด้วย แม่ง! ทำไมสังคมไทยแม่งเป็นแบบนี้วะ ถ้ากูมีเงินร้อยล้านพันล้าน หรือกูถูกรางวัลที่หนึ่งสักสามสิบใบ กูจะสงเคราะห์ให้หมดเลย”
“เด็กไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา?”
“ไม่มีหรอกมึง แม่เด็กก็เป็นแค่แม่ค้าขายข้าวแกงข้างทาง เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงลูกสองคน ผู้หญิงทั้งคู่ คนเล็กที่โดนชนนั่นแค่มอห้า ส่วนคนพี่น่ะมอหกกำลังจะเรียนต่อมหาลัย แต่เกิดแบบนี้ กูว่าน้องเขาไม่ได้เรียนต่อแล้วล่ะ”
“โรงพยาบาลรัฐไม่ต้องเสียตังค์ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เด็กนักเรียนน่ะรักษาฟรี แต่บางอย่างมันต้องรอคิวว่ะมึง ถ้าสมมุติมีตังค์นะมันก็พาร์ทคิวได้เลย หรือไม่ก็ย้ายไปโรงพยาบาลอื่นที่มันพร้อมมากกว่านี้ กูเห็นใจน้องเขานะโว้ย! แต่กูก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก กูทำได้ดีสุดเท่านี้แหละ”
พชรพยักหน้าเข้าใจ แต่ดวงตาคมเข้มกลับมองตรงไปยังประตูทางเข้าตึก
เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเด็กชายตัวน้อยดังก้องไปทั่วสนามหญ้าหน้าบ้านที่กว้างมาก เพราะรั้วกั้นระหว่างกันถูกรื้อออก ‘น้องพอร์ช’ เด็กชายวัย 1 ปีเต็ม เดินเป๋ไปเป๋มา แต่ก็พยายามหนีคุณพ่อที่ทำหน้าตาเหมือนสัตว์ประหลาดคลานสี่ขาหยอกเย้าเจ้าตัวน้อยหัวเราะเมื่อคุณพ่อไล่ตามทัน พร้อมกับแกล้งนอนบนผืนหญ้าเหมือนยอมแพ้ แต่พอคุณพ่อผละออก เด็กน้อยก็พลิกตัวคลานเข่าแล้วรอดหนีจากใต้ท้องสัตว์ประหลาดมาได้ม่านบุษยายืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน ยกกล้องในมือถือบันทึกทุกช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ ใครกันจะคาดคิดว่าท่านประธานแห่งธาราธรกรุ๊ป จะมีโมเมนต์แบบนี้ด้วยกล้องในมือแพลนไปยังจุดที่แม่นั่งอยู่ที่เปลชิงช้าไม่ไกลจากจุดที่พชรกำลังเล่นกับลูก และที่หน้าบ้านม่านมัสลินกำลังบังคับวีลแชร์ไปตามทางปูนเล็กๆ ที่พชรสั่งให้คนงานมาทำเชื่อมกันไว้กับทุกจุดของบ้าน เพื่อตรงไปยังรถยนต์ของไปรษณีย์ที่เพิ่งมาจอดเทียบ และคุณลุงชัยของน้องพอร์ช ซึ่งตอนนี้ได้เลื่อนขึ้นมาขับรถรับพัสดุฯ กำลังก้าวลงมาชีวิตสงบ เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความรักม่านบุษยามองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยความสุข ขณะยกกล้องขึ้นถ่ายรูปด้านหลังของคุณพ่อที่อุ้มลูกชายขึ้นนั่งบนบ่า
คนขับรถที่พูดแบบติดตลก แต่เขาตลกไม่ออกเลย คำ ‘รัก’ เหรอ เพิ่งเคยได้พูดไปแค่ 2 ครั้ง แต่คำว่ารักจะมีความหมายอะไร ถ้าการกระทำสวนทาง‘ฉันรักบัวนะ ถ้าไม่รักจะทำแบบนี้เหรอ นายก็เห็นว่าฉัน... ฉันเปลี่ยนไปแล้วนะ เปลี่ยนไปในทางที่ดี ที่คิดว่าคนอย่างฉันไม่น่าจะทำได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่รัก คงไม่ทำแบบนี้หรอก’‘แล้วคุณบัวเชื่อไหมครับ’นั่นคือคำถามจากคนขับรถที่เขาให้คำตอบไม่ได้‘อย่าว่าผมแนะนำเลยนะครับ ที่คุณเพชรทำกับคุณบัวมันหนักหนา ถ้าคุณบัวจะไม่เชื่อว่าคุณเพชรรักเธอจริง แต่เธอคิดว่าที่คุณเพชรมาทำดีด้วยเพราะต้องการลูก ผมว่ามันจะไปกันใหญ่ รักแล้วต้องแสดงออกทุกอย่างนะครับ ต้องทำให้เมียแน่ใจเชื่อใจว่ารักเธอจริงๆ แล้วก็ต้องพูดว่ารักออกมาจากปากด้วยครับ ผู้หญิงเป็นเพศที่ซับซ้อน ไม่ว่าคุณเพชรจะพยายามแสดงออกว่ารักมากแค่ไหน แต่พวกเธอก็อยากได้ยินคำนั้นด้วยครับ แค่บอกว่ารักเมีย มันง่ายจะตาย คำสั้นๆ ง่ายๆ แต่พวกเธอมีความสุข’พชรพยายามจะยกมือขึ้นจะเช็ดน้ำตาที่เจิ่งนองใบหน้าสวย แต่อาการขัดยอกก็ทำให้ยกช้า ม่านบุษยาจึงรีบปาดน้ำตาตัวเองจนแห้ง ยิ้มน้อยๆ ว่าหล่อนทำเองได้สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้พชรสะท้อนใจ ไม่มีเขา ม่านบุษย
สายฝนโปรยปรายตลอดเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ และปราณบุรี“ช้าหน่อยนะครับคุณเพชร ฝนตกหนักมากเลยครับ”“อืม... ไม่เป็นไร ไปเรื่อยๆ เอาปลอดภัยไว้ก่อน”พชรบอกคนขับรถ นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ได้เอารถไปจอดไว้ที่ข้างบ้านม่านบุษยา เพราะตลอด 1 เดือนก่อนที่หล่อนจะคลอด เขาตีรถจากกรุงเทพฯ มาปราณบุรีทุกวัน พอเคลียร์งานเรียบร้อย เขาก็ออกเดินทาง โดยมีคนขับรถมาให้ พอคนขับส่งเขาที่บ้าน ก็ไปจอดนอนพักที่โฮมสเตย์ของป้าแป้น เพื่อตี 5 จะตีรถเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง เรียกได้ว่าคนขับรถของเขา เทียวไปเทียวมาจนคุ้นชินกับทุกหลุมบนท้องถนน ที่บ้านม่านบุษยา แม่ชำเลืองมองไปที่หน้าบ้านบ่อยครั้ง เพราะว่าดึกแล้วแต่พชรก็ยังไม่มา “บัว คุณเพชรเขาโทร.มาบอกแม่ว่า จะกลับมาวันนี้ แต่นี่มันดึกแล้วนะลูก ฝนก็ตกหนักอีก” แม่เหมือนจะบ่นให้ฟัง แต่ม่านบุษยารู้ว่านั่นคือความเป็นห่วง หล่อนเองก็ห่วงพชรเช่นกัน “ลองโทร.หาดีไหมลูก” ม่านบุษยาพยักหน้า ก่อนจะกดโทร.ออก ทว่าติดแต่ไม่มีคนรับ ลางสังหรณ์บางอย่างพวยพุ่ง หัวใจของหล่อนสั่นไหว เพราะถึงเสียงฝนจะดัง แต่ถ้าพชรกำลังเดินทาง เขาต้องเ
ข่าวหน้าแรกของเว็บไซต์ข่าวเศรษฐกิจชื่อดังพาดหัวว่า[‘พชร ธาราธร’ ผงาด! คว้าโควต้าส่งออกอาหารทะเลล็อตใหญ่ เปิดตลาดใหม่สู่ยุโรป]ตามด้วยภาพของเขาในชุดสูทเรียบหรู กำลังก้าวลงจากเวทีพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ไม่ได้ดุดันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาเพจข่าวบันเทิงอีกด้านกลับดึงประเด็นดราม่าเก่า[อดีตคู่หมั้นที่วิกัญญาเคยฟ้องว่านอกใจ-ทำร้ายร่างกาย แต่พชรกลับได้เป็นผู้นำธุรกิจไทย]เนื้อข่าวมองมาแต่ดาวอังคารยังรู้ว่านี่การขุดหลุมฝังกลบวิกัญญา แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เรียกยอดวิวได้มากที่สุด เพราะเหล่าบรรดาประชาชนช่างใส่ใจเข้ามาคอมเมนต์โพสต์กันจ้าละหวั่น[ใครจะยอมแต่งงานแบบคลุมถุงชนกันง่ายๆ ล่ะคะ คุณเพชรเขามีคนรักอยู่แล้ว เขารักกันมา 6 ปี ไม่ใช่เรื่องนอกใจค่ะ]คอมเมนต์จากผู้ใช้ชื่อ ‘ม่านฝัน’ มีคนมากดไลก์นับหมื่นและแชร์กระหน่ำ กระแสกลับตาลปัตรอย่างสมบูรณ์ และชื่อของพชรกลายเป็นภาพจำใหม่ของ ‘ผู้ชายที่มีความรักมั่นคง’ ในสายตาชาวเน็ตแต่เรื่องที่ทำให้คนทั้งประเทศฮือฮา ก็คือการให้สัมภาษณ์สดกับช่องเศรษฐกิจชื่อดังในช่วงเย็นของวันนั้น เมื่อผู้สื่อข่าวถามคำถามสุดท้าย“มีข่าวซุบซิบว่าคุณเพชรหายไปหนึ่งเดือนกว่าๆ เพราะลาค
พชรทำตัวเหมือนเป็นคนในครอบครัว เช้าตรู่เขามาพาลูกไปรับวิตามินดี พอเอาลูกมาส่งคืนแม่ เขาก็ไปช่วยซักผ้าอ้อม ซึ่งทุกวันก็จะมีผ้าที่เปื้อนอึ แม้ว่าแม่จะล้างอึออกไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นเป็นรอยที่ต้องขยี้ซัก และก็มีบ้างบางวันที่เจ้าตัวน้อยอึออกมาสดๆ ร้อนๆ ขณะที่เขากำลังซักผ้าอ้อมอยู่“ผมทำเองครับแม่”“อุ๊ย! ไม่ได้ค่ะคุณเพชร เดี๋ยวแม่ล้างเอง คุณเพชรไปซักกองนั้นก็พอค่ะ”แม่ของม่านบุษยาพูดขึ้นอย่างเกรงใจ แม้จะเรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่-ลูก’ กันไปแล้ว แต่ใครจะกล้าใช้ท่านประธานบริษัทมาล้างอึลูก“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากทำ”“มันเหม็นนะคะ”พชรกลับส่ายหน้า อมยิ้มน้อยๆ“อึลูกไม่เหม็นหรอกครับ ผมอยากทำให้เขา”คนพูดไปน้ำตาคลอไป ทำให้ม่านมัสลินที่แอบดูอยู่ที่ข้างประตูหัวเราะคิกคัก“พี่เพชรหอมจนร้องไห้เลยนะคะ”อีกคนที่เรียกพชรว่า ‘พี่’ อย่างสนิทสนมม่านบุษยานั่งให้นมลูกและฟังเสียงพูดคุยของทั้งสามคนไปด้วย บรรยากาศในบ้านที่อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะทำให้หล่อนยิ้มตาม คงมีเพียงหล่อนคนเดียวที่ไม่มีความสนิทสนมกับเขาจนน้องพอร์ชอายุได้ 1 เดือน พชรก็ยังมีกิจวัตรเหมือนเดิม ไม่ได้กลับไปทำงาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ งานเ
เสียงร้องเบาๆ ของเด็กทารกดังลอดออกมาจากบ้านไม้หลังกะทัดรัดข้างเคียง พชรยืนอยู่ข้างรั้วชะเง้อมอง แต่ไม่กล้าก้าวเข้าไป เพราะเจ้าของบ้านไม่ได้อนุญาต ตั้งแต่วันที่ม่านบุษยาคลอดลูก และกลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้น หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย เขารู้ว่าหล่อนเหนื่อย แต่กลับมาบ้านแล้ว ม่านบุษยาก็ยังไม่ได้เรียก ไม่ได้คุยกับเขา ทว่าทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียงลูกร้อง ใจเขาจะขาด“แม่ครับ! น้องพอร์ชเป็นอะไรครับ ทำไมร้องเสียงดังล่ะครับ”อดไม่ได้ที่จะตะโกนถาม เมื่อเห็นแม่ของม่านบุษยาเดินออกมาหญิงสูงวัยท่าทางใจดีกวักมือเรียกเขา และทำท่าจุ๊ปากไม่ได้เขาพูด แค่นั้นก็เข้าใจทันทีพชรแทบจะเหาะเข้าไปในบ้านของม่านบุษยา และแม่ของหล่อนก็จูงมือเขาไปแอบอยู่ข้างประตูกระจก ให้แอบมองด้านใน ที่เห็นก็คือ ม่านบุษยากำลังนั่งให้นมลูก และแม่ก็เข้ามากระซิบ“น้องพอร์ชหิวนมน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”พชรพยักหน้าแต่สายตามองภาพนั้นไม่หยุด ภาพใบหน้าสวยหวานของม่านบุษยาที่ทอดมองลูกชายตัวน้อยของเขา แค่เห็นก็มีความสุขเหลือเกิน“เด็กอ่อนยังเอาออกมาโดนลมมากไม่ได้ แต่เช้าๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้น แม่จะอุ้มเขาออกมารับวิตามินดี”“ครับ ขอบคุณครับ”เขารู
Commentaires