จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุข
เฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
บ้านรองและบ้านสามนั้นก็อยู่กันอย่างปรองดอง อาสะใภ้ทั้งสองของเฉินเจียวเจียวต่างเป็นสตรีที่ชอบเก็บตัว อาสะใภ้รองหวงซื่อชื่นชอบดนตรีและบทกวีนางมักจะหมกตัวอยู่ในเรือนของตนทั้งบรรเลงพิณและร่ายบทกวีอยู่แต่ในเรือนของตนอย่างมีความสุข ลูกของบ้านรองมีสามคนเป็นชายสองหญิงหนึ่งซึ่งแต่ละคนล้วนได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็นท่านย่าของพวกเขา
เฉินเจียวมี่คือคุณหนูสามของจวนสกุลเฉินคือบุตรสาวจากบ้านรองมีอายุอ่อนกว่าเฉินเจียวเจียวถึงสองปีกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนอีกทั้งยังน่ารักสดใสเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคนภายในจวนรวมทั้งเฉินเจียวเจียว ส่วนพี่ชายทั้งสองจากบ้านรองทั้งเฉินเจียวลู่และเฉินเจียวโจวในยามนี้ต่างก็ติดตามพี่ชายคนโตของนางเฉินเจียวจ้านไปเข้าร่วมกองทัพกับบิดาที่ชายแดน
ส่วนทางอาสะใภ้สามโม่ซื่อของเฉินเจียวเจียวกลับตรงกันข้ามนางเป็นหลงใหลในการต่อสู้ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนกับอนุทั้งสามของท่านอาสามของเฉินเจียวเจียว โม่ซื่อมีบุตรสาวเพียงคนเดียวมีนามว่าเฉินเจียวเหม่ยเป็นคุณหนูรองของจวนสกุลเฉินจากบ้านสาม
เฉินเจียวเหม่ยมีอายุอ่อนกว่าเฉินเจียวเจียวเพียงไม่กี่เดือนทั้งสองเป็นทั้งไม้เบื่อไม้เมาและสหายกันในบางครั้ง พวกนางทั้งสองมักชิงดีชิงเด่นกันเองยามที่อยู่ในจวน แต่กลับเข้าขากันดีและมักจะร่วมมือกันจัดการผู้อื่นในยามที่อยู่นอกจวน แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ค่อยชอบกันนักแต่แท้จริงแล้วสำหรับเฉินเจียวเจียวนั้นเฉินเจียวเหม่ยเป็นทั้งสหายและญาติผู้น้องที่ไว้ใจได้ อย่างน้อยยามนี้เฉินเจียวเจียวก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฉินเจียวเหม่ยจึงได้เกลียดชังหลินชิงเหมยมาโดยตลอด
“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงร้องเรียกที่หน้าประตูของตงผิงทำให้เฉินเจียวเจียวพลันได้สติขึ้นมาในที่สุด นางค่อยๆ ขยับตัวถอยออกมาจากบานหน้าต่างแล้วหันไปเอ่ยยังทิศทางที่ตงผิงยืนอยู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าตื่นแล้ว เข้ามาเถอะ” เมื่อนางเอ่ยจบประโยคทั้งตงผิงและตงชิงก็เดินเข้ามาในห้อง พวกนางทั้งสองต่างมองไปที่หน้าต่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายตงผิงรับเดินตรงไปปิดบานหน้าต่างเอาไว้ในทันทีส่วนตงชิงก็เอ่ยกับเจ้านายเสียงเบา
“เหตุใดจึงเปิดหน้าต่างเล่าเจ้าคะ ข้างนอกอากาศหนาวมากหากคุณหนูต้องลมเย็นมากเข้าระวังจะล้มป่วยนะเจ้าคะ” คำพูดของตงชิงทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา
“ข้าไม่เป็นอันใดหรอก มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย ก็เลยอยากทำให้ตนเองสดชื่น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางเดินไปนั่งลงบนที่นอนของตนเองและมองสาวใช้ช่วยกันจัดเตรียมข้าวของเพื่อเอาไว้ปรนนิบัตินางล้างหน้าและบ้วนปาก
“นี่ไม่ใช่แค่เพียงต้องการความสดชื่นธรรมดาแล้วกระมังเจ้าคะ เนื้อตัวเย็นเฉียบจนถึงขั้นนี้ คุณหนูมีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือเปล่าเจ้าคะ” ตงผิงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบายใจเมื่อสัมผัสพบไปความเย็นบนเนื้อตัวของเฉินเจียวเจียว แต่เฉินเจียวเจียวกลับยิ้มออกมาแล้วบอกกับสาวใช้ของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าสบายดีพวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมาอีกพวกนางช่วยปรนนิบัติเฉินเจียวเจียวล้างหน้าบ้านปากผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและจัดแต่งทรงผม เมื่อทำเสร็จก็ได้เวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงกลางของเรือนฝูอันแล้ว
ยามที่เฉินเจียวเจียวเดินเข้าโถงกลางก็พบว่าเฉียวซื่อมาถึงก่อนแล้วนางจึงส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยงของตนเล็กน้อยแล้วจึงได้หันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและมารดาเลี้ยงตามลำดับ ยังไม่ทันได้พูดคุยอันใดกันหวงซื่อและโม่ซื่อก็พาคนจากบ้านรองและบ้านสามเข้ามาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“อันที่จริงอากาศหนาวเย็นจนถึงขั้นนี้พวกเราไม่ต้องมากพิธีกันก็ได้ ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ คนในจวนของพวกเรามีน้อยยิ่ง มิสู้ต่างอยู่ในเรือนของตนไม่ต้องเดินฝ่าอากาศหนาวมาที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ซื่อก็พลันส่ายหน้า
“สำหรับข้าแล้วการเดินมาที่นี่ในยามเช้าก็ไม่ได้ลำบากอันใดเจ้าค่ะ แถมเมื่อคารวะท่านแม่เสร็จแล้วข้ายังได้ฝากท้องกินอาหารเช้ากับท่านแม่ที่นี่ด้วย ทั้งสะดวกและอิ่มท้องข้าขอมาคารวะยามเช้าท่านแม่เช่นนี้ทุกวันดีกว่าเจ้าค่ะ” คำพูดของโม่ซื่อทำให้หวงซื่อและเฉียวซื่อหันไปสบตากันแล้วยิ้มออกมา พวกนางสองคนชินเสียแล้วกับคำพูดอันตรงไปตรงมาของน้องสะใภ้จากบ้านสามผู้นี้ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่คุ้นชินกับลูกสะใภ้ที่ชอบพูดจาโผงผางและตรงไปตรงมาเช่นนี้
“แทนที่จะพูดว่าอยากมาที่นี่เพื่อแสดงความกตัญญู แต่เจ้ากลับบอกว่ามาที่นี่เพราะอยากมากินข้าวที่เรือนข้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงแต่เจ้าช่วยเลือกสรรถ้อยคำที่จะทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้ไม่หรือไม่ เจ้านี่นะ…ช่างโชคดียิ่งนักที่เหม่ยเอ๋อของข้าไม่ได้เป็นเช่นเจ้า” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ย่อกายทำท่าคารวะขออภัยแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าอย่างอ่อนหวาน
“จริงๆ แล้วท่านแม่ก็แค่อยากให้ท่านย่าอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น มีลูกหลานนั่งกินข้าวพร้อมหน้าท่านย่าน่าจะเจริญอาหารดีมากยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ”
“ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจพูด เอาเถอะๆ พวกเราไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่า ได้กินมื้อเช้าร่วมกันเช่นนี้ทุกวันก็ทำให้ข้าเจริญอาหารมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางเดินนำลูกสะใภ้และหลานสาวไปรับมื้อเช้าร่วมกันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกันเสร็จพวกนางก็มานั่งจิบชาช่วยย่อยด้วยกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งเฉียวซื่อ หวงซื่อและโม่ซื่อก็ขออำลากลับเรือนโดยมีบุตรสาวของพวกนางติดตามกลับเรือนไปด้วย เหลือเพียงเฉินเจียวเจียวที่อาศัยอยู่ภายในเรือนเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่เด็กจวบจนป่านนี้นางก็ไม่คิดจะแยกเรือนออกไปไหน ด้วยคิดว่าอีกไม่กี่ปีหลานสาวผู้นี้ก็จะแต่งงานออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้ให้นางย้ายออกไปด้วยคิดว่าอยู่ร่วมกันเช่นนี้ก็อบอุ่นดี
“วันนี้ญาติจากสกุลหลินของเจ้าส่งเทียบมาขอเยี่ยมเยียนข้าที่จวนข้าตอบรับเทียบเชิญพวกเขาไปแล้ว เจ้าเองก็รอพบพวกเขาอยู่กับข้านี่แหละ อันที่จริงแล้วคนที่พวกเขาอยากจะมาเยี่ยมก็คงจะเป็นเจ้า” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าพลางขานรับออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจ้าค่ะ” แล้วนางก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอาไว้
หากนางเดาไม่ผิดคนสกุลหลินที่มาในครั้งนี้น่าจะมีหลินชิงเหมยติดตามมาด้วย ได้พบกันในยามยังอ่อนเยาว์อีกครั้งเช่นนี้นางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าแม่ดอกบัวขาวของนางในตอนนี้เริ่มมีพิษสงบ้างแล้วหรือยัง และนางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงไม่เคยเห็นญาติผู้น้องคนนี้อยู่ในสายตาเลยสักครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีญาติผู้น้องที่ชอบทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวผู้นี้ก็เข้าไปทำลายชีวิตอันสงบสุขของนางเข้าเสียแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ