สายลมเหมันต์อันเหน็บหนาวที่พัดพาความหนาวเย็นเข้ามาทางหน้าต่างไม่ได้ทำให้เฉินเจียวเจียวรู้สึกเบิกบานขึ้นมาเลยสักนิด ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างปล่อยให้สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาปะทะใบหน้าเพื่อยืนยันการรับรู้ของนางว่านางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังได้กลับมาในช่วงที่นางยังเป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นอีกด้วย
ละอองหิมะที่โปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง เสียงสายลมอันหวีดหวิวยามค่ำคืนทำให้เฉินเจียวเจียวต้องหลับตาลงเพื่อใคร่ครวญถึงความทรงจำในกาลก่อนของตนเองอีกครั้ง ในฐานะพระชายาเอกของโซ่วอ๋องแห่งแคว้นต้าเยียนนางประพฤติตนอยู่ภายใต้กรอบระเบียบของประเพณีทุกประการ ปกครองจวนด้วยอำนาจและบารมี เอาอกเอาใจปรนนิบัติสามีอย่างโซ่วอ๋องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีเมตตาและมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเขามีความประสงค์อยากจะรับญาติผู้น้องที่น่าสงสารของนางเข้ามาอยู่ในจวนนางก็ไม่ได้คัดค้าน แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจมากเพียงใดก็ตามที แต่เพราะคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้มีชีวิตที่น่าสงสารเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแล้วไม่น่าจะสร้างเรื่องร้อนใจให้นางดังเช่นอนุคนอื่นๆ
ญาติผู้น้องแต่งเข้าจวนมาในฐานะพระชายารองถือว่าเป็นการป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างงดงาม แต่งเข้ามาไม่เท่าไหร่ครรภ์ของนางก็พลันมีความเคลื่อนไหว ไม่ว่าเฉินเจียวเจียวจะพยายามเก็บงำความรู้สึกมากเพียงใดแต่นางก็ไม่อาจจะรู้สึกดีขึ้นมาได้ แถมญาติผู้น้องผู้มีนามว่าหลินชิงเหมยผู้นี้ยังไม่ใช่คนไร้พิษสงอย่างที่นางเคยเข้าใจ สร้างเรื่องราวเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากสามีมิได้หยุดหย่อนทำให้เฉินเจียวเจียวไม่เคยได้สบายใจ ชายารองตั้งครรภ์ก่อนนางที่เป็นชายาเอกไม่ว่าจะพยายามระงับอกระงับใจอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยากจะที่นางจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่นางยังไม่ทันได้ลงมือทำอันใด ญาติผู้น้องตัวดีของนางก็ยัดเยียดข้อหาอันรุนแรงให้นางก่อนเสียแล้ว นางถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษญาติผู้น้องของตนเองจนทำให้ญาติผู้น้องผู้ที่กำลังจะสั่นคลอนตำแหน่งพระชายาเอกของนางต้องสูญเสียลูกในครรภ์ไป
“เจียวเจียว! เจ้าช่างใจดำอำมหิตนักนี่คือลูกคนแรกของข้า แต่เจ้ากลับทำให้เขาต้องตายจากไปเพียงเพราะความริษยาของเจ้า” โซ่วอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาโกรธแค้นและชิงชัง
“ขอท่านอ๋องได้โปรดไต่สวนเรื่องนี้อีกครั้งด้วยเพคะ หม่อมฉันขอยืนยันว่าหม่อมฉันคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นญาติผู้น้องที่หม่อมฉันเคยให้ความเอ็นดูมาโดยตลอด ต่อให้ไม่พอใจในตัวนางอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีทางใช้วิธีสกปรกเช่นนี้มาจัดการกับนางแน่เพคะ”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะอาเหมยเจ็บเหลือเกินเพคะ” เสียงร้องของหลินชิงเหมยที่ดังออกมาจากห้องด้านในทำให้หลี่ไท่หยางหันไปจ้องมองภายในห้องด้วยสายตาเคร่งเครียดแล้วจึงได้หันกลับมามองเฉินเจียวเจียวอีกครั้ง
“สั่งการลงไปพระชายาจากสกุลเฉินมีจิตริษยา ประพฤติตนไม่เหมาะสมตำแหน่งพระชายาให้โบยตีนางสามสิบที สาวใช้ในเรือนของนางคนละสี่สิบทีแล้วกักขังพวกนางให้อยู่แต่ภายในเรือนหลักห้ามผู้ใดออกจากเรือนแม้สักก้าวเดียว หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนก็ให้ลงโบยจนตายไปเสีย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้เฉินเจียวเจียวเจียวจ้องมองเขาอีกครั้งในทันที จริงอยู่ว่าโทษโบยสามสิบครั้งแม้ว่าอาจจะไม่ทำให้ถึงตายและพิการแต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะพระชายาเอกเช่นนางหากถูกโบยตีเช่นนี้แล้ววันหน้านางจะควบคุมผู้อื่นภายในจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างไร
“ยังไม่รีบลงมืออีก ห้ามออมมืออย่างเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าผู้ใดกล้าออมมือ ข้าก็จะลงโทษโบยตีคนผู้นั้นด้วย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้มามาผู้คุมกฎรีบมาควบคุมตัวของเฉินเจียวเจียวเอาไว้แล้วพานางไปที่ลานลงทัณฑ์ในทันที
เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นยามที่ถูกกดตัวให้นอนลงบนแท่นลงทัณฑ์ เสียงแผ่นไม้โบยตีลงมาทางด้านหลังทำให้นางต้องรีบเม้มปากเอาไว้เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงสกุลเฉินไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะได้รับการลงทัณฑ์เช่นนี้ ยิ่งได้หันไปเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของตนและบรรดาข้ารับใช้ภายในเรือนต่างก็ถูกโบยตีเช่นกันนางก็เม้มปากเอาไว้แน่น พลางคิดในใจว่าความอัปยศครั้งนี้นางจะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน ในเมื่อนางไม่ได้เป็นคนทำไม่ว่าอย่างไรความจริงก็ย่อมต้องปรากฏ เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่นางจะทำกับหลินชิงเหมยย่อมไม่ใช่แค่เพียงการโบยตีเป็นแน่
“พระชายา พระชายาเพคะ!” เสียงร้องเรียกของตงผิงทำให้สติอันรางเลือนของนางพลันแจ่มชัดขึ้น ความปวดแปลบเบื้องล่างทำให้นางรีบก้มลงไปมอง ลานลงทัณฑ์ที่ปกคลุมด้วยหิมะในยามนี้เต็มไปด้วยเลือดซึ่งปริมาณเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะบาดแผลจากการโบยตีเป็นแน่ เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ไปตามหมอหลวงมา ไปตามหมอหลวงมาให้ข้า” นี่คือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่นางจะหมดสติไป
“ทำอย่างไรดี ยามนี้พระชายายังไม่ได้สติเลย” เสียงของตงผิงสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของนางที่ติดตามมาจากจวนผิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจและสั่นเครือ
“ข้าส่งคนไปตามหมอหลวงแล้ว บรรดามามาผู้ลงทัณฑ์ก็รีบส่งคนไปแจ้งท่านอ๋องแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเนิ่นนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีผู้ใดมาเลย” เสียงของตงชิงสาวใช้อีกที่ดังขึ้นทำให้นางอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเพื่อสั่งการแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ สุดท้ายเสียงร่ำไห้และเสียงพูดคุยของสาวใช้คนสนิทก็พลันจางหายไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสติอันพร่าเลือนและความเจ็บปวดที่ได้รับเฉินเจียวเจียวได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจว่า
‘ไม่นะ! ข้าคงจะไม่ตายจากไปง่ายๆ เช่นนี้กระมัง’ แล้วสติของนางก็ดับมืดไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนางก็กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่นอีกครั้ง
เฉินเจียวเจียวได้แต่พรั่งพรูลมหายใจอันเย็นยะเยือกออกมา ยามนี้นางมีอายุเพียง 14 ปี ยังอยู่ในการดูแลของฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลเฉิน ส่วนบิดาของนางผิงกั๋วกงผู้มีนามว่าเฉินเซียวในยามนี้ยังคงประจำชายแดนทางเหนือและยังไม่มีกำหนดกลับ ท่านอาของนางเองก็เช่นกัน ยามนี้ในบ้านของนางมีเพียงนาง ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นย่า มารดาเลี้ยง ครอบครัวของบ้านรองและบ้านสามที่อาศัยอยู่ในจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้
"นี่ไม่ใช่ความฝันและข้ายังไม่ตาย" เฉินเจียวเจียวพึมพำออกมาพลางยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสัมผัสกับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร
เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา
หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี
เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั
เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย
แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง
เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ
ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม
จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้