ฉินเซียวผู้ซึ่งเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องที่รักยอดดวงใจ เธอได้ตกตายลงจากความเจ็บป่วยไร้คนในครอบครัวของสามีสนใจ ทำให้ได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนนานอยู่นับพันปี ก่อนที่วิญญาณของนางจะได้รับความรู้มาจากยุคอนาคตจากการติดตามเด็กหญิงผู้หนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนด้วยความสงสัย ตั้งแต่เด็กคนนี้เริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลจนเด็กคนนี้เรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยและแต่งงาน จนกระทั่งในวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาทำให้วิญญาณของหล่อนถูกดูดกลืนและได้มาพบกับท่านเทพแห่งดวงชะตา ด้วยความสงสารที่ท่านเทพมีต่อหญิงผู้นี้จากการตรวจสอบบันทึกในเรื่องราวของนางว่าแท้จริงแล้วนางเป็นเพียงสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากปลายปากกาของผู้ที่เรียกตนว่านักเขียน ดังนั้นเทพแห่งดวงชะตาจึงใจดีให้หญิงสาวร่างผอมคนนี้ได้ดูชะตาตั้งแต่แรกเกิดของตนผ่านกระจกแปดเหลี่ยมหรือโป๊ยข่วย ก็เลยทำให้หญิงสาวผู้นี้ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วที่ครอบครัวไม่ดีต่อตนเองนั้นเป็นเพราะหล่อนเป็นลูกสาวตัวปลอมของครอบครัวปัจจุบันก่อนแต่งงาน และที่ช็อกมากกว่านั้นก็คือเธอเป็นเพียงตัวประกอบในนิยายที่ปรากฎออกมาเพื่อเป็นตัวละครให้ผู้อื่นเห็นใจในความรักของพระนางในเรื่อง เนื่องจากนางเป็นผู้ไปพรากวาสนาของนางเอกของเรื่องกับตัวเอกชายที่เป็นตัวละครสำคัญทำให้ผู้คนต่างเรียกขานเธอว่าแม่สาวชาเขียว
View Moreฉินเซียวผู้ซึ่งเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องที่รักยอดดวงใจ เธอได้ตกตายลงจากความเจ็บป่วยไร้คนในครอบครัวของสามีสนใจ ทำให้ได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนนานอยู่นับพันปี
ก่อนที่วิญญาณของนางจะได้รับความรู้มาจากยุคอนาคตจากการติดตามเด็กหญิงผู้หนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนด้วยความสงสัย
ตั้งแต่เด็กคนนี้เริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลจนเด็กคนนี้เรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยและแต่งงาน จนกระทั่งในวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาทำให้วิญญาณของหล่อนถูกดูดกลืนและได้มาพบกับท่านเทพแห่งดวงชะตา
ด้วยความสงสารที่ท่านเทพมีต่อหญิงผู้นี้จากการตรวจสอบบันทึกในเรื่องราวของนางว่าแท้จริงแล้วนางเป็นเพียงสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากปลายปากกาของผู้ที่เรียกตนว่านักเขียน ดังนั้นเทพแห่งดวงชะตาจึงใจดีให้หญิงสาวร่างผอมคนนี้ได้ดูชะตาตั้งแต่แรกเกิดของตนผ่านกระจกแปดเหลี่ยมหรือโป๊ยข่วย ก็เลยทำให้หญิงสาวผู้นี้ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วที่ครอบครัวไม่ดีต่อตนเองนั้นเป็นเพราะหล่อนเป็นลูกสาวตัวปลอมของครอบครัวปัจจุบันก่อนแต่งงาน
และที่ช็อกมากกว่านั้นก็คือเธอเป็นเพียงตัวประกอบในนิยายที่ปรากฎออกมาเพื่อเป็นตัวละครให้ผู้อื่นเห็นใจในความรักของพระนางในเรื่อง เนื่องจากนางเป็นผู้ไปพรากวาสนาของนางเอกของเรื่องกับตัวเอกชายที่เป็นตัวละครสำคัญทำให้ผู้คนต่างเรียกขานเธอว่าแม่สาวชาเขียว
“ในเมื่อเจ้าเห็นดวงชะตาของตนแล้วคิดอยากกลับไปหรือไม่” เทพแห่งชะตาถามกับหญิงสาวร่างผอม ใบหน้าตอบ ผมแห้งเหมือนคนขาดสารอาหารด้วยความเห็นใจ
“อยากเจ้าค่ะ ข้าขอโอกาสได้หรือไม่ ข้าอยากจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงแม้ว่าจะลำบากเพียงใดก็ตาม ส่วนตัวเอกพวกนั้นเมื่อได้กลับไปข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกเป็นอันขาด” ฉินเซียวกล่าวกับเทพชะตาอย่างหมายมาดเมื่อได้รับรู้เรื่อง ราวของครอบครัวอันแท้จริงว่าตอนนี้มีสภาพอย่างไรและทุกคนนั้นยังไม่ลืมลูกสาว/น้องสาวตัวน้อยผู้น่าสงสารโดย เฉพาะผู้เป็นแม่
“ได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปพร้อมกับคำอวยพรขอให้เจ้าโชคดี จงใช้ชีวิตใหม่ให้คุ้มนะ ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องราวภายในหนังสือเล่มนี้หมดแล้วจงกลับไปลิขิตชีวิตของตัวเองใหม่ซะ”
หลังจากสิ้นเสียงของเทพเจ้าแห่งดวงชะตาร่างวิญญาณของหญิงสาวอายุยี่สิบก็ลอยละลิ่วเหมือนว่าวที่ขาดออกจากเชือก ต่อจากนี้เรื่องราวของสาวชาเขียวผู้นี้จะเป็นเช่นไรเรามาร่วมลุ้นไปกับหล่อนพร้อม ๆ กันได้เลยค่ะ.
“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าจะบ่นอะไร เจอหมูป่าก็ดีแล้วนี่จะได้มีเนื้อเพิ่ม อีกทั้งยังได้แบ่งขายให้ชาวบ้านเป็นการซื้อใจคนเหล่า นั้นได้อีกมันไม่ดีตรงไหน” กระจกเทพถามสหายอย่างงุนงง“มันไม่ดีตรงที่ข้ากลัวอันตรายนะสิ” ฉินเซียวกล่าวสีหน้าเป็นกังวล“เจ้าเชื่อข้าเถอะเจ้าแมวยักษ์สองตัวนั้นจัดการได้” โป๊ยข่วย อวยเสือตัวโตทั้งสอง“เจ้ามั่นใจนะ แต่ข้าขอลองถามเจ้าตัวเขาดูสักหน่อยดีกว่า” ฉินเซียวหยุดสนทนากับกระจกเทพก่อนจะหันไปถามไป๋หู่เพื่อเป็นการยืนยัน“ไป๋หู่เจ้ามั่นใจว่าจะสู้หมูป่าสองตัวนั้นได้ไหม”“เจ้าถามใคร เหตุใดข้าจะสู้มันไม่ได้ต่อให้มันมากันสองสามตัวข้าตัวเดียวก็สู้มันได้สบาย” ไป๋หู่เชิดคอขึ้นสูงกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง“เหอะ ๆ เอาแค่ตัวเดียวก็พอเถอะ” ฉินเซียวยิ้มแหย แต่พอนางได้ยินคำพูดของกระจกเทพสีหน้าของนางก็ซีดเผือดลง“เจ้าอัปลักษณ์ดูเหมือนคำพูดเจ้าแมวยักษ์จะเป็นจริงนะ มันมีอยู่สองตัวแต่ละตัวเขี้ยวโง้งเชียว”“สหายรัก ข้ายินดีด้วยมีหมูป่าตั้งสองตัวเจ้าก็จงระวังตัวอย่าให้บาดเจ็บนะ ข้าจะให้ท่านพ่อช่วยยิงหน้าไม้ช่วยอีกแรง” ฉินเซียวเอามือลูบหัวของไ
หลังจากปีใหม่ผ่านพ้นไปเพียงสองวัน เฉินกังก็ได้พาหมอชราทั้งสองมาดูสถานที่ที่เขาเตรียมไว้ซึ่งเป็นบริเวณห้องโถงหลักของบ้านตนเองนั่นแหละไม่ใช่ที่ไหนไกล เนื่องจากหลานชายวัยเจ็ดปีหมาด ๆ ของเขาจะได้เรียนด้วยเมื่อชายชราทั้งสองรวมทั้งจินหลาง เทียนอี้ และเด็กบ้านจ้าวทั้งหกมาถึง โดยมีไป๋หู่ ต้าหู่ช่วยลากเลื่อนบรรทุกกระบะทรายตามมา เด็กเจ็ดคนที่ยืนรอการมาของพวกเขาต่างพากันรีบเดินออกมาคารวะทักทายชายชราทั้งสองอย่างสุภาพทันที“คารวะอาจารย์ขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็กเหล่านี้มีตั้งแต่อายุเจ็ดปีจนถึงสิบสองปีแบ่งเป็นหญิงสามชายสี่จากนั้นพวกเขาจึงได้เดินเข้าไปช่วยยกกระบะทรายออกจากรถเลื่อนเมื่อเห็นพี่น้องบ้านจ้าวต่างพากันยกของออกมา“พวกเจ้ายกไปวางที่โต๊ะของตัวเองกันเลย” ซินฉีเอ่ยปากบอกกับเด็กทุกคน“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทุกคนขานรับและเมื่อซินฉีเห็นว่าเด็กทุกคนรวมถึงเด็กห้าคนจากบ้านจ้าวนั่งลงกันเรียบร้อยแล้วชายชราจึงได้เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง“ข้าซินฉี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะมาสอนพวกเจ้าให้ท่องตำรากับหัดเขียนตัวอักษร สิ่งที่ข้าจะบอกพวกเจ้าก็คือขอให้พวกเจ้าจงตั้งใจเรี
หลังจากเจรจากับเสือเรียบร้อย ฉินเซียวจึงได้เดินกลับมาหาผู้เป็นพ่อพร้อมกับได้อธิบายถึงวิธีการทำเลื่อนลากแบบ ง่าย ๆ โดยดัดแปลงจากรถเข็นโดยอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ได้มาจากโป๊ยข่วยท่านเทพแสนดี“น้องรอง น้องห้า น้องเล็ก พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน” จ้าวซิงที่เดินฝ่าหิมะออกมาจากบ้านของตนเอ่ยถามน้องทั้งสามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสิ่งของรูปร่างประหลาดแปลกตาโดยมีซานหนิวเอ้อเหมยที่เดินตามมาด้วยมองไปยังทิศทางเดียวกัน“พี่ใหญ่ พี่สาม พี่สี่ ท่านมาดูรถเลื่อนบนหิมะของน้องเล็กสิขอรับ” ฉินฟู่ส่งเสียงพลางกวักมือเรียกคนทั้งสามให้เข้ามาใกล้“รถเลื่อนอย่างนั้นหรือ มันไม่มีล้อนี่จะเคลื่อนที่ยังไง” เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้จ้าวซิงก็มองสำรวจรถลากพร้อมถามด้วยความสงสัย“ข้าจะทำให้ดูเจ้าค่ะ” ฉินเซียวยกยิ้มก่อนที่นางจะนำตัวคล้องที่เตรียมไว้สวมไปยังตัวของไป๋หู่“ไป๋หู่ ต้าหู่ พวกเจ้าพร้อมหรือไม่” นางเอ่ยถามเสือทั้งสองก่อนที่ตนจะลองขึ้นไปนั่งในกระบะรถลาก“อืม” “พร้อมเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของไป๋หู่นางจึงบอกเสือขาวตัวโตทันที“เอาล่ะ เจ้าเดิน
“ด้วยความยินดี” ฉินเซียวยกยิ้มให้กระจกเทพหลังจากที่ครอบครัวภายในบ้านต่างไหว้เทพเจ้าทั้งสามเรียบร้อยแล้ว ฉินเซียวก็นำใบไผ่ที่เคยให้ฉินหยางกับซุนห่าวนำมาตากแห้งเก็บไว้มาห่อของหวานที่ตนตัดเป็นชิ้นขนาดเล็กไว้แล้วโดยมีพี่ชายทั้งสองช่วยห่อ“แม่ว่าพวกเจ้าไปทักทายท่านลุงท่านป้าท่านอาทั้งสองกับอาจารย์ก่อนดีหรือไม่ สิ่งนี้ค่อยกลับมาห่อระหว่างนี้แม่กับพ่อจะช่วยห่อไปก่อน”“ขอรับ/เจ้าค่ะ แต่พวกเราจะต้องกล่าวอวยพรท่านทั้งสองก่อนที่ทำให้พวกเรามีวันนี้ได้ คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ขอให้พวกท่านอายุยืน มีความสุข นะเจ้าคะ/ขอรับ” เด็กทั้งสามต่างคำนับบิดามารดาพร้อมกันทำให้ฉินเต๋อและหนิงเซียนต่างไปประคองให้ลูก ๆ ลุกขึ้นก่อนที่พวกเขาจะส่งถุงเงินสีแดงให้กับบุตรทั้งสามคนก่อนอวยพรให้ลูกของตนด้วยเช่นกัน“แม่กับพ่อก็ขอให้พวกเจ้ามีความสุขเช่นกันจงเติบโตเป็นคนดีมีแต่ความเจริญ”“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ/ขอรับ” เด็กทั้งสามต่างขานรับเสียงดัง“เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปคารวะผู้อาวุโสอื่นกันเถอะ แต่อย่าลืมนำของที่แม่เตรียมไว้ไปให้ท่านหมอทั้งสองกับท่านย่าของเสี่ยวอี้ด้วย” หน
ในขณะที่คนทั้งบ้านกำลังช่วยกันทำงานอยู่ก็ได้มีเสียงร้องเรียกดังขึ้นจากหน้าบ้าน ทำให้พวกเขาหยุดงานในมือลงเพื่อฟังให้แน่ใจ“อาเต๋อ อาหยาง”“ท่านพ่อเสียงท่านปู่เฉินไม่ใช่หรือขอรับ” ฉินอู๋เปิดปากหลัง จากที่แน่ใจในเสียงนั้น“น่าจะใช่ เสี่ยวอู๋เจ้าไปดูเถอะ” ฉินเต๋อพยักเพยิดหน้าให้บุตรชายคนโต“ขอรับ” เด็กชายรับคำก่อนจะเดินไปล้างมือแล้วรีบเดินไปทางประตูหน้าบ้าน เมื่อเขาเปิดประตูออกก็พบกับชายหญิงชราผู้คุ้นเคย“คารวะท่านปู่เฉิน ท่านย่าหวงขอรับ ขอเชิญพวกท่านเข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้านกำลังแล่หมูอยู่”“ขอบใจเจ้า ปู่กับย่าเองก็ตั้งใจมาช่วยพ่อของเจ้านี่แหละ” เฉินกังยกยิ้มให้เด็กชายพร้อมกล่าววัตถุประสงค์ของตน“ถ้าอย่างนั้นตามข้ามาได้เลยขอรับ” เด็กชายยิ้มกว้างเดินนำผู้อาวุโสให้ตามตนเองเมื่อผู้มาเยือนทั้งสองเดินไปยังหลังบ้านพวกเขาก็เห็นการทำงานร่วมกันของคนทั้งครอบครัวไม่เว้นแม้แต่หมอชราที่พวกเขาต่างคุ้นเคย“คารวะท่านปู่เฉิน ท่านย่าหวงเจ้าค่ะ/ขอรับ” คนอายุน้อยกว่าต่างทักทายทั้งสองเป็นกันเองด้วยรอยยิ้ม“ไม่ต้องมากพิธีพวกเจ
ทางด้านบ้านของฉินเต๋อเองก็มีความสุขไม่ต่างจากผู้เป็นน้อง เขากับภรรยายืนมองรอยยิ้มของเด็กทั้งสามด้วยรอยยิ้มที่ตัวเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะมีวันนี้“ท่านพี่ ข้าขอบคุณท่านที่ตัดสินใจทำเพื่อพวกเราในวันนั้น” หนิงเซียนที่ยืนอยู่ข้างกายแกร่งของสามีพูดอย่างอ่อนโยนน้ำตาซึม“พี่คิดว่าการตัดสินใจในวันนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในวันนี้ได้หรอก เจ้าดูลูกของเราแต่ละคนสิ มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกันมากขนาดไหน” ฉินเต๋อโอบกระชับไหล่บางของภรรยาแน่นอย่างรักใคร่“ท่านพ่อ ท่านแม่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพวกเราใช่ไหมขอรับ” ฉินฟู่ยิ้มร่าจ้องตาบิดาดวงตาเปล่งประกาย“ใช่แล้วลูก บ้านหลังนี้เป็นของเรา เราจะอยู่ร่วมกันที่นี่พวกเจ้าชอบหรือไม่” ฉินเต๋อวางมือหยาบบนหัวของบุตรชายกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ชอบขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็กอีกสองที่เดินตามฉินฟู่มาฉีกยิ้มจนตาหยีกล่าวเสียงดัง“วันนี้พวกเจ้าอยากกินอะไร แม่จะทำให้พวกเจ้ากินเป็นการเลี้ยงฉลองเข้าบ้านเรา” หนิงเซียนส่งยิ้มหวานให้ลูกน้อย ทั้งสาม
Comments