ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่
“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
ฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขา
รถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขา
ถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝัน
พี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด
“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน
“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)
“โมโหอะไรรึเปล่าครับ สีหน้าหนูไม่ดีเลย”
“ยังจะมีหน้ามาถามนะคะ พี่แทนนั่นแหละต้นเหตุ เหอะ” ฉันกอดอกมองเขา แล้วเบือนหน้าหนีไปมองข้างทางต่อ
“เรื่องฉากจูบที่พี่เพิ่มเข้าไปเหรอ”
“ค่ะ ทำไมต้องอยากให้บทมิ้นจูบกับคนอื่นด้วย”
“อืม...พี่ว่า มันไม่ใช่จูบเพื่อโรแมนติกอย่างเดียวนะ แต่มันเป็นฉากที่ทั้งสองคนยอมเปิดใจให้กัน ยอมรับกันและกันจริง ๆ หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดมาด้วยกันน่ะ” ขณะเขาพูด มือเขายังคงขับรถ สายตาไม่ละจากถนน
“แต่...พี่ไม่กลัวคนดูคิดเหรอคะ ว่าบทมันเกินไปหน่อย หรือไม่จำเป็นต้องยัดบทจูบมาเลยนี่นา” ฉันหันไปเลิกคิ้วมองเขา แต่ใบหน้าของพี่แทนยังคงมีท่าทีสบาย ๆ
“พี่ว่าบทที่พี่เขียน คนดูจะรู้สึกได้ว่าจูบนั้นไม่ใช่แค่จูบ แต่เป็นคำสารภาพและเชื่อมตัวละครเข้าหากัน โดยไม่ต้องใช้คำพูดไงมิ้น” เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วปรายตามองฉันแวบหนึ่ง หัวใจฉันเต้นตึกตักอย่างไม่รู้ตัว เหมือนร่างกายจะหลอมละลายเหลวเป็นน้ำ แม้จะเข้าใจนะว่านี่เป็นการคุยกันแบบ คนเขียนบทกับนักแสดง แต่เพราะเสียงเขา ท่าทางของเขา นัยน์ตาที่อ่อนโยนนั่น มันทำเอาฉันหายใจไม่ทั่วท้องเลยน่ะสิ
“อืม...ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ เบือนหน้ามองข้างทางเพื่อเลี่ยงไม่ให้เขารู้ว่าฉันเขินมากแค่ไหน
รถยังคงมุ่งหน้าเพื่อกลับคอนโดฉัน แต่ในระหว่างนั้น จู่ ๆ พี่แทนก็ชะลอรถลง แล้วพูดกับฉัน
“ก่อนไปส่งมิ้น พี่ขอแวะคอนโดพี่ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวพี่เปิดบทร่างฉบับจริงให้ดู มีส่วนที่พี่เขียนเพิ่มเอง ตรงฉากจูบนั้นด้วย เพื่อมิ้นจะได้ช่วยพี่ตัดสินใจฉากนั้นร่วมกัน”
“ห๊า!” ฉันหันขวับไปมองหน้าพี่แทนทันทีด้วยความตกใจ
“ตกใจทำไมครับ พี่แค่อยากให้หนูเข้าใจน้ำหนักของฉากนี้จริง ๆ จะได้เล่นให้ลึกขึ้นไงได้ไหมครับ” พอเห็นพี่แทนยิ้มอย่างใจเย็น ฉันก็ไม่กล้าปฏิเสธหรอก แม้จะรู้สึกแปลก ๆ ก็เถอะ
คอนโดพี่แทนอยู่ในย่านหรูใจกลางเมือง ไม่ได้ห่างจากคอนโดฉันมากนัก แต่ที่นี่น่าจะแพงกว่าคอนโดฉันพอสมควรแหละ เขาพาฉันมาที่ห้องของเขา เรียบแต่เท่ โทนสีห้องเป็นขาวเทา ให้ความรู้สึกสะอาดและเย็นนิ่ง เอาจริงก็ดูสื่อถึงบุคลิกพี่แทนและขนาดห้องมันใหญ่ ราวกับบ้านหลังหนึ่งเลยล่ะ ไม่สินี่มันน่าจะเรียกว่า ‘เพนท์เฮ้าส์’ มากกว่าด้วยซ้ำ แต่มันก็สมกับฐานะเขาดีแหละ
“นั่งก่อนครับ เดี๋ยวพี่ไปรินน้ำให้”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ มิ้นเดินไปเอาเองได้ค่ะ”
“ก็ได้ครับ งั้นมิ้นรินน้ำเผื่อพี่แก้วหนึ่งทีครับ เดี๋ยวพี่เปิดไฟล์ให้ดู” เขาวางโน้ตบุ๊คบนโต๊ะกระจกก่อนจะหยิบแว่นตากรอบเงินมาสวมเพื่อหาไฟล์นั้น
ส่วนฉันเดินไปห้องครัวด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ความรู้สึกเหมือนได้เข้ามาในโลกอีกใบที่ฉันไม่คุ้นเคย และไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง
แต่มาคิด ๆ ดูแล้วนึกว่าบทร่างจะเป็นกระดาษซะอีก เพราะถึงขั้นแวะมาเอาที่คอนโด แต่นี่ไฟล์อยู่ในคอมนี่นา จริง ๆ ค่อยส่งอีเมลให้กันก็ได้ไม่ใช่เหรอ งงกับเขาจริง ๆ แฮะ
“น้ำมาแล้วค่ะพี่” ฉันวางแก้วน้ำลงไปบนโต๊ะกระจกใกล้ ๆ เขา ก่อนที่ฉันเองจะจิบน้ำไปอึกหนึ่งเหมือนกัน
“ขอบคุณครับ” เขาเงยหน้าพลางขยับแว่นกรอบเงินมองฉัน ให้ตายเถอะ หล่อโคตรพ่อโคตรแม่ ยัยมิ้นคนนี้แทบจะสำลักความหล่อตาย
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่เจอรึยังคะ เดี๋ยวมันจะมืดค่ำเกินไปนะคะ”
“ทำไมล่ะ มืดเกินไปก็ค้างที่นี่เลยสิ”
“แหม...พี่แทนพูดแบบนี้ อย่าเล่นกับระบบนะคะ ถึงพี่แทนจะเป็นเกย์ไม่คิดอะไรกับมิ้น แต่มิ้นไม่ติดที่พี่เป็นเกย์นะคะ ฮ่า...” ฉันดันพูดอะไรไม่คิด พี่แทนมีสีหน้านิ่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาฉันต้องรีบพูดแก้ประโยคเมื่อกี้ทันควัน
“มิ้นล้อเล่นค่ะล้อเล่น พี่แทนอย่าใส่ใจคำพูดมิ้นเลยค่ะ ไหนคะบทร่าง รีบ ๆ อ่านกันดีกว่าค่ะ”
“นี่ครับ ลองอ่านตรงนี้ดู” เขาเลื่อนจอโน้ตบุ๊คมาทางฉัน ก่อนที่ฉันจะรีบก้มหน้าไปอ่าน แต่ตอนนี้ฉันอ่านไม่เข้าใจหรอก หัวใจเต้นโครมครามขนาดนี้
‘ตั้งสติหน่อยสิวะ ยัยมิ้น’
ฉันใช้เวลาจัดการความคิดชั่วครู่ จากนั้นก็สนใจบทสนทนาตอนท้ายของละครมีคำว่า พระเอกโน้มตัวเข้าหารุ้ง(วัยสาว) อย่างช้า ๆ และตามด้วยคำว่าจูบ โดยมีเครื่องหมายวงเล็บไว้พร้อมคำบรรยายถึงอารมณ์และเจตนาที่ใส่บทนี้ขึ้นมากะทันหัน
เอาจริงพอมาอ่านรวม ๆ บทที่แก้ใหม่นี้ มันสมบูรณ์กว่าบทเดิมจริง ๆ และบทจูบนี้ดูไม่ได้จงใจยัดเยียดเหมือนที่ฉันคิดตอนแรก ‘พี่แทนเป็นนักเขียนบทที่เก่งจริง ๆ’
“สุดยอดเลยค่ะ บทดูลึกกว่าที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย” ฉันหันไปมองพี่แทนด้วยแววตาชื่นชม ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบฉันอย่างเคย
“ตอนพี่นั่งแก้ พี่เองก็กังวลว่ามิ้นจะยอมเล่นฉากนี้ให้พี่รึเปล่า พี่ทำใจไว้แล้ว ถ้ามิ้นปฏิเสธพี่ก็จะกลับไปใช้บทเดิม” เขาเอนตัวพิงพนักโซฟาเล็กน้อย แสดงท่าทีกังวลออกมาเล็ก ๆ นั่นจึงทำให้ฉันรู้สึกผิดหน่อย ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าตำแหน่งไหนเขาก็พยายามกันทั้งนั้น ฉากจูบนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ฉันเองก็เป็นนักแสดงนี่นา มันก็ไม่เกินความสามารถหรอก
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่แทนมิ้นแสดงได้ ระดับมิ้นทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว เชื่อมือมิ้นเลยค่ะ” ฉันหันไปยิ้มให้เขา
“งั้นมิ้น ลองอ่านบทตรงนี้สิ มิ้นเป็นรุ้ง เดี๋ยวพี่จะรับบทเป็นธีร์ เรามาซ้อมกันเฉย ๆ ดู เผื่อพี่จะได้ปรับบทให้เข้ากับมิ้นอีกนิด” เขาขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ ฉัน ด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ฉันสิดูเหมือนจะไม่สบายเองซะแล้ว มือนี่เย็นเฉียบ
“ตะ...ตอนนี้เลยเหรอคะ?” ฉันเบิกตาโพลงมองเขา
“ทำไมล่ะ กลัวพี่เหรอครับ?”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะพี่” ฉันรีบปฏิเสธ ก่อนจะยกมือกุมอก หายใจเข้าลึก ๆ เปิดโหมดนักแสดงมืออาชีพพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป
เราพูดต่อบทใส่กันไปมา พี่แทนเองก็เข้าถึงบทมากราวกับเขาเป็นธีร์จริง ๆ จนถึงช่วงที่อารมณ์ของตัวละครเริ่มพุ่งขึ้น ฉันรู้สึกว่าพี่แทนเปลี่ยนแววตา มองฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาช้า ๆ ฉันเบิกตากว้าง เหมือนทุกอย่างชะงักหยุดการเคลื่อนไหว
“ขอโทษครับ ถ้าหนูไม่โอเค ก็พอตรงนี้ก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน แต่แทนที่ฉันจะหยุดบทเพียงเท่านี้ ฉันดันพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วหลับตาพร้อมรับฉากต่อไป
ริมฝีปากเขาแตะลงมาเบา ๆ อย่างอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ทำให้ฉันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งที่มันเป็นจูบธรรมดาจากการซ้อมบท แต่หัวใจฉันกลับรู้สึกเหมือนมันจะระเบิดอยู่แล้ว ทำเอาฉันหยุดไม่ได้ เผลอรุกกลับ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจับต้นคอเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มือเขาสัมผัสกับแก้มฉันอย่างแผ่วเบา แล้วเปลี่ยนมารั้งเอวฉันให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ลมหายใจร้อนรดผ่าวใส่กัน มันควรจะต้องหยุดจูบแล้ว แต่ทำไมทั้งฉันและเขาถึงไม่หยุดกันสักที จนกระทั่ง...
“อื้ม...” พี่แทนถอนริมฝีปากอย่างช้า ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ พร้อมพูดประโยคที่ฉันแทบอยากมุดหน้าหนี “หนูดูอินกับบทมากเลยนะครับ”
ฉันกะพริบตาถี่ ๆ แล้วรีบผละออกจากเขา
“ขะ...ขอโทษค่ะ หนู...หนูนึกว่า....เอ่อ”
“ไม่เป็นไรครับ ฮ่า...” เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วลูบผมฉันอย่างอ่อนโยน “เล่นได้ดีมากครับ อินถึงอารมณ์เลย แบบนี้พี่ยิ่งดีใจที่ได้เห็น และสัมผัสบทที่ตัวเองเขียนอย่างลึกซึ้งแบบนี้” เขาพูดออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ และนัยน์ตาที่อ่อนโยนเช่นเคย
แต่ฉันกลับ...หัวใจแรงจนกลัวเขาจะได้ยิน เขาอาจไม่ได้คิดอะไร ก็เพราะเขาเป็นเกย์นี่นา แต่กับฉันมันไม่เหมือนกันฉันเป็นผู้หญิงก็จริง แต่ฉันก็ชอบเกย์อย่างเขา
‘ริมฝีปาก...รสจูบ...ลมหายใจของเขา’
ฉันชอบมันหมดเลยนะสิ
โอ๊ย! ฉันควรกลับแล้ว ก่อนที่ตัวเองจะเผลอคิดอะไรไปมากกว่านี้
“ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยซ้อมบทนี้ให้มิ้น เอาเป็นว่าพี่แทนรีบกลับไปส่งมิ้นคอนโดดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะดึกเกินไป พรุ่งนี้ต้องถ่ายแล้วด้วย มิ้นอยากกลับไปพักผ่อนเพื่อปรับอารมณ์สำหรับบทนี้ค่ะ”
“โอเคครับ” เขายิ้มให้ ส่วนฉันรีบหมุนตัวหยิบกระเป๋า เดินเร็วออกจากห้องเหมือนคนไฟลนตูด เดินนำสับไปก่อน...
ภายในรถ ฉันแทบไม่หันไปคุยอะไร แล้วพี่แทนก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เขาคงเห็นอาการของฉันนั่นแหละ เอาเถอะมันเก็บอาการประหม่าไม่มิดอยู่แล้ว ถึงจะแค่ซ้อมบทแต่ก็จูบกันจริง ๆ นะแก ฉันก็สตรีร้างรังคนหนึ่ง มันก็ต้องรู้สึกวูบวาบเป็นธรรมดา
เมื่อรถมาจอดถึงคอนโด ฉันก็รีบลงจากรถไม่รอให้เขาเดินมาส่งด้วยซ้ำ ก่อนจะยืนโบกมือแล้วหันกลับเดินเข้าคอนโดไปเลย ได้แต่ภาวนาว่า พี่แทนจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่าทีไร้มารยาทของฉันในวันนี้ล่ะนะ เพราะมันคุมอาการไม่อยู่จริง ๆ
10ความอึดอัดและสับสนแสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆเอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อนแต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกั
ความเมาเป็นเหตุ...สังเกตได้‘Rrrrrr’เสียงมือถือดังขึ้นตอนเกือบตีสอง ขณะที่ฉันกำลังเฝ้าพระอินทร์อยู่แท้ ๆ แต่คนปลายสายก็ไม่หยุดโทรเข้ามาสักทีทำให้ฉันต้องตื่นมารับมันทั้งที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ“ฮัลโหล! โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย คนนอนอยู่เว้ย!” ฉันตวาดด้วยความหงุดหงิด“มิ้นครับ...อยู่ไหน”“พี่แทน?” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงเจือความเมาอย่างชัดเจน“ครับ...” เขาตอบสั้น ๆ แล้วขาดช่วงไป“อยู่คอนโดค่ะ พี่โอเคไหมทำไมเสียงเป็นแบบนี้”“ไม่โอเค...ครับ...พี่อยู่...แถว ๆ คอนโด...เก่า ขับรถ...ไม่ได้”“พี่อยู่คนเดียวเหรอ” ใจฉันกระตุกวูบ อดเป็นห่วงไม่ได้“อืม...” เสียงเขาขาดช่วงไป แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพึมพำฟังยากมากกว่าเดิม “มารับหน่อยได้ไหม ไม่อยากโทรหาใครอื่นนอกจากหนู”“พี่บอกชื่อร้านมาเดี๋ยวมิ้นไปรับค่ะ” ในขณะที่พูด
8บทที่เปลี่ยนไป‘ปัง!’ พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน‘แทบหยุดหายใจ’แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอกแต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม