จากนักอ่านนิยายตัวยงดันทะลุมิติมาเป็นนางร้ายในนิยายที่กำลังอ่านอยู่ หากเป็นคนอื่นคงพยายามพาตัวเองหนีออกจากเส้นเรื่อง แต่พระเอกงานดีขนาดนี้ขอลองยั่วยวนสักหน่อยจะเป็นไรไป
View Moreบทนำ
เว่ยเว่ยเป็นนักอ่านนิยายตัวยง ตามซื้อนิยายขายดีทุกเรื่อง เงินเดือนที่หามาได้ก็มาบำรุงบำเรอความสุขของตัวเองด้วยการอ่านนิยาย
ในระหว่างที่อ่านนิยายเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองทะลุมิติมาเป็นนางร้ายในนิยายเรื่องที่กำลังอ่านอยู่ หากเป็นคนอื่นที่ทะลุมิติมาคงจะพยามยามให้ตัวเองไม่รักพระเอก และหาหนทางหนีจากเส้นทางของเนื้อของนิยาย แต่ไม่ล่ะ เธอจะไม่ทำแบบนั้น ก็พระเอกงานดีเสียขนาดนั้น พอได้รักกับนางเอกก็รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญนักเขียนได้บรรยายภาพอิมเมจของพระเอกเอาไว้ ดวงตาคมเข้มดุจราชสีห์ ผิวสีน้ำตาลแดงราวกับหินเหล็กชิ้นดี และประโยคสุดท้ายที่ทำให้เว่ยเว่ยสะดุดใจก็คือ เมื่อรักสตรีใดเขาจะรักนางเพียงผู้เดียวตราบสิ้นลมหายใจ มวนท้องมากแม่ นี่ล่ะคนที่เว่ยเว่ยต้องการ แล้วผู้งานดีขนาดนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร
ในเมื่อเวลานี้พระเอกกับนางเอกยังไม่ได้รักกัน แล้วนางจะจีบพระเอกก่อนไม่ได้เชียวหรือ ไม่ได้เป็นมือที่สามเสียหน่อย
เมื่อเขายังโสดไม่มีผู้ใดจับจองหัวใจ แล้วนางร้ายมือใหม่อย่างเว่ยเว่ยคนนี้จะไม่มีสิทธิ์ทดลองจีบเลยหรือไร
หากลองแล้วไม่สำเร็จก็ค่อยว่ากัน นางร้ายอย่างเว่ยเว่ยคนนี้ต้องได้รัก
มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนต้องเข้า
ห้าบทพิชิตใจชายหนุ่มให้มาเป็นสามีต้องมา!
บทที่ 1
เว่ยเว่ยเอื้อมมือออกไปคว้านิยายเล่มสุดท้ายบนแผงหนังสือขายดี แต่มันก็ถูกคนข้างหน้าตัดหน้าแล้วเอาไปซะก่อน หญิงสาวกำมือแน่นและหยิบหนังสืออีกเรื่องแทน เธอเดินหน้าบูดบึ้งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน
แต่สุดท้ายก็ต้องมาต่อคิวหญิงสาวอีกคนที่กำลังจ่ายเงินซื้อหนังสือ ดวงใจแม่ทัพ ที่เธออยากอ่านแทบตาย ถ้าเธอออกจากที่ทำงานมาได้เร็วกว่านี้ หนังสือเล่มสุดท้ายนั่นก็ต้องเป็นของเธอแน่ ๆ เว่ยเว่ยคิดอย่างไม่พอใจและแอบบ่นเจ้านายในใจ
อีกฝ่ายไม่ได้ผิดอะไรเลยก็แค่อยากได้เอกสารที่ส่งไปให้แล้วเป็นร้อยรอบ
พระเจ้า เธออยากอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่สองวันก่อน แต่เพราะเธอเพิ่งทุ่มเงินที่มี ซื้อหนังสือชุดที่เพิ่งออกไปก่อนหน้านี้ เลยต้องรอจนถึงวันที่เงินเดือนออก ถ้ารู้ว่าจะไม่ทันอย่างนี้ เธอเอาเงินเก็บออกมาซื้อไปก่อนก็ดี
“ไม่น่าเชื่อว่าไม่ถึงสองวันก็หมดแล้ว” เว่ยเว่ยบ่นกับตัวเองระหว่างที่จ่ายเงินและมองหญิงสาวที่แกะซีลหนังสืออ่านแทบจะทันทีที่เดินออกจากเคาน์เตอร์
“เรื่องนี้เหรอคะ ยังไม่หมดนี่คะที่ชั้นยังมีอีกเยอะเลย” พนักงานขายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีบอกกับหญิงสาว
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ น่ะค่ะ” เว่ยเว่ยบอกด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ แต่ริมฝีปากของพนักงานขายกลับค่อย ๆ คลี่ออกและยิ้มกว้าง
“ที่จริงฉันเก็บเอาไว้หนึ่งเล่มตั้งใจจะซื้อพรุ่งนี้ รอเงินเดือนออกน่ะค่ะ” หญิงสาวกระซิบแล้วยิ้ม “ถ้าสนใจ...”
“สนใจค่ะ เอา เอาเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แค่อ่านตัวอย่างก็อยากอ่านแทบแย่แล้ว พระเอกเรื่องนี้หล่อมาก หน้าปกก็หล่อสุด ๆ” พนักงานขายก็ยิ้มไปคิดเงินไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอทั้งสองคุยกันเรื่องพวกนี้
แม้จะไม่รู้จักชื่อแต่ก็รู้จักกันดีเพราะหนังสือนิยาย คนหนึ่งรู้จักหนังสือดีเพราะเป็นพนักงานขาย ส่วนอีกคนเป็นนักอ่านนิยายตัวยง เล่นไหนถ้ารีวิวดีเว่ยเว่ยจะต้องเก็บเอาไว้ทุกเล่ม ต่อให้อดกินอาหารหรู ๆ ช่วงสิ้นเดือนเธอก็ยอม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ในห้องที่เปิดแอร์เย็น ๆ และอ่านหนังสือไปยันเช้า
เพราะอย่างนี้เธอจึงยอมทำงานให้กับหัวหน้าที่งี่เง่าสั่งอะไรก็ลืม ให้อะไรไปแล้วก็ไม่จำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพราะเธอต้องการเอาเงินเดือนทั้งหมดมาบำรุงบำเรอความสุขของตัวเธอเอง
หลังจากการทำงานที่ยาวนานทั้งสัปดาห์ เว่ยเว่ยก็เดินเข้ามาในห้องของตัวเอง แม้จะเหนื่อยแต่เธอก็คิดว่าจะต้องไปอาบน้ำและรีบมานอนอ่านหนังสือ ดีไม่ดีวันหยุดนี้เธออาจจะอ่านจบก็ได้
หญิงสาววางของที่เพิ่งซื้อมาบนโต๊ะ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อาหารที่ซื้อมาถูกแกะใส่จาน เว่ยเว่ยถือทุกอย่างไปวางเอาไว้ที่หน้าทีวี เธอเปิดมันส่ง ๆ ไปอย่างนั้นก่อนจะนั่งกินข้าวและแกะซีลหนังสือที่เพิ่งซื้อออกมาอ่าน
แค่หน้าปกก็ทำให้เกิดความตื่นเต้นได้ เพราะใบหน้าของพระเอกที่เป็นถึงแม่ทัพหล่อบาดใจจนหญิงสาวคิดว่า ภาพปกนี่ต้องแพงมากแน่ ๆ มิหนำซ้ำที่คั่นหนังสือที่มีแถมมาอีกสองสามเวอร์ชันก็หล่อทั้งหมดจนเว่ยเว่ยแทบไม่ได้มองอีกฝั่งของมันที่เป็นนางเอกของเรื่อง
เข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อย ๆ เว่ยเว่ยกินข้าวหมดแล้ว แต่เธอยังคงนั่งอ่านนิยายเล่มใหม่อยู่อย่างนั้นราวกับจมเข้าไปในหนังสือแล้วด้วยซ้ำ ทุกคำพูดและคำบรรยายมันทำให้เธอรู้สึกราวกับเห็นภาพของแต่ละฉากและแต่ละตอนโดยเฉพาะตัวนำของเรื่องอย่างพระเอกที่ชื่อว่า...
“คุณหนู...คุณหนูเจ้าคะ นอนกลางวันอีกแล้ว ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” เว่ยเว่ยรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจากใครสักคนใกล้ ๆ และยังแรงเขย่าที่แขนหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อทนรำคาญไม่ไหวจึงลืมตาตื่น
แสงที่ผ่านใบไม้ลงมาแยงตาและกลิ่นของดอกไม้ที่ฟุ้งอย่างกับนอนอยู่กลางสวนดอกไม้ทำให้เว่ยเว่ยต้องยกมือขึ้นขยี้ตาตนเองก่อนจะมองทุกอย่างให้ชัดอีกครั้ง แต่ภาพของบรรยากาศรอบ ๆ ก็ทำให้หญิงสาวเริ่มมึนงง
“คุณหนูได้ยินไหมเจ้าคะมานอนอยู่อย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นไข้หรอกเจ้าค่ะ” เว่ยเว่ยมองหน้าหญิงสาวที่แต่งตัวเหมือนสาวใช้ในยุคจีนโบราณ “ทำหน้าอย่างกับจำข้าไม่ได้ คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วเดี๋ยวนายท่านกลับมาเห็นคุณหนูนอนอยู่กลางสวนดอกไม้ก็จะกริ้วเอานะเจ้าคะ”
มือของเว่ยเว่ยถูกยกขึ้นมากุมหัวที่รู้สึกปวดจี๊ด ไม่ใช่เพราะไม่สบายหรืออะไร แต่คำพูดคำจา การแต่งตัวและสถานที่ของที่ที่อยู่ตอนนี้ต่างหากที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสน
และเพราะทุกอย่างตอนนี้มันดูจะไม่จริง จึงทำให้เว่ยเว่ยคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นฝันก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายถามคนตรงหน้าที่กำลังวุ่นวายช่วยเก็บของอยู่แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรเสียงของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
“เว่ยเอ๋อร์กำลังทำอะไรอยู่หรือลูก” เว่ยเว่ยหันกลับไปและพบกับชายวัยกลางคนที่แต่งชุดแพรไหมชั้นดี และจากที่ได้อ่านเรื่องจีนโบราณมามากหญิงสาวมั่นใจว่าคนตรงหน้าต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่ ๆ ว่าแต่...อีกฝ่ายเป็นใครแล้วคำว่าลูกเมื่อสักครู่นี้มันคืออะไรกันแน่
บทที่ 7“ทำไมวันนี้คุณหนูสีหน้าไม่ดีเลยเจ้าคะ” ชิงเอ๋อร์อดสงสัยไม่ได้ตั้งแต่คุณหนูของนางกลับมาจากงานเลี้ยง แทนที่จะดูมีความสุขแต่นี่ข้ามวันมาแล้วก็ยังดูเหมือนในใจมีอะไรบางอย่าง“ไม่มีอะไรหรอก...” แม้จะโกหกสาวใช้ของตนเองได้ แต่เว่ยเว่ยรู้ว่านางโกหกตัวเองไม่ได้ นี่คงไม่ใช่ว่านางมีนิสัยของตัวร้ายไปแล้วกระมัง ถึงได้เอาแต่คิดอิจฉานางเอกที่พระเอกใส่ในนางมากกว่า คิดแล้วก็ถอนหายใจเพราะไม่อยากจะแย่งชิงแต่เพราะนางชอบพระเอกของเรื่องนี้มากจริง ๆ ตั้งแต่เห็นรูปเขาในแจ้งเตือนนิยายใหม่ของนักเขียนคนโปรด หญิงสาวก็รู้สึกใจเต้นแปลก ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงลายเส้นของรูปวาดมิใช่รูปถ่าย แต่กลับรู้สึกราวกับดวงตานั้นจ้องมองนาง “หรือดวงตาคู่นั้นจะไม่มีไว้จ้องมองข้า” เว่ยเว่ยบ่นออกมาพลางคิดถึงสายตาของแม่ทัพอี้ที่มีให้กับนางเอกของเรื่องอย่างหยางมี่ ในใจก็คิดวนเวียนว่านางอุตส่าห์ได้ทะลุมิติมาแล้วแท้ ๆ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้นางมาเกิดใหม่ที่นี่นี่นาแต่นิยายแต่ละเรื่องที่มีการเกิดใหม่ล้วนมีสาเหตุ จะบอกว่าให้นางมาเกิดใหม่เพื่อแค่ให้บิดามารดาคอยเอาอกเอาใจหรืออย่างไร เพราะดูเหมือนเรื่องนั้นจะเป็
บทที่ 6กว่าจะหาลิ้นของตัวเองเจอก็ใช้เวลาไปครู่ใหญ่ "เช่นนั้นแม่ทัพอี้หยางเฉิง เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านช่วยข้าไว้ ข้าขอเลี้ยงข้าวท่านสักมื้อได้ไหมเจ้าคะ ที่โรงเตี๊ยมจิ้งฟาง ที่นั่นอาหารเลื่องชื่อ หากท่านแม่ทัพว่าง วันพรุ่งข้าหวังว่าจะได้มีโอกาสขอบคุณท่านอย่างสมเกียรติ..." เว่ยเว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวแอบมองปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้า ลุ้นอย่างหนักว่าคำเชิญนี้จะได้รับการตอบรับหรือไม่แต่ก่อนที่อี้หยางเฉิงจะได้ตอบอะไร เสียงเรียกสหายสนิทของเขาก็ดังขึ้นขัดบทสนทนาคนทั้งสอง"อี้หยาง ข้าต้องไปทางนั้นสักครู่ ฝากเจ้าดูแลหยางมี่ให้หน่อยได้หรือไม่" อี้หยางเฉิงพยักหน้ารับคำนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่ถูกฝากเอาไว้ “หวังว่าสักครู่ของเขาคงไม่ทำให้เจ้าเบื่อที่ต้องอยู่ตรงนี้” คำพูดของอี้หยางเฉิงที่บอกกับหยางมี่และท่าทางยิ้มอาย ๆ ของหญิงสาวที่สวยงามและอ่อนหวานราวกับสตรีในอุดมคติของชายทุกคนทำให้เว่ยเว่ยรู้สึกกลัวหยางมี่ นางเอกของเรื่องเปรียบดั่งดอกบัวขาวที่ต้องให้คนรอบข้างปกป้องแม้ว่าจะยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับรู้สึกเป็นส่วนเกินซะอย่างนั้น นี่คงไม่ได้สายไปใช่ไหมสายไปหร
บทที่ 5 อี้หยางเฉิงกลับมาที่จวนของตนหลังจากเข้าไปรายงานเรื่องต่าง ๆ กับฮ่องเต้แล้วเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเขาก้องไปทั่วโถงทางเดินของจวนแม่ทัพที่กว้างใหญ่ แต่กลับดูเงียบเหงา ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กสีดำที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากสนามรบเดินผ่านคนในจวนที่ออกมายืนรอต้อนรับเจ้านายของจวนเมื่อมาถึงเรือนชายหนุ่มก็เริ่มถอดเกราะหนัก ๆ ของเขาออกช้า ๆ เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ขณะที่เขาวางเกราะลงบนแท่นที่วาง กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกำยานช่วยปลอบประโลมความเหนื่อยล้าจากการศึกที่ยาวนาน ชายหนุ่มกำลังถอดเกราะชิ้นสุดท้ายออก ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนก็ร่วงหล่นลงออกมาจากด้านในอี้หยางเฉิงคว้าผ้าผืนนั้นเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะหล่นไปถึงพื้น เขาชะงักมองมันด้วยสายตาครุ่นคิด คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อผ้าไหมเนื้อดีที่ปักลวดลายดอกเหมยด้วยฝีมือประณีตผืนนี้อย่างไรก็คงไม่ใช่ของเขาแน่ ๆ “ต้องเป็นนางแน่ ๆ” อี้หยางเฉิงพึมพำเบา ๆ ใบหน้าคมเข้มฉายแววประหลาดใจ ภาพหญิงสาวที่ตกจากระเบียงโรงน้ำชาผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง มือแกร่งพลิกผ้าเช็ดหน้าดูอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ ปักอยู่มุมหนึ่ง "เว่ย" “เว่ยอย่างนั้นหรือ แต่นาง
บทที่ 4 มารยาบทที่หนึ่ง...ตัวอ่อนเหมือนไม่มีกระดูกอี้หยางเฉิงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก เขาดึงบังเหียนบังคับม้าของตัวเองให้เข้าไปรับตัวหญิงสาวที่ร่วงลงมาจากระเบียง มือแกร่งช้อนร่างอรชรของหญิงสาวเอาไว้แนบอก “เจ้าปลอดภัยแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับหญิงสาวที่ทิ้งตัวหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่เว่ยเว่ยกลับไม่ได้รีบเปิดตา หญิงสาวยึดแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ฟังแค่เสียงก็รู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องหน้าตาดีมากแน่ ๆ “แน่นะ” เว่ยเว่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังคงหลับตาแน่นและหายใจแรงเพราะความหวาดกลัวจากการตกและความตื่นเต้นที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่นางหมายมั่น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอก ทั้ง ๆ เป็นนางเองที่เป็นคนที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น มุมปากของอี้หยางเฉิงกระตุกยิ้ม “แน่ หากอยากมั่นใจก็ลืมตาขึ้นดูเสีย คนทั้งเมืองมองเจ้าหมดแล้ว” เว่ยเว่ยได้ฟังก็เร่งลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่คืบ ต่อให้มีหมวกเหล็กใส่อยู่ที่หัวของเขานางก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาได้ชัดเจน “ขอบคุณเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านข้าคง...”“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้าจะให้คนไปส่งที่จวน ข้าจะต้องไ
บทที่ 3เว่ยเว่ยเดินไปทั่วทั้งตลาดและมั่นใจว่าตอนนี้นางคงทะลุมิติมาเป็นแน่ แม้จะน่าเหลือเชื่อแต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่นางเคยอยากให้เกิดกับชีวิต“งานลอยโคมอีกกี่วันหรือ” หญิงสาวถามสาวใช้คนสนิท ที่นางถามนั้นมีเหตุผลเพราะพระเอกของเรื่องนี้กลับมาก่อนเทศกาลลอยโคมเพียงสองวัน ทุกคนต่างบอกว่าเขานำความสุขกลับมาสู่แคว้น แต่ตอนนี้ยังคงไม่มีใครรู้เว่ยเว่ยมองเส้นทางที่น่าจะเป็นทางที่ขบวนของแม่ทัพอี้จะผ่าน แล้วก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อมองไปที่โรงน้ำชาที่ดูจะเป็นที่นิยม “งานโคมหรือเจ้าคะ...คุณหนู คุณหนูไปไหนแล้ว” ชิงเอ๋อร์ที่กำลังคิดคำตอบให้เจ้านาย หันมาอีกทีนางก็เดินเข้าโรงน้ำชาไปแล้วจนสาวใช้อย่างนางวิ่งตามแทบไม่ทันเว่ยเว่ยขึ้นไปที่ชั้นสองและมองซ้ายขวา เมื่อเจอโต๊ะที่ถูกใจก็บอกให้ชิงเอ๋อร์ไปบอกกับเถ้าแก่ของร้านว่านางจะจองโต๊ะนี้สองวันก่อนจะถึงงานลอยโคมโต๊ะที่จองเป็นจุดที่เว่ยเว่ยรู้ว่าขบวนของแม่ทัพจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวง และเป็นจุดที่เห็นทุกอย่างชัดเจนที่สุด หากเป็นตั๋วคอนเสิร์ตก็เรียกได้ว่า VVIP มือเรียวยกชาขึ้นดื่ม การรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าก็ดีอย่างนี้เอง เว่ยเว่ยคิด ตอนนี้ก็ร
บทที่ 2 หลังจากไหลตามน้ำจนได้กลับมาถึงเรือนนอนของตัวเอง เว่ยเว่ยก็เริ่มรู้สึกว่าฝันนี้มันช่างยาว...และนาน...ยิ่งนัก จะบอกว่าเธอหลับข้ามวันข้ามคืนปกติก็ต้องมีตื่นบ้าง“หรือนี่ไม่ใช่ความฝันกัน” เว่ยเว่ยบ่นกับตัวเองแต่สาวใช้คนสนิทที่หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อชิงเอ๋อร์เพราะคนที่เป็นมารดาของนางเรียกก็ตอบให้ในทันที “ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ตื่นมาหลายชั่วยามแล้วด้วย”เว่ยเว่ยที่ได้ฟังคำของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าความสนิทสนมของสองนายบ่าวคงมีไม่น้อยจึงแกล้งถามออกไปเพื่อที่จะสอบถามข้อมูล“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน หรือข้าเป็นใครกัน บางทีเจ้าอาจจะเป็นมารแห่งความฝันก็ได้นะ” เพราะอ่านนิยายจีนโบราณมามากกว่าร้อยเล่มจึงไม่แปลกที่จะพูดจาสมัยนี้ได้อย่างคล่องปาก“โธ่...คุณหนูท่านน่ะชอบแกล้งข้าเสียจริง” เว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายู่ก็รู้สึกชอบใจ ยังทำท่านอนรอฟังและยิ้มขำสาวใช้ของตนอีกด้วย“ที่นี่เป็นแคว้นฉู่เจ้าค่ะ และคุณหนูก็อยู่ในจวนของเจ้ากรมการคลังเจียงเฉินผู้ยิ่งใหญ่เพราะคุณหนูซีเว่ยเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายท่านจ้าค่ะ ให้ข้าบอกมากกว่านี้อีกไหมเจ้าคะ” เว่ยเว่ยทำหน้านึกก่อนจะตกใจเ
Comments