ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกัน
เสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆ
เสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์
ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปกครองวังหลังได้อย่างมั่นคง
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ว่าเบื้องหลังความสงบนิ่งและเยือกเย็นของเสิ่นฮองเฮา ในอดีตเคยมีความรักที่บริสุทธิ์งดงามซ่อนอยู่
เสิ่นซื่อเหนียง บุตรสาวของหมอหลวงประจำวังหลวงผู้หนึ่ง เป็นเพียงสตรีธรรมดาที่เงียบขรึม อ่อนน้อม และเปี่ยมด้วยสติปัญญา นางไม่สูงศักดิ์ ไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง แต่สิ่งที่นางมี คือความเฉลียวฉลาด ความหนักแน่น และหัวใจที่เปี่ยมด้วยความภักดี
ฮ่องเต้ที่ยังทรงเป็นองค์รัชทายาทในวันนั้น ตกหลุมรักนางโดยไม่ทันรู้ตัว ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เสิ่นซื่อเหนียงกลับเป็นดั่งสายลมเย็นกลางฤดูร้อน นางมิได้ตามประจบเอาใจ มิได้เสแสร้ง หรือถือตัวแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้กลับตรึงพระทัยขององค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้ง
แต่สวรรค์หาได้เมตตาต่อคู่รักต่างชนชั้น แม้พระองค์จะต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยสถานะของนางที่เป็นเพียงบุตรีหมอหลวงตำแหน่งต่ำ ย่อมไม่อาจขึ้นเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทได้ ราชวงศ์จำต้องเลือกสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ เพื่อผูกพันธไมตรีกับขุนนางทั้งราชสำนัก
สุดท้ายนางจึงเป็นได้เพียงสถานะ "พระชายารอง" เฝ้ามองชายที่รักแต่งงานกับสตรีอื่นอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยเอ่ยปริปากตำหนิ ไม่เคยแสดงความเสียใจ แม้ในใจของนางจะมีบาดแผลลึกที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน เสิ่นซื่อเหนียงจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น หวงกุ้ยเฟย เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในรั้วในวัง ทั้งที่ไม่มีรากฐานจากตระกูลใหญ่หนุนหลัง
นางยังคงสงบนิ่ง อ่อนโยนดังเดิม แต่ภายในใจกลับยิ่งเยือกเย็น เพราะนางรู้ดีว่าในวังหลวงแห่งนี้ ความรักเพียงอย่างเดียวไม่อาจปกป้องนางได้
นางเฝ้ามองและร่วมยินดีกับชายคนรักที่กำลังจะมีบุตรกับสตรีอื่น เฝ้ามองเขารับสตรีนางแล้วนางเล่า เฝ้าดูพวกนางตั้งครรภ์ มีบุตรชายหญิงให้แก่เขา โดยที่นางเป็นผู้เดียวที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
จนกระทั่งฮองเฮาสิ้นพระชนม์
นางจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ เพื่อดูแลวังหลัง และพระโอรสที่พระองค์มีร่วมกับสตรีอื่น
นางเลี้ยงดู ดูแล อบรม เป็นมารดาให้องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงในวัยแปดขวบ นางทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด ความใกล้ชิด ความผูกพันก่อตัวขึ้น จนนางมองเขาเป็นดั่งบุตรของตัวเอง
ทว่า...สวรรค์ช่างเล่นตลก
ในวันที่ไม่มีใครคาดคิด ในวันที่นางละทิ้งความหวังไปแล้ว นางกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา
พระโอรสของนาง องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน คือสายเลือดที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน คือความภูมิใจหนึ่งเดียวของนาง
และนับตั้งแต่วันนั้น สายตาของนางที่มององค์ชายใหญ่ก็ค่อยๆ กลายเป็นความเย็นชา หัวใจของนางทุ่มให้กับบุตรชายของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
องค์ชายใหญ่ผู้เคยอยู่ในความดูแลของนางอย่างดี เริ่มถูกละเลยอย่างเงียบงัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เด็กคนนั้นกลายเป็นเพียง "บุตรของหญิงอื่น" ความอบอุ่นในสายตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง
และนางก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า
ฮ่องเต้เอง… ก็เริ่มเปลี่ยนไป
สายพระเนตรที่เคยมองนางด้วยความอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้อยคำที่เคยเอ่ยด้วยความรัก กลับกลายเป็นห่างเหิน ความผูกพันที่เคยมีกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวในความทรงจำ
และเมื่อนางได้รู้ เมื่อนางได้เห็นความเย็นชาห่างเหินนั้นในดวงตาของพระองค์ แม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่นางกลับยังคงสงบนิ่ง เพราะนางรู้ดีแล้วว่า ความรักของบุรุษนั้นไม่แน่นอน ไร้ความมั่นคง ความรักเพียงอย่างเดียว ไม่อาจปกป้องอะไรนางกับลูกได้
นางกลายเป็นคนเห็นอำนาจสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึก
นางรู้เพียงว่า หากนางอยากให้องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ได้ยืนหยัดทัดเทียมผู้อื่น นางก็จำต้องแข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น และเด็ดขาดยิ่งกว่าที่เคยเป็น
เสิ่นฮองเฮา ผู้เคยเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน ตอนนี้รอบกายของนางกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมาย เป็นผู้มีอำนาจควบคุมวังหลังไว้ในกำมือ
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ แม้ตอนนี้บิดาของนางจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง พี่ชายน้องชาย และคนตระกูลเสิ่นนั่งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับตระกูลอื่นที่ฝังรากลึกในราชสำนักได้
มันยังไม่พอสำหรับการผลักดันให้พระโอรสของนางเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกร
ราชสำนักในตอนนี้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน พระโอรสของฮ่องเต้มีอยู่หลายพระองค์ แต่ผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดมีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสของฮองเฮาพระองค์ก่อน มีขุนนางฝ่ายอนุรักษนิยมและตระกูลขุนนางเก่าแก่หนุนหลังมากมาย
องค์ชายสามหลี่เหวินหวาย โอรสของกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ในช่วงหลัง และมีตระกูลของเหล่าบัณฑิตหนุนหลัง
และสุดท้ายองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน โอรสของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่แม้จะไม่ได้มีฐานอำนาจจากฝ่ายขุนนางใหญ่มากมาย หากแต่มีความสามารถและความนิ่งลึกที่น่าจับตามอง
ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท การแย่งชิงอำนาจจึงยังไม่สิ้นสุด เพียงแต่ดำเนินไปอย่างเงียบงันภายใต้ม่านหมอกแห่งราชสำนัก
เสิ่นฮองเฮาจึงพยายามขยายอำนาจโดยการผูกสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ผู้ที่ในเวลานั้นต้องการนั่งตำแหน่งอัครเสนาบดี ซึ่งคนมีความสามารถเช่นเขาก็นับว่าไม่ยากเลย ขอเพียงมีคนมีอำนาจผลักดันอีกนิดเท่านั้น
แผนการร่วมผลประโยชน์โดยการแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้น องค์ชายห้าที่ในขณะนั้นอายุย่างเข้าสิบสี่ชันษาถูกวางตัวให้หมั้นหมายกับ อวี้หลัน ที่พึ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ เพราะนางคือบุตรีของฮูหยินอวี้ เป็นหลานสาวของตระกูลไป๋ผู้ทรงอำนาจ จะมีการหมั้นหมายและกำหนดวันมงคลอย่างเป็นทางการเมื่อนางมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์
แต่...ทุกอย่างกลับผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด
ตระกูลไป๋ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรงต่อราชสำนัก และถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน เส้นสายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอวี้หลันพังทลายลงโดยสิ้นเชิง ทำให้สถานะของนางกลายเป็นเพียงบุตรีขุนนางที่ไร้แรงหนุน ภายหลังมารดายังตายจาก ไร้มารดาปกป้อง สถานะในสกุลอวี้ย่อมยิ่งยากลำบาก
เพื่อบัลลังก์ของโอรส นางย่อมไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้คนที่คิดว่าคงไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก กลับฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจยินยอมให้โอรสแต่งกับสตรีเช่นนั้นได้ จึงจำต้องโยนหมากอย่างอวี้หลันทิ้ง เลือกตัดสัมพันธ์กับเด็กคนนั้นอย่างไร้ไมตรี
หมากอย่างคุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน ซึ่งมีท่านตาเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ ถูกหยิบขึ้นมาวางไว้แทนที่อวี้หลันบนกระดานอำนาจ
"ฮองเฮาเพคะ องค์ชายห้ามาถึงแล้วเพคะ"
ความคิดของนางหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงมามาด้านหน้าตำหนักเอ่ยดังขึ้น
เสิ่นฮองเฮาละสายพระเนตรจากภาพตรงหน้า แสงแดดอ่อนยามสายที่ลอดผ่านม่านโปร่งดูจะไม่อาจกลบความเยือกเย็นในแววตานางได้
นางหันกลับมา มองไปยังบานประตูตำหนักที่ปิดสนิท ก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอ่ยอนุญาต
"ให้เขาเข้ามา"
ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้าตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพคุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้วคุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปีอวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี คุณหนูรองผู้นี้ แม
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อยอวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆหยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนร
"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ "นั่งลงเถิด"พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก
ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกันเสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆเสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียง
เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก"ไม่เลว"อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเองทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหารนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุ
หลังจากส่งบิดาของเจ้าของร่างกลับไปแล้ว ท่าทางอ่อนแรงที่แสดงออกก่อนหน้านี้ก็จางหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง แม้ร่างกายนี้จะยังอ่อนแอจากการต้องพิษ แต่จิตใจของอวี้หลันใช่จะอ่อนแอตามนางพาตัวเองมานั่งเงียบอยู่ตรงโต๊ะชาข้างหน้าต่าง แผ่นหลังตั้งตรง แววตานิ่งลึก ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มือเรียวกุมถ้วยชาไว้แน่น น้ำชาในถ้วยเย็นชืดไปนานแล้ว แต่เรื่องราวที่ได้รับรู้ก่อนหน้านี้ยังคงวนเวียนในความคิด อวี้หลันเจ้าของร่างเดิมเป็นหญิงสาวผู้แบกรับความโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิต ช่างคล้ายคลึงกับตนเองอยู่ไม่น้อยแม้อีกฝ่ายจะมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่นับตั้งแต่มารดาจากไป อำนาจในจวนก็ตกอยู่ในมือของเซิ่งซื่อ ฮูหยินรองผู้ฉลาดเป็นกรดไม่แน่ว่าผู้ที่วางยานางก็เป็นฝีมือของเซิ่งซื่อผู้นี้ในจวนแห่งนี้ แม้รองเสนาบดีอวี้จะยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของตระกูล แต่เงาที่ทอดยาวใต้เสาเรือนนั้น เป็นของเซิ่งซื่อผู้นั้นต่างหาก ชายผู้ทะนงตนว่าฉลาดหลักแหลม คิดแต่จะแสวงหาอำนาจ หลงคิดว่าตัวเองคือผู้วางหมากในกระดานแต่หารู้ไม่ ว่าเขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมของคนอื่นไม่ต่างกันการใช้ชีวิตในยุคที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ผู้หญิงคือเครื่องมือ