ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกัน
เสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆ
เสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์
ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปกครองวังหลังได้อย่างมั่นคง
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ว่าเบื้องหลังความสงบนิ่งและเยือกเย็นของเสิ่นฮองเฮา ในอดีตเคยมีความรักที่บริสุทธิ์งดงามซ่อนอยู่
เสิ่นซื่อเหนียง บุตรสาวของหมอหลวงประจำวังหลวงผู้หนึ่ง เป็นเพียงสตรีธรรมดาที่เงียบขรึม อ่อนน้อม และเปี่ยมด้วยสติปัญญา นางไม่สูงศักดิ์ ไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง แต่สิ่งที่นางมี คือความเฉลียวฉลาด ความหนักแน่น และหัวใจที่เปี่ยมด้วยความภักดี
ฮ่องเต้ที่ยังทรงเป็นองค์รัชทายาทในวันนั้น ตกหลุมรักนางโดยไม่ทันรู้ตัว ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เสิ่นซื่อเหนียงกลับเป็นดั่งสายลมเย็นกลางฤดูร้อน นางมิได้ตามประจบเอาใจ มิได้เสแสร้ง หรือถือตัวแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้กลับตรึงพระทัยขององค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้ง
แต่สวรรค์หาได้เมตตาต่อคู่รักต่างชนชั้น แม้พระองค์จะต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยสถานะของนางที่เป็นเพียงบุตรีหมอหลวงตำแหน่งต่ำ ย่อมไม่อาจขึ้นเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทได้ ราชวงศ์จำต้องเลือกสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ เพื่อผูกพันธไมตรีกับขุนนางทั้งราชสำนัก
สุดท้ายนางจึงเป็นได้เพียงสถานะ "พระชายารอง" เฝ้ามองชายที่รักแต่งงานกับสตรีอื่นอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยเอ่ยปริปากตำหนิ ไม่เคยแสดงความเสียใจ แม้ในใจของนางจะมีบาดแผลลึกที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน เสิ่นซื่อเหนียงจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น หวงกุ้ยเฟย เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในรั้วในวัง ทั้งที่ไม่มีรากฐานจากตระกูลใหญ่หนุนหลัง
นางยังคงสงบนิ่ง อ่อนโยนดังเดิม แต่ภายในใจกลับยิ่งเยือกเย็น เพราะนางรู้ดีว่าในวังหลวงแห่งนี้ ความรักเพียงอย่างเดียวไม่อาจปกป้องนางได้
นางเฝ้ามองและร่วมยินดีกับชายคนรักที่กำลังจะมีบุตรกับสตรีอื่น เฝ้ามองเขารับสตรีนางแล้วนางเล่า เฝ้าดูพวกนางตั้งครรภ์ มีบุตรชายหญิงให้แก่เขา โดยที่นางเป็นผู้เดียวที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
จนกระทั่งฮองเฮาสิ้นพระชนม์
นางจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ เพื่อดูแลวังหลัง และพระโอรสที่พระองค์มีร่วมกับสตรีอื่น
นางเลี้ยงดู ดูแล อบรม เป็นมารดาให้องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงในวัยแปดขวบ นางทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด ความใกล้ชิด ความผูกพันก่อตัวขึ้น จนนางมองเขาเป็นดั่งบุตรของตัวเอง
ทว่า...สวรรค์ช่างเล่นตลก
ในวันที่ไม่มีใครคาดคิด ในวันที่นางละทิ้งความหวังไปแล้ว นางกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา
พระโอรสของนาง องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน คือสายเลือดที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน คือความภูมิใจหนึ่งเดียวของนาง
และนับตั้งแต่วันนั้น สายตาของนางที่มององค์ชายใหญ่ก็ค่อยๆ กลายเป็นความเย็นชา หัวใจของนางทุ่มให้กับบุตรชายของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
องค์ชายใหญ่ผู้เคยอยู่ในความดูแลของนางอย่างดี เริ่มถูกละเลยอย่างเงียบงัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เด็กคนนั้นกลายเป็นเพียง "บุตรของหญิงอื่น" ความอบอุ่นในสายตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง
และนางก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า
ฮ่องเต้เอง… ก็เริ่มเปลี่ยนไป
สายพระเนตรที่เคยมองนางด้วยความอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้อยคำที่เคยเอ่ยด้วยความรัก กลับกลายเป็นห่างเหิน ความผูกพันที่เคยมีกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวในความทรงจำ
และเมื่อนางได้รู้ เมื่อนางได้เห็นความเย็นชาห่างเหินนั้นในดวงตาของพระองค์ แม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่นางกลับยังคงสงบนิ่ง เพราะนางรู้ดีแล้วว่า ความรักของบุรุษนั้นไม่แน่นอน ไร้ความมั่นคง ความรักเพียงอย่างเดียว ไม่อาจปกป้องอะไรนางกับลูกได้
นางกลายเป็นคนเห็นอำนาจสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึก
นางรู้เพียงว่า หากนางอยากให้องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ได้ยืนหยัดทัดเทียมผู้อื่น นางก็จำต้องแข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น และเด็ดขาดยิ่งกว่าที่เคยเป็น
เสิ่นฮองเฮา ผู้เคยเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน ตอนนี้รอบกายของนางกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมาย เป็นผู้มีอำนาจควบคุมวังหลังไว้ในกำมือ
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ แม้ตอนนี้บิดาของนางจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง พี่ชายน้องชาย และคนตระกูลเสิ่นนั่งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับตระกูลอื่นที่ฝังรากลึกในราชสำนักได้
มันยังไม่พอสำหรับการผลักดันให้พระโอรสของนางเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกร
ราชสำนักในตอนนี้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน พระโอรสของฮ่องเต้มีอยู่หลายพระองค์ แต่ผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดมีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสของฮองเฮาพระองค์ก่อน มีขุนนางฝ่ายอนุรักษนิยมและตระกูลขุนนางเก่าแก่หนุนหลังมากมาย
องค์ชายสามหลี่เหวินหวาย โอรสของกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ในช่วงหลัง และมีตระกูลของเหล่าบัณฑิตหนุนหลัง
และสุดท้ายองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน โอรสของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่แม้จะไม่ได้มีฐานอำนาจจากฝ่ายขุนนางใหญ่มากมาย หากแต่มีความสามารถและความนิ่งลึกที่น่าจับตามอง
ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท การแย่งชิงอำนาจจึงยังไม่สิ้นสุด เพียงแต่ดำเนินไปอย่างเงียบงันภายใต้ม่านหมอกแห่งราชสำนัก
เสิ่นฮองเฮาจึงพยายามขยายอำนาจโดยการผูกสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ผู้ที่ในเวลานั้นต้องการนั่งตำแหน่งอัครเสนาบดี ซึ่งคนมีความสามารถเช่นเขาก็นับว่าไม่ยากเลย ขอเพียงมีคนมีอำนาจผลักดันอีกนิดเท่านั้น
แผนการร่วมผลประโยชน์โดยการแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้น องค์ชายห้าที่ในขณะนั้นอายุย่างเข้าสิบสี่ชันษาถูกวางตัวให้หมั้นหมายกับ อวี้หลัน ที่พึ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ เพราะนางคือบุตรีของฮูหยินอวี้ เป็นหลานสาวของตระกูลไป๋ผู้ทรงอำนาจ จะมีการหมั้นหมายและกำหนดวันมงคลอย่างเป็นทางการเมื่อนางมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์
แต่...ทุกอย่างกลับผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด
ตระกูลไป๋ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรงต่อราชสำนัก และถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน เส้นสายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอวี้หลันพังทลายลงโดยสิ้นเชิง ทำให้สถานะของนางกลายเป็นเพียงบุตรีขุนนางที่ไร้แรงหนุน ภายหลังมารดายังตายจาก ไร้มารดาปกป้อง สถานะในสกุลอวี้ย่อมยิ่งยากลำบาก
เพื่อบัลลังก์ของโอรส นางย่อมไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้คนที่คิดว่าคงไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก กลับฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจยินยอมให้โอรสแต่งกับสตรีเช่นนั้นได้ จึงจำต้องโยนหมากอย่างอวี้หลันทิ้ง เลือกตัดสัมพันธ์กับเด็กคนนั้นอย่างไร้ไมตรี
หมากอย่างคุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน ซึ่งมีท่านตาเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ ถูกหยิบขึ้นมาวางไว้แทนที่อวี้หลันบนกระดานอำนาจ
"ฮองเฮาเพคะ องค์ชายห้ามาถึงแล้วเพคะ"
ความคิดของนางหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงมามาด้านหน้าตำหนักเอ่ยดังขึ้น
เสิ่นฮองเฮาละสายพระเนตรจากภาพตรงหน้า แสงแดดอ่อนยามสายที่ลอดผ่านม่านโปร่งดูจะไม่อาจกลบความเยือกเย็นในแววตานางได้
นางหันกลับมา มองไปยังบานประตูตำหนักที่ปิดสนิท ก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอ่ยอนุญาต
"ให้เขาเข้ามา"
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที