แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ
ไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อย
อวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆ
หยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนรักษาตัวอยู่เพียงสามวันร่างกายก็ฟื้นตัวหายเป็นปกติ และแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
ความจริงนางอยากจะแสร้งป่วยต่ออีกสักครึ่งเดือน แต่จนใจที่วันพรุ่งนี้ภายในจวนจะมีงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสการแต่งตั้งฮูหยินเอกของบิดา นางในฐานะลูกเลี้ยงจึงจำต้องก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหง เพื่อไปแสดงความยินดีกับฮูหยินเอกคนใหม่ของจวน งานนี้จะขาดลูกเลี้ยงสุดที่รักอย่างนางไปได้อย่างไร อย่างน้อยก็ควรมอบของขวัญที่ระลึกให้แม่เลี้ยงสักชิ้นหนึ่ง ให้นางประทับใจจนลืมไม่ลง
โดยพิธีการของวันพรุ่งนี้จะแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงเช้าสมาชิกในครอบครัวจะรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันที่เรือนใหญ่ จากนั้นในช่วงบ่ายจะมีงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ เชิญแขกจากตระกูลขุนนางมาร่วมแสดงความยินดี
"คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้แล้ว คุณหนูจะอาบน้ำตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ"
ฉิงหว่านเดินเข้ามารินน้ำชาส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
"อืม"
อี้หลันจิบชาแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องอาบน้ำ โดยมีฉิงหว่านคอยปรนนิบัติไม่ห่าง เตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างรู้ใจไปหมด
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อวี้หลันเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของบ่าวในเรือนฮวาหงอย่างเงียบๆ และพบว่าทุกเรื่องภายในเรือน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมของใช้ จัดอาหาร ทำความสะอาด หรือดูแลเรื่องส่วนตัวของนาง ล้วนเป็นฉิงหว่านที่ลงมือทำทั้งหมด ทั้งที่ในเรือนฮวาหงมีบ่าวมากถึงแปดคน แต่กลับไม่มีใครขยันขันแข็งหรือดูใส่ใจงานแม้แต่น้อย บางคนทำท่าเหนื่อยหน่าย บางคนก็ทำงานแบบขอไปที พอให้พ้นๆ ไปวันๆ
แต่นางเข้าใจว่าเหตุใดบ่าวพวกนั้นจึงเฉื่อยชาเช่นนี้ เพราะพวกนางล้วนเป็นคนของเซิ่งซื่อทั้งสิ้น จึงได้ไม่ยอมรับว่านางคือเจ้านายตัวจริงของเรือนนี้
แววตาของอวี้หลันเย็นเฉียบลง เห็นทีคงถึงเวลาที่พวกหนูสกปรกพวกนี้จะต้องถูกกวาดล้างเสียที
หญิงสาวเอนตัวลงในถังไม้อาบน้ำ กลิ่นน้ำมันหอมจางๆ กับกลิ่นของกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำหอมอบอวล ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า นางหลับตาพริ้ม ปล่อยใจให้ผ่อนคลายในความเงียบสงบ ขณะที่ฉิงหว่านค่อยๆ สระผมให้อย่างนุ่มนวล
จากนั้นน้ำเสียงเรียบรื่นก็เอ่ยขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าถึงเรื่องทั่วไป
"หวานหว่านคนดี ข้าจำได้ว่าปิ่นปักผมที่ข้าชื่นชอบมากอันหนึ่ง หายไป"
มือของฉิงหว่านชะงักเล็กน้อย ก่อนจะสระผมต่อ แววตานั้นเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และดูเหมือนน้ำหนักมือจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมา ราวกับกำลังแง่งอน
อยู่ๆ ของจะหายไปได้อย่างไร คงจะเป็นคนพวกนั้นที่หยิบฉวยไปอีกตามเคย
อวี้หลันสัมผัสได้ถึงท่าทางปั้นปึ่งของอีกฝ่ายก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้ จากความทรงจำของเจ้าของร่าง พวกสาวใช้เหล่านั้นมักจะหยิบฉวยของของนางไปบ่อยครั้ง แม้ฉิงหว่านจะบอกกับนางหลายครั้ง แต่ผู้เป็นนายกลับปล่อยผ่าน ไม่เคยเอ่ยปากหรือจัดการอะไรเลย ปล่อยให้คนพวกนั้นเอาเปรียบ สร้างความคับแค้นใจให้กับฉิงหว่านเป็นอย่างมากที่คนพวกนั้นเอาเปรียบคุณหนูของตน
อวี้หลันลืมตาขึ้นช้าๆ แววตานิ่งเย็นปรากฏอยู่ภายใต้ม่านไอน้ำที่ลอยเหนือผิวน้ำอุ่น
"หวานหว่านโกรธข้าแล้วหรือ เช่นนั้นข้าจะทวงของทั้งหมดคืน ดีหรือไม่"
ริมฝีปากแดงฉ่ำน้ำคลี่ยิ้มจางๆ ราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูเหมันต์ สวย แต่น่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด
ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เป็นประกาย ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างไม่แน่ใจ
"คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ"
แน่นอนว่าอวี้หลันพูดจริง แต่ไม่ใช่แค่ของที่บ่าวรับใช้พวกนั้นขโมยไป แต่หมายรวมถึงสินเดิมของมารดาผู้ล่วงลับด้วย
เซิ่งซื่อเป็นฮูหยินเอกแล้วอย่างไร ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทรัพย์สมบัติของมารดานาง
ยามค่ำคืนมาเยือน เรือนฮวาหงเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหวิวที่ลอดผ่านช่องหน้าต่าง ผู้คนภายในเรือนต่างก็พากันดับไฟและเข้านอนกันหมดแล้ว แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งในชุดสีดำสนิทกระโจนออกมาจากหน้าต่างเรือนใหญ่ อันเป็นที่พำนักของเจ้าของเรือน ลัดเลาะไปตามเรือนนอนของบรรดาบ่าวไพร่
ร่างนั้นเคลื่อนไหวเงียบงันทุกย่างก้าว ทั้งรวดเร็วและระมัดระวัง พฤติกรรมและชั้นเชิงการลอบเร้นเหล่านั้นล้วนเหนือสามัญ เมื่อภารกิจสิ้นสุด ร่างในชุดดำก็หายลับไปกับเงามืดดั่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ปล่อยให้เรือนฮวาหงกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ทว่าความเงียบนี้ จะคงอยู่ได้ไม่นาน
รุ่งเช้าในเรือนฮวาหง แสงแดดอุ่นละมุนลอดผ่านผ้าม่านบางเบา บรรยากาศอบอวลด้วยความสงบ กลิ่นชาดอกเหมยหอมกรุ่นคลุ้งไปทั่วเรือน ราวกับกำลังต้อนรับเช้าวันสำคัญอย่างอ่อนโยน อวี้หลันนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้หอมด้วยท่าทีสงบ ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางแต่งแต้ม
วันนี้นางสวมอาภรณ์เรียบง่าย สีขาวอ่อนนุ่ม ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่มักจะสวมชุดสีสันสดใส งดงามสะดุดตา แม้จะอยู่แค่ภายในเรือนนอนก็ตาม ผมยาวถูกถักเป็นเปียสองข้างอย่างเรียบง่ายโดยฝีมือของฉิงหว่าน ไม่สวมเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว ไร้ซึ่งความโดดเด่น ส่วนใบหน้านั้น อวี้หลันเลือกที่จะแต่งแต้มให้ขาวซีดราวกับคนป่วย
ด้านฉิงหว่านมองเครื่องประดับในกล่องที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้นอย่างปวดใจและคับแค้นใจเหลือแสน เมื่อวานนี้เครื่องประดับของคุณหนูยังเหลืออยู่มากมายไม่ใช่หรอกหรือ คงเป็นคนพวกนั้นที่ต้องการกลั่นแกล้งคุณหนูของนางให้อับอายขายหน้าเป็นแน่
"คนพวกนั้นชั่งใจกล้านัก แอบขโมยของของคุณหนูไปมากมายถึงเพียงนี้ คงหวังให้ท่านขายหน้าต่อหน้าผู้คนเป็นแน่เจ้าค่ะ"
ความจริงแล้วบ่าวพวกนั้นก็ใช่ว่าจะโง่เสียทีเดียว ของที่พวกนางขโมยไปล้วนแล้วแต่เป็นของไม่สะดุดตาหรือโดดเด่นล้ำค่าจนเกินไปนัก แต่ฉิงหว่านไหนเลยจะรู้ว่าที่จริงแล้วเครื่องประดับเหล่านั้นหาได้ถูกลักไป แต่เป็นนายของตนที่นำมันไปให้ผู้อื่นด้วยมือของตนเอง
ในเมื่อคนพวกนั้นชมชอบการลักขโมยของ เช่นนั้นนางก็เพียงแต่ "ช่วย" ส่งเสริมก็เท่านั้น
เมื่อคืนนี้นางจึงนำเครื่องประดับของนางไปแอบซุกซ่อนไว้ในเรือนของบ่าวเหล่านั้น
อวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"หวานหว่านวางใจ วันนี้ข้าจะทวงคืนทุกอย่างกลับมาแน่"
"คุณหนูต้องเรียนนายท่านให้ได้นะเจ้าคะ บ่าวพวกนั้นเหิมเกริมเกินไปแล้ว"
ฉิงหว่านพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมให้ผู้เป็นนายอีกรอบ เมื่อเห็นว่านายของตนคล้ายดังคนป่วยอย่างที่ต้องการก็ยกยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ ในความคิดของฉิงหว่าน เมื่อนายท่านเห็นคุณหนูดูอ่อนแอบอบบางเช่นนี้จะได้ยิ่งรู้สึกสงสารเห็นใจยิ่งขึ้น
อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาเปล่งแสงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสงบ
"ได้ๆ ข้าจะฟ้องให้หมด แล้วจะทวงของกลับคืนมาทุกชิ้นดีหรือไม่"
นางกล่าวเสียงอ่อนโยน คำพูดนั้นฟังดูราบเรียบ หากแต่แท้จริงเต็มไปด้วยการวางหมากอย่างสุขุม
"ดีที่สุดเจ้าค่ะ คุณหนู"
ฉิงหว่านตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
"เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวท่านพ่อจะคอยนาน"
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที