หลินมู่อิงมีโอกาสกลับไปเกิดใหม่ใน ปี1976 เพื่อแก้ไขชีวิตในอดีตของเธอ เพื่อช่วยชีวิตสามีที่ป่วยตายตั้งแต่ยังหนุ่มการกลับมาครั้งนี้ของเธอ ทันทีที่เกิดใหม่หลินมู่อิงได้ตัดสัมพันธ์กับครอบครัว ในชาตินี้เธอเกิดมาพร้อมกับมิติวิเศษหรือที่เรียกกันว่าพื้นที่หลิงฉวนที่มีบ่อน้ำพุจิตวิญญาณขนาดใหญ่ หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ หลินมู่อิงตั้งใจว่าจะต้องตามจีบสามีของเธอให้ได้และจับเขาเอาไว้ให้มั่น ในชาติที่แล้วเธอและเขาแต่งงานกันได้เพียงสามปี สามีก็มาด่วนจากไปทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวพร้อมกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รักและครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ หลังจากผ่านพ้นความเสียใจเธอได้มุ่งมั่นเรียนแพทย์อย่างหนักเพื่อรักษาผู้คนจนในวันสุดท้ายของชีวิต หลินมู่อิงไม่เคยคิดว่าเธอจะได้มีโอกาสมาเกิดใหม่อีกครั้ง ในเมื่อพระเจ้าอวยพรให้เธอและให้โอกาสเธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้น หลินมู่อิงตั้งใจเอาไว้ว่าเธอจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสามีของเธอเอาไว้และจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า การเกิดใหม่ครั้งนี้ของหลินมู่อิงกับภารกิจหลักไล่ตามสามีได้เริ่มขึ้นในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง
View More14 เมษายน 2025 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกภายในห้องผู้ป่วยสีขาวสะอาดตา มีหญิงชราที่มีใบหน้าเหนื่อยล้านอนอยู่บนเตียงนิ้วมือที่เหี่ยวๆ ลูบรูปถ่ายขาวดำเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่งจะเห็นได้ว่าเธอดูและสัมผัสรูปภาพนี้นับครั้งไม่ถ้วนภาพถ่ายที่มีชายและหญิงนั่งเคียงข้างกัน
หลินมู่อิงยังจำได้ว่ารูปนี้ถ่ายเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 1984 ผู้หญิงในรูปอายุ 25 ปี และผู้ชายอายุ 30 ปี รูปนี้ถ่ายไว้ตอนไปขอใบทะเบียนสมรส ผู้ชายในรูปมีใบหน้าหล่อเหลาและเป็นคนอบอุ่นมาก แต่ชีวิตของเขาช่างแสนสั้น เขาจากเธอไปในช่วงฤดูหนาวปี 1987ส่วนใบหน้าของผู้หญิงกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและมีความสุข
“โจวอี้หมิง ดูเหมือนว่าฉันจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วสามสิบเจ็ดปี สามสิบเจ็ดปีที่ไม่มีคุณ ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อจะใช้ชีวิตอย่างดีฉันได้ช่วยชีวิตคนมาแล้วเป็นหมื่นๆ คน แต่ฉันไม่มีโอกาสได้ช่วยคุณเลยฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน มากเหลือเกิน เหลือเกิน...”
ดวงตาของหญิงชราที่ยังแจ่มใสอยู่ กลับพร่ามัวลงอย่างกะทันหันเนื่องมาจากน้ำตาที่ไหลรินออกมเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการตรวจหาสัญญาณชีพก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติในที่สุด
“ศาสตราจารย์หลิน!”
ในขณะนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยต่างตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างรุนแรง ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของชาติ อัจฉริยะด้านการแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้หมดลมหายใจไปอย่างสิ้นเชิงในขณะนี้
...
“หลินมู่อิง! ฉันกำลังพูดกับเธออยู่ เธอได้ยินไหม ถ้าเธอไม่ยอมไปชนบทแทนพี่ชาย ฉันจะให้เธอแต่งงานทันที ฉันหาสามีเอาไว้ให้เธอแล้ว มีคนหนึ่งในมณฑลถัดไปที่ยินดีจะจ่ายสินสอด 200 หยวนและกำลังรอที่จะแต่งงานกับเธออยู่ ถึงเขาจะมีลูกสองคนแล้ว แม้ว่าขาและเท้าของเขาจะไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่เขาก็เป็นคนซื่อสัตย์และมีศีลธรรมที่สำคัญเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอใสนตอนนี้”
สินสอดสองร้อยหยวน ในปีพ.ศ.2519 นั้นถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อม่ายที่มีลูกติดถึงสองคนและผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนพิการ ถ้าหากว่าหลินมู่อิงไม่ใช่คนที่หน้าตาสวยและอายุน้อยแบบนี้ เขายังจะยินดีจ่ายเงินสินสอด 200 หยวนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากหลินมู่อิงไม่ยอมไปชนบทแทนจางจิ้งผิงเกรงว่าซูเนี่ยนเจินคงจะขายเธอให้กับพ่อหม้ายในราคา200 หยวนเมื่อหลินมู่อิงได้ยินเสียงแหลมๆของซูเนี่ยนเจินที่ดังข้างๆเธอ จิตสำนึกของหลินมู่อิงที่ยังไม่ชัดเจนนักก็ค่อยๆกลับมาชัดเจนอีกครั้งเมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่าย ผนังที่เดิมปกคลุมไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ จนกลายเป็นสีเหลืองเข้มตามกาลเวลา
ในเวลานี้ หลินมู่อิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ที่พิงอยู่กับผนัง ในขณะที่ ซุเนี่บยนเจินกำลังชี้นิ้วไปที่เธอ และด่าทอสาปแช่งเสียงดังจนหลินมู่อิงรู้สึกรำคาญ หลินตงพ่อของหลินมู่อิงกำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่ข้างโต๊ะรับประทานอาหาร โดยไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย มีกาน้ำชาเก่าๆวางอยู่บนโต๊ะไม้ ข้างในเต็มไปด้วยใบชาราคาถูกและมีไอน้ำกำลังพวยพุ่งออกมา บนปฏิทินใกล้ประตูระบุว่าเป็น ปี 1976 สีแดงอันสะดุดตาได้กระตุ้นหัวใจของหลอนมู่อิง ทันมใดนั้นความทรงจำเก่าๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอทันที
“นี่ฉัน…เกิดใหม่อีกแล้วใช่ไหม? กลับไปในยุคปี 1976 ที่ผู้คนถูกบังคับให้ออกไปอยู่ชนบทในชีวิตก่อนของเธอ แม่ของหลินมู่อิงเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ เธอจำได้ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และน้ำในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกได้กลืนกินชีวิตของแม่ของเธอไป ในปีนั้นเธอได้กลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ สองเดือนต่อมา พ่อของเธอก็แต่งงานกับซูเนี่ยนเจิน
ซูเนี่ยนเจินเป็นหญิงม่ายจากหมู่บ้านเดียวกันและมีลูกชายชื่อจางจิงผิงซึ่งอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี ต่อมาซูเนี่ยนเจินให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวให้พ่อของเธอ ต่อหน้าคนนอก ซูเนี่ยนเจินทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้าตาของเธอ เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ในสิ่งที่นางปฏิบัติต่อหลินมู่อิง
ที่บ้าน หลินมู่อิงมักจะถูกเธอปฏิบัติเหมือนคนรับใช้และถูกเธอทุบตีอยู่เสมอ หากหลินมู่อิงทำอะไรบางอย่างที่ซูเนี่ยนเจินไม่พอใจ เธอจะทุบตีหลินมู่อิงอย่างโหดเหี้ยม แต่ซูเนี่ยนเจินนั้นเป็นคนฉลาดมาก เธอลงมือทุบตีหลินมูอิงในที่ที่สามารถปกปิดได้ด้วยเสื้อผ้า และหลินมู่อิงนั้นเกินกว่าจะบอกคนอื่น
เธออดทนกับเรื่องนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งปี1976 เมื่อซูเนี่ยนเจินบังคับหัเธอไปที่ชนบทแทนลูกชายของเธอ พี่ชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน พี่ชายที่เป็นลูกติดแม่เลี้ยงอย่างวูเนี่ยนเจินมา หลินมู่อิงเริ่มทำงานในโรงงานเสื้อผ้าตั้งแต่อายุสิบหกปี โดยได้รับค่าจ้างเดือนละยี่สิบหยวน ตราบใดที่คนหนุ่มสาวมีงานประจำอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปชนบท
เนื่องจากน้องชายและน้องสาวของเขายังเด็กอยู่ ภารกิจในการไปชนบทจึงตกอยู่ที่จางจิ้งผิง ในวันปกติเขาไม่มีงานทำและอยู่ว่างงานตลอดทั้งวัน แบบนี้แล้วเขาจะยอมไปทำงานหนักในชนบทได้อย่างไรกัน?
ดังนั้น ซูเนี่ยนเจิน จึงบังคับให้หลินมู่อิง ไปที่ชนบทแทนจางจิ้งผิงและด้วยวิธีนี้ งานของหลินมู่อิงในโรงงานเสื้อผ้าจึงสามารถขายเป็นเงินได้ ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงของเธอเก่งเรื่องการคำนวณมาก ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลินมู่อิง ตกลงที่จะไปชนบทเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับผู้ชายหย่าร้างที่มีขาพิการ โชคดีที่เธอฉลาดพอที่จะขายงานของเธอที่โรงงานเสื้อผ้าก่อนที่จะลาออก
เธอขายมันไปในราคา 200 หยวน แล้วออกเดินทางไปยังชนบทพร้อมกับเงินและตั๋วไม่กี่ใบที่เก็บสะสมจากการประหยัดเมื่อก่อน หากประหยัดเงินได้200หยวน ก็จะสามีรถใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากมากนักในชนบท
ขณะที่หลินมู่อิง ทำงานแลกแต้มคะแนนอยู่ในชนบท ก็มีข่าวการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ด้วยความพยายามของตนเองและรากฐานการเรียนรู้ในอดีต หลินมู่อิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุดในตอนที่เธอกลับเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แม่เลี้ยงอย่างซูเนี่ยนเจินก็บีบบังคับให้หลินมู่อิงมอบจดหมายตอบรับการเข้ามหาวิทยาลัยให้กับลูกชายของเธอ เมื่อหลินมู่อิงไม่ยอม แม่เลี้ยงจึงได้วางยาเธอ จากนั้นก็ส่งเธอให้กับพวกค้ามนุษย์
ปรากฏว่าคนที่ซื้อเธอไปมีอาการทางจิต เขาชอบทรมานเด็กสาวโดยการเฆี่ยนตีจนทำให้หลินมู่อิงมีรอยแผลเป็นทั้งตัว เมื่อเธอสามารถหลบหนีออกมาได้แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีพ้นแม่เลี้ยงของเธอได้ ซูเนี่ยนเจินถึงกับให้พวกอันธพาล100 หยวนเพื่อให้พวกนักเลงจับหลินมู่อิงไปขังเอาไว้และอย่าให้หลุดออกมาได้อีก เพื่อที่จะให้ลูกชายของเธอสามารถไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น
หลินมู่อิงถูกพวกอันธพาลขังไว้ในห้องเก็บของที่มืดมิด เธอต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากพวกอันธพาลทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนร้ายถูกจับได้ว่าก่ออาชญากรรม เธอก็หนีออกจากสถานที่อันมืดมิด สกปรก และน่าขยะแขยงแห่งนั้นได้ จากนั้นฉันก็ได้พบกับ โขวอี้หมิง อีกครั้ง ผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านหลี่เจียที่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเธอในขณะที่เธออยู่ชนบท
แต่ในเวลานั้น หลินมู่อิงสูญเสียความหวังในชีวิตไปแล้ว ร่างกายและจิตใจของเธอพังทลายจนไม่อาจจดจำได้ เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับใครอีกแล้ว แม้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้ถูกละเมิด แต่เธอกลับ... รู้สึกขยะแขยงเมื่อเห็นผู้ชาย
เป็นเวลาสองปีที่ โจวอี้หมิง ดูแลหลินมู่อิง และทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เธอหายดีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มันทำให้เธอเริ่มยอมรับทุกสิ่งรอบตัวและจุดประกายความหวังในการมีชีวิตอยู่ของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้น โจวอี้หมิงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่พร่างพราย คอยส่องสว่างให้กับโลกที่มืดมิด และสิ้นหวังของเธอ
ในปี 1984 โจวอี้หมิงขอเธิแต่งงานไม่ใช่ว่าเธอไม่ยินดีแต่งงานกับเขา แต่กลัวว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงที่จะฉุดรั้ง โจวอี้หมิง เช่นกัน เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้วในเวลานั้น โจวอี้หมิง วัย 30 ปีดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง การกรนะทำทุกอย่างของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสม
หลินมู่อิงซึ่งเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จะเป็นคนที่คู่ควรกับเขาได้อย่างไร? จนในที่สุดเขาบอกว่าเขาตกหลุมรักเธออย่างลึกซึ้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเขาได้รอคอยเธอมานาน
เมื่อมองไปที่ดวงตาของโจวอี้หมิงที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเธอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอจึงตัดสินใจรับข้อเสนอของโจวอี้หมิงและตกลงแต่งงานกับเขา ช่วงเวลาหลังแต่งงานเป็นวันที่มีความสุข มั่นคงที่สุด และสนุกสนานที่สุดในชีวิตของหลินมู่อิง
แต่ทว่าน่าเสียดายที่เชือกป่านมักจะขาดตรงส่วนที่บางที่สุดเสมอ และความโชคร้ายมักจะมีมากกกว่าความโชคดีในชีวิตของหลินมู่อิง
หลิวอิ๋งรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เธอจากด้านหลัง แต่เมื่อเธอหันกลับไปและมองเห็นเพียงใบหน้าอันงดงามของหลินมู่อิง หลิวอิ๋งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในความเห็นของหลิวอิ๋งหลินมู่อิงไม่น่าจะสวยขนาดนี้ ใบหน้าที่สวยสะดุดตา ผิวขาวเรียบเนียนเธอไม่เข้าใจว่า เหตุใดหลินมู่อิงที่มาถึงชนบท ถึงสวยงดงามได้ในเวลานี้ตามความทรงจำของเธอในชาติที่แล้วหลินมู่อิงควรจะต้องผิวหมองคล้ำ ร่างกายผอมบางและดูไร้เรี่ยวแรงไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนเช่นในตอนนี้ แต่หลู่เหวินชิงยังคงดูเหมือนเดิมเหมือนในความทรงจำของเขาในชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่มีผิดหลิวอิ๋งเองก็ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งโดยไม่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลับมาเกิดใหม่ได้ ในชีวิตก่อนของเธอ เธอได้ตกหลุมรัก หลู่เหวินชิงทันทีที่เธอมาถึงหมู่บ้านหลี่เจีย ลูกชายผู้อำนวยการโรงงานคนนี้มีนิสัยดีและมีมารยาทดี ในเวลานั้น เด็กสาวที่ชื่อหลินมู่อิงเองก็ชอบหลู่เหวินชิงด้วยเช่นเดียวกับเธอหลิวอิ๋งใช้กลอุบายสกปรกมากมายลับหลังหลินมู่อิงเพื่อทำลายชื่อเสียงของเธอนี่เป็นสาเหตให้หลินมู่อิงกลายเป็นที่เหยียดหยามของผู้อื่น และหลังจากนั้นเธอจึงสามารถล่อลวง หลู่เหวินชิงได้สำเร็จหลิว
ขณะที่หลี่จินเป่ากำลังมองไปที่หลินมู่อิงด้วยสายตาน่ารังเกียจในสายตาของเขามันเต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา โจวอี้หมิงก็มองไปที่หลี่จินเป่าด้วยเช่นกันสายตาคมกริบจ้องมองไปที่หลี่จินเป่าหากเปลี่ยนสายตาเป็นมีดร่างกายของหลี่จินเป่าคงมีแต่รอยแผลที่ถูกทิ่มแทงด้วยมีดเมื่อหลี่จินเป่าเห็นสายตาของโจวอี้หมิงที่ส่งมาให้เขาและคราบเลือดที่มือและใบหน้าของโจวอี้หมิงที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด หลี่จินเป่าเมื่อเห็นโจวอี้หมิงที่เป็นแบบนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ร่างกายของเขารู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาทันทีหลี่จินเป่ารู้สึกตื่นตระหนกเขาคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่โจวอี้หมิงที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ดี ครอบครัวของพวกเขาจัดอยู่ในจำพวก "หมวดหมู่ห้าดำ" เขาจกล้าที่จะตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นด้วย?ถ้าเกิดว่าเขาได้คบกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ โจวอี้หมิงคงไม่คิดที่จะทำร้ายฉันใช่มั้ย? หลี่จินเป่าไม่เคยคิดว่าหลินมู่อิงจะดูถูกเขาและตกหลุมรักโจวอี้หมิงท้ายที่สุดแล้ว ภูมิหลังครอบครัวของโจวอี้หมิงไม่ดีนัก และถูกคนอื่นดูถูก แต่เขาเป็นลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน หากเยาวชนที่ได้รับการศึกษาที่มาใหม่ต้องการที่จะอยู่ในหมู่บ้านหลี่เจีย ได้อย่างสงบสุ
หมูป่าที่ โจวอี้หมิงฆ่านั้นเดิมทีมันเกือบจะตายแล้ว แต่เมื่อมันมองเห็นโจวอี้หมิงวิ่งเข้ามาหามัน ความปรารถนาอันแรงกล้าของหมูป่าที่จะมีชีวิตรอดทำให้มันฟื้นคืนพลังชีวิตขึ้นมาได้ทันที พยายามดิ้นรนที่จะยืนขึ้นโจวอี้หมิงพกเคียวติดตัวไปด้วยเขาหยิบเคียวออกมาแล้วยกขึ้นสูง ตอนที่เขากวัดแกว่งเคียวในมือก็มีเสียงหวีดหวิวของลมขณะที่เขาเกือบจะสับเคียวลงบนหมูป่าเขาก็พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า "อย่ามอง"หลินมู่อิงสวยเกินไป เด็กสาวที่บริสุทธิ์เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเห็นภาพเลือดสาดเช่นนี้เขาได้ยินเสียงเพียงเบาๆ “อืม” ดังมาจากไม่ไกล โจวอี้หมิง โบกเคียวอีกครั้ง ขนหมูป่ามีความหนามาก และเนื่องจากมันเดินทางไปบนภูเขาตลอดทั้งปี ขนจึงปนเปื้อนโคลนจำนวนมาก และแข็งขึ้น ชาวนาธรรมดาไม่อาจฝ่าแนวป้องกันหมูป่าได้จริงๆแต่เมื่อเคียวของของโจวอี้หมิงตกลงมา เลือดก็ไหลออกมาจากคอหมูป่าทันที ร่างหมูป่าสั่นอย่างรุนแรงอยู่สองสามครั้งก่อนจะสงบลงช้าๆโจวอี้หมิง หยิบหญ้าแห้งจำนวนหนึ่งมาไว้ใกล้ ๆ แล้วเช็ดเคียวของเขาที่ยังมีเลือดหยดอยู่ จากนั้นเขาก็ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่กระเซ็นบนใบหน้าของเขาฉากนี้น่าจะทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตกใจกล
ไม่มีเสื้อผ้าเก่าๆ และผ้าห่มอยู่ในพื้นที่มิติเลยหลินมู่อิงทำได้เพียงแต่ปูที่นอนบนพื้นอย่างไม่เต็มใจเพื่อให้ลูกสุนัขได้พักผ่อน จากนั้นเธอก็เติมน้ำลงในชามและทิ้งซาลาเปาเนื้อสองชิ้นไว้ให้ลูกสุนัขเวลาในพื้นที่มิตินี้เป็นเร็วกว่าเวลาข้างนอกมาก แม้ว่าหลินมู่อิงจะเข้าไปในมิติ แต่เวลาข้างนอกก็จะหยุดนิ่งนี่เป็นสิ่งที่หลินมู่อิงค้นพบว่าเวลาที่เธอเข้าไปในมิติเวลาเธอสามารถหยุดเวลาข้างนอกได้ หลินมู่อิงเตรียมอาหารเอาไว้เพราะเธอเกรงว่าลูกสุนัขจะหิวหรือกระหายน้ำ“แกต้องนอนลงและพักผ่อนให้ดี และอย่าทำลายสิ่งที่ฉันปลูกเอาไว้” หลินมู่อิงพูดกับเสี่ยวโกวจื่อเป็นชื่อที่เธอตั้งให้กับลูกสุนัข พร้อมกับชี้ไปที่พืชผลที่เธอปลูกไว้บริเวณใกล้เคียงลูกสุนัขร้องครวญครางสองครั้ง ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หลินมู่อิงพูด และพยักหน้าเหมือนกับว่ามันรู้แล้วและจะไม่ทำลายพืชที่เธอปลูกเอาไว้ แต่เสียงครวญครางของมัน ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เสียงของสุนัขหลินมู่อิงไม่ได้คิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่สุนัขตัวเล็กไม่สร้างปัญหาในพื้นที่ของเธอมันก็คงไม่มีปัญหา ยังมีหมูป่าอยู่ข้างนอก... หลินมู่อิงถือพลั่วอยู่ในมือ คิดว่าอาจจะเกิดก
แม้ว่าหลินมู่อิงจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เธอไม่ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เดียวกับโจวอี้หมิงแต่เธอยังคงจำได้ว่าภูเขาหลังหมู่บ้านนั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรมากมายเมื่อพิจารณาว่าฤดูใบไม้ผลิเพิ่งผ่านมาไม่นาน และชาวบ้านจำนวนไม่มากได้ไปที่ภูเขาตลอดฤดูหนาว ไม่น่าจะมีใครไปเก็บสมุนไพรที่ทนความหนาวเย็นบนภูเขาได้หลินมู่อิง มองไปที่เซี่ยฮุ่ยเหม่ยที่กำลังนั่งตัดหญ้าให้หมูอยู่ไกลๆ และคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงที่ผ่านมา จากนั้นเธอก็บอกกับเซี่ยฮุ่ยเหม่ยเล็กน้อย และเดินออกมาเงียบๆและเดินตรงเข้าไปในภูเขาเธอไม่กลัวหากว่าเกิดอันตารายขึ้น ไม่ว่าเธอจะเผชิญกับอันตรายใดๆ ก็ตาม ตราบใดที่เธอซ่อนตัวอยู่ในมิตินั้นโดยตรง เธอจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หลังจากเดินไปเกือบยี่สิบนาที หลินมู่อิงก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นคล้ายกับว่าเป็นเสียงสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่งดูเจ็บปวดทรมานมาก เสียงร้องของมันฟังดูน่าสงสารมากหลินมู่อิงก็อยากรู้เช่นกันว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ ดังนั้นเธอจึงเดินไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง จนกระทั่งเธอมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งมีหญ้าขึ้นหนาแน่นอยู่ หลินมู่อิงมองเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว และเสียงครา
โจวอี้หมิงหันกลับมาและสบตากับหลินมู่อิงที่ส่งรอยยิ้มสดใสและชัดเจนซึ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเมื่อหลินมู่อิงเห็นโจวอี้หมิงหันกลับมา เธอก็โบกมือให้เขาและยิ้มกว้างมากขึ้น และการกระทำเช่นนี้ของเธอมันทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้ชายคนอื่นๆ ดวงตาของโจวอี้หมิงอดไม่ได้ที่จะมืดมนลง เขาหันกลับไปอย่างสงบโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆมือที่โบกของหลินมู่อิงหยุดชะงักไปชั่วขณะ แต่เธอก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรมากนัก ดังนั้นปฏิกิริยาของเขาจึงเป็นเรื่องปกติ หลินมู่อิงปลอบใจตัวเองด้วยวิธีนี้“นี่สาวน้อยผู้มีการศึกษาที่มาใหม่เหรอ น่ารักจังเลย” ชายวัยยี่สิบกว่าที่ยังโสดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าดวงตาของเขาเป็นประกายและพูดด้วยความตื่นตะลึงหลังจากเห็นรูปลักษณ์ของหลินมู่อิง“จะดูดีไปทำไม ในเมื่อดูเผินๆ ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบกอะไรไม่ได้ สะสมแต้มงานได้เท่าไหร่” ป้าคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินดังนั้นก็มองดูหลินมู่อิงด้วยความดูถูกและพึมพำ“หน้าตาดีจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าฉันมีภรรยาแบบนี้ ฉันคงยอมให้เธออยู่บ้านคอยรับใช้ฉันทุกวันดีกว่า ฉันยังปล่อยให้เธอไปทำงานที่ไร่นาไม่ได้ แล้วฉันยังจะห่วงคะแนนทำงานไปทำ
จางเฟยเซียนไม่มีหมอน เธอจึงเอาเสื้อผ้าไว้ใต้ศีรษะ ตอนนี้เป็นปลายเดือนเมษายนแล้ว กลางคืนในหมู่บ้านใกล้ภูเขายังคงหนาวอยู่เล็กน้อยจางเฟยเซียนรู้สึกเย็นและเสียใจเล็กน้อยในใจ ที่นี่มันเป็นสถานที่ที่โคตรเลาร้ายเลย เธอหวังว่าครอบครัวของเธอจะขอให้ใครสักคนพาเธอกลับโดยเร็วที่สุดที่ภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านหลี่เจีย มีชายร่างสูงใบหน้าสว่างไสวราวกับพระจันทร์เขาสวมเสื้อผ้าหยาบๆ กำลังวางกับดักอยู่ ดวงตาของเขาเป็นประกายและมีสายตาที่ดีในการใช้แสงจันทร์ในการมองหาเหยื่อคืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มสว่าง โจวอี้หมิง ก็ลงมาจากภูเขาพร้อมกับสะพายตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้บนหลังในตะกร้าไม้ไผ่ที่เขาสะพายอยู่นั้นข้างใน มีไก่ฟ้าหนึ่งตัวและกระต่ายสองตัวนอนอยู่ในตะกร้า หลังจากกลับถึงบ้านโจวอี้หมิง ก็ต้มน้ำ ทำความสะอาดไก่ฟ้าและกระต่าย อาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่การอาบน้ำเย็นในสภาพอากาศแบบนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกมีพลังมากเมื่อโจวอี้หมิงทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงไก่ขันจากบ้านข้างเคียง น่าจะประมาณตีสี่หรือตีห้าโจวอี้หมิงนอนอยู่บนเตียงสักพักหนึ่ง แล้วเขาก็ได้ยินเสีย
"ฉันชื่อซุน ซื่อหยวน เธอควรกินมันไป ไม่เช่นนั้นเธอจะนอนไม่หลับเพราะความหิว แล้วเธอจะเอาแรงที่ไหนไปทำงานในทุ่งนา เธอควรคิดให้ดีก่อนที่จะปฏิเสธนะ พวกเราเป็นเยาวชนที่มีการศึกษาจากหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้นเราควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”ซุนซื่อหยวนพูเออกมาด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย และเขารู้สึกเขินอายจริงๆ เขาค่อยๆเปิดห่อกระดาษชุบน้ำมัน เผยให้เห็นเศษบิสกิตที่แตกอยู่ออกจากกัน เขาเก็บขนมเหล่านี้ไว้เกือบเดือนเพราะเขาทำใจกินมันไม่ลง บิสกิตห่อนี้ครอบครัวของเขาให้มากินระหว่างเดินทางเมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยฮุ่ยเหม่ยและอีกสามคนก็รีบกินแป้งข้าวโพดไปสองสามคำ ยัดขนมปังเข้าปาก และจากไปอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นการกระทำของคนอื่นๆ ซุนซื่อหยวนก็ยิ่งรู้สึกอายมากขึ้น ใบหน้าที่ผอมบางเดิมตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อไปทั้งหน้าอย่างไรก็ตาม เหตุผลที่จางเฟยเซียน ปฏิเสธที่จะรับสิ่งของจากซุนซื่อหยวน ไม่ใช่เพราะเธอขี้อายหรือเขินอาย แต่มันเป็นเพราะถุงกระดาษเคลือบน้ำมัน ดูสกปรกเล็กน้อย และบิสกิตก็แตกเป็นชิ้น ๆ หลังจากเปิดออก เนื่องจากมือของซุนซื่อหยวนที่ถือบิสกิตอยู่ค่อนข้างใกล้กับจางเฟยเซียน บิสกิตจึงมีกลิ่นหืนของเนยเพราะบิส
ผู้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในศูนย์เยาวชนที่มีการศึกษาเป็น เยาวชนที่มีการศึกษาซึ่งไปอยู่ชนบท เหตุใดหลินมู่อิง ถึงได้รับความชื่นชมมากมาย หลินมู่อิงมีสิทธิ์อะไรที่จได้รับความนิยมมากมายขนาดนี้ เธอคิดเอาไว้ในตอนแรกว่าด้วยรูปร่างหน้าตาและภูมิหลังครอบครัวของเธอ เธอคงจะได้รับความรักจากหลายๆ คนในที่นี้เมื่อถึงเวลานั้นคุณเพียงแค่ขอให้ชาวนาหรือชายหนุ่มที่มีการศึกษามาช่วยทำงานก็พอ และคุณก็สามารถใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายและสบายได้ รออีกสักสองสามปีแล้วกลับเมืองไปหาผู้ชายดีๆ สักคนมาแต่งงานด้วยผลที่ตามมาคือมีหลินมู่อิงโผล่มาและมายืนอยู่ข้างๆ เธอ โดยที่เธอเองก็ไม่สามารถโดดเด่นในฐานะตัวเธอเองได้เลย... เมื่อหานเฟยเซียนคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อเธอมองดูหลินมู่อิง และท่าท่างของเธอดูไม่เป็นมิตรกับหลินมู่อิงมากขึ้นเรื่อยๆ“ฉันชื่อหลิวหยาง ฉันอยู่ที่หมู่บ้านเกาซานมาหกปีแล้ว ยังมีห้องว่างไม่กี่ห้องในศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนที่นี่ เยาวชนหญิงที่เพิ่งเข้าใหม่สามคนสามารถพักในห้องใดห้องหนึ่งแยกกันได้ แม้ว่าห้องนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่ห้องดินเผาสามารถนอนได้สี่หรือห้าคน คุณสามารถอาศัยอยู่ที่นั่นก่อนได้”หลิวหยางกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ห้องสำหรับ
Comments