แชร์

6

ผู้เขียน: RainyStarSea
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-20 11:57:38

บ่ายคล้อย ลมหนาวพัดอวลเข้ามาในตำหนักคุนหนิงพร้อมเงาร่างเล็กที่ก้าวเข้ามาพร้อมขันทีประจำตำหนัก

“ถวายพระพรเพคะ ฮองเฮา...หม่อมฉันชื่อฝูซิน เพิ่งถูกส่งมาเพื่อปรนนิบัติพระองค์เพคะ” เสียงสาวใช้ใหม่แหลมเล็ก ดวงตากลมใสระยิบระยับ ดูไร้พิษภัยติดจะทึ่ม ๆ เสียด้วยซ้ำ

อวิ๋นซินเยว่มองอย่างสงสัย “ทำไมถึงส่งคนใหม่มาอีก...?”

ขันทีโค้งตัว “เป็นคำสั่งฝ่ายในบอกว่าเพื่อแบ่งเบาภาระฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับเบา ๆ ในใจกลับไม่วางใจนัก แต่สายตาใสซื่อของฝูซินกลับทำให้ยากจะจับผิดได้

‘ช่างเถอะ เราคงคิดมากไปเอง หากมีอะไรจริง ๆ เสี่ยวหลิงคงเตือนเราแล้วล่ะ’ อวิ๋นซินเยว่คิดในใจ

……….

ยามค่ำวันนั้น อวิ๋นซินเยว่ตัวสั่นเทา แม้นางกำนัลคนสนิทอย่างจื่อเยว่จะนำเสื้อคลุมขนมิ้งค์สวมทับ และนำผ้านวมเนื้อหนามาคลุมทับให้เจ้านายอีกชั้น แต่ฮองเฮาก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น

“ฮองเฮาเพคะ ให้หม่อมฉันไปตามหมอหลวงดีไหมเพคะ” จื่อเยว่เอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น

“ไม่เอา ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กินอะไรร้อน ๆ ห่มผ้าหนา ๆ แล้วนอนสักตื่นก็หายแล้ว” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ร่างบางภายใต้ผ้านวมหนาก็สั่นเทาจนเสียงที่ออกมาจากลำคอสั่นไปด้วย

“แต่ว่า…” จื่อเยว่ยังไม่ละความพยายาม

“นี่เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ตกลงใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าวกันแน่” อวิ๋นซินเยว่อยากนอนพักสงบ ๆ จึงแกล้งเลียนแบบฮองเฮาในซีรี่ย์ที่เธอชอบดู น้ำเสียงของเธอที่เปล่งออกมา แม้จะสั่นเทาแต่ก็แฝงด้วยอำนาจ และแววตาที่มองไปยังนางกำนัลนั้นยังคมดุอีกด้วย

“ออกไป!”

จื่อเยว่เห็นเช่นนั้นมีหรือจะกล้าเอ่ยปากอันใดอีก นางทำได้เพียงลุกขึ้นยืนก่อนจะย่อตัวทำความเคารพผู้เป็นนาย และเดินออกไปเฝ้าหน้าประตูกับนางกำนัลคนอื่น ๆ และขันทีที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนักคุนหนิง

ขณะที่ห้องเครื่องประจำตำหนักกำลังเคี่ยวซุปร้อน ๆ ให้เจ้านายอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาภายในห้องเครื่อง นางเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่ามีเพียงนางกำนัลตัวเล็กท่าทางขี้กลัวยืนเฝ้าหม้อต้มซุปอยู่ นางก็เดินอาด ๆ เข้าไปทันที

“นี่! เจ้าน่ะ พ่อครัวหลวงเรียกเจ้าไปหา” ฝูซินเอ่ยเสียงเข้ม

“เอ่อ…แต่ว่า ข้าได้รับคำสั่งให้คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้าหากข้าไปแล้วใครจะเฝ้าตรงนี้ล่ะเจ้าคะ?” เสียงเล็ก ๆ แผ่วเบาเอ่ยตอบโต้กลับไป

“เจ้าก็รีบไปรีบกลับสิ หากปล่อยให้พ่อครัวหลวงขุ่นเคือง ต่อไปชีวิตของเจ้าที่อยู่ในห้องเครื่องก็ลำบากแล้วล่ะ เจ้าก็คิดเอาละกัน ข้าไปล่ะ” ฝูซินว่าก่อนจะแกล้งเดินออกไป แต่แท้จริงแล้วกลับแอบซุ่มมองอยู่ไกล ๆ ในพุ่มไม้ที่มองเห็นทางเข้าออกของห้องเครื่องได้อย่างสะดวกดาย

และเป็นดังคาด นางกำนัลคนนั้นรีบร้อนเดินออกไปทันที เท่ากับว่าภายในห้องเครื่องยามนี้ปลอดคนแล้ว หลังจากหันมองไปรอบ ๆ ไม่พบใคร นางก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเร่งเดินเข้าไปยังหม้อต้มซุปทันที

เมื่อไปถึง นางก็ควักขวดยาขนาดเล็กออกมาพลางพึมพำ “เอ...กุ้ยเฟยบอกว่าต้องใส่ปริมาณเท่าไหร่นะ ช่างเถอะ ใส่เยอะยิ่งเห็นผลไว ไม่แน่ว่าครั้งหน้าข้าจะยังมีโอกาสเช่นนี้อีก”

มือเล็กสั่นไหว หยิบผิดขวดโดยไม่ทันสังเกต แทนที่จะเป็นยาพิษ แท้จริงแล้วเป็น ยากระตุ้นจิตประสาท แต่ด้วยความขี้ลืมของฝูซิน นางกลับกะปริมาณผิดมหันต์!

……….

“ฮองเฮาเพคะ ซุปร้อน ๆ มาแล้วเพคะ” จื่อเยว่เอ่ยรายงาน ขณะที่นางกำนัลในห้องเครื่องยกถาดอาหารเข้ามา ก่อนที่นางกำนัลผู้นั้นจะยกถ้วยซุปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยอบกายและถอยออกไป

จื่อเยว่รับหน้าที่ต่อทันที

“ฮองเฮาเพคะ รีบเสวยตอนยังร้อน ๆ เถิดเพคะ” นางกำนัลคนสนิทยกชามซุปส่งให้เจ้านาย อวิ๋นซินเยว่ยื่นมือออกไปรับชามด้วยสองมือสั่นระริก

หญิงสาวดื่มน้ำซุปนั้นโดยไม่เอะใจ แม้จะมีรสขมซ่านติดปลายลิ้น แต่กลับทำให้ร่างกายเริ่มอุ่นวาบ เมื่อจื่อเยว่เห็นเจ้านายยอมกินซุปอย่างว่าง่าย นางก็ถอยออกไป ให้ฮองเฮาได้พักผ่อนเพียงลำพัง

แต่เพียงไม่นาน อวิ๋นซินเยว่ก็สลัดผ้านวมที่ห่มกายออกรวมถึงเสื้อคลุมตัวหนาด้วย เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มใบหน้า และแผ่นหลัง เธอรู้สึกได้เลยว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ สติที่มีก็เริ่มพร่าเลือน

“นี่...ทำไมร้อนแบบนี้...”

ดวงเนตรหงส์สั่นไหว ริมฝีปากเผยอออกโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ไม่เคยกล้าเอ่ยถูกหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“ข้า...ทำไมข้ายังต้องอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่เลย...แต่ทุกครั้งที่มองเขา... ข้ากลับ...”

แก้มของเธอร้อนผ่าวแดงระเรื่อ เสียงสั่นพร่า “กลับเจ็บ...และหวั่นไหว... ฝ่าบาท ทำไมท่านต้องเย็นชาเช่นนี้ด้วย ท่านทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมด...แต่ถึงอย่างนั้น...ข้าก็ยัง”

เสียงเธอขาดหาย แต่ความนัยชัดเจนจนทำให้ฝูซินที่แอบอยู่ด้านหลังหน้าซีดเผือด เพราะในเงามืดของบานประตู จักรพรรดิอวี้เหยียนยืนอยู่เงียบ ๆ

สายตาคมเข้มใต้แสงตะเกียงสะท้อนอารมณ์ที่แม้แต่ใครก็ยากจะอ่านออก เขาได้ยินทุกถ้อยคำที่นางเพิ่งเผลอสารภาพ...

บรรยากาศตึงเครียดราวกับเวลาหยุดเดิน ฝูซินมือไม้สั่นไม่รู้ว่าความผิดครั้งนี้จะทำให้เธอถูกจับได้หรือไม่ แต่สิ่งที่อันตรายกว่ายาพิษใด ๆ คือ... ความลับในใจของฮองเฮา ที่จักรพรรดิได้รับรู้แล้ว

(มุมมองจักรพรรดิอวี้เหยียน)

เสียงของนาง...

คำพูดพร่ำเพ้อในห้วงสติพร่าเลือนนั้น ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาราวกับระฆังทองที่สั่นสะท้อนลงกลางอก

“ฝ่าบาท...ทำไมท่านต้องเย็นชาเช่นนี้...แต่ถึงอย่างนั้น...ข้าก็ยัง”

เพียงประโยคที่ไม่ทันจบ กลับรุนแรงพอที่จะทำให้ปลายนิ้วที่เขากำแก้วชาหนักแน่นจนแทบแตกสั่นสะท้าน

ข้า…จักรพรรดิอวี้เหยียน ผู้ไม่เคยยอมให้สิ่งใดแตะต้องหัวใจแข็งกระด้างของตัวเอง กลับรู้สึกเหมือนกำแพงที่สร้างไว้อย่างสูงใหญ่พังทลายลงไปเพียงชั่วอึดใจ

ข้าจ้องร่างบางที่นั่งซบพนักเก้าอี้ แก้มแดงจัด ริมฝีปากสั่นระริก เผยความอ่อนแอออกมาโดยไร้เกราะกำบัง ราวกับเด็กน้อยในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทอดทิ้งให้อยู่ท่ามกลางสายฝนเพียงลำพัง

ในอก...อุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

แต่แววตาดำสนิทที่ทอดมองไปยังร่างบางยังคงนิ่งสงบ เย็นยะเยือกดุจหยกน้ำแข็งพันปี

“นาง...กล้าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้กับข้า...หรือเป็นเพียงพิษไข้ที่ทำให้นางเพ้อเช่นนี้?”

เขาเอ่ยถามตัวเองในใจ แต่หัวใจกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้น จริงเกินกว่าจะเป็นเพียงภาพลวงตา

กว่าจะรู้ตัว สองขาของข้าก็ก้าวเข้าไปใกล้ เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบา นางกำนัลที่หลบอยู่มุมห้องรีบคุกเข่าก้มหน้า ตัวสั่นราวกับลูกนกในกำมือพญาเหยี่ยว

ดวงเนตรคมดุจคมมีดกวาดมองเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สาวใช้ใหม่แทบขาดใจ แต่ข้าก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิ ไม่ได้เปิดโปง เพียงปรายตาผ่านไป เหมือนรับรู้ทุกสิ่ง...แต่เลือกจะยังไม่ลงโทษ แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้นางกำนัลเล็ก ๆ รีบเร่งออกไปทันที ในห้องนี้จึงเหลือเพียงตัวข้าและนางเท่านั้น

ข้าหยุดยืนตรงหน้าฮองเฮาผู้กำลังเบลอเพราะพิษไข้

พระหัตถ์เรียวเอื้อมออกไป...แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศ

ข้าอยากสัมผัสแก้มนุ่มนั้น อยากเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากให้นาง

แต่ในวินาทีเดียวกัน ก็หวาดกลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หวาดกลัวว่าการยอมให้นางเข้ามาใกล้ชิด อาจทำลายเกราะที่ข้าใช้ปกป้องหัวใจมาตลอด

ริมฝีปากหนาเม้มแน่น สุดท้ายเอ่ยเพียงเสียงทุ้มต่ำ

“...น่าขันยิ่งนัก”

(จบมุมมองจักรพรรดิอวี้เหยียน)

เขาเบือนพระพักตร์เล็กน้อย ราวกับปิดบังความสั่นไหวที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ก่อนจะก้าวถอยออกไปช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นบุหงาอ่อน ๆ และบรรยากาศกดดันที่ยากจะอธิบาย

แต่ในอกลึก ๆ หัวใจที่เคยเงียบงันมานานกลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

จังหวะการก้าวเดินของจักรพรรดิอวี้เหยียนชะงักไปเมื่อเกือบพ้นธรณีประตู สายลมยามค่ำพัดวูบเข้ามา กลิ่นบุหงาจากร่างบางยังตามหลอนอยู่ในโสตสัมผัส ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย

...ไม่เข้าใจตนเองเลยสักนิดว่าทำไมจึงไม่อาจก้าวออกไปได้

เสียงครางแผ่วของสตรีที่นั่งพิงเก้าอี้ดังขึ้นอีกครั้ง

ริมฝีปากนางยังขยับ พึมพำเอ่ยชื่อเขาแผ่วเบา แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน

หัวใจที่แข็งกร้าวดั่งศิลาเหมือนถูกใครหยดไฟลงไปจนมันลุกวาบขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

เพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงก็หันหลังกลับ ก้าวยาว ๆ ตรงไปยังร่างบางในชุดผ้าแพรบางสีอ่อนที่กำลังซวนเซอยู่กับพนักพิง

“...เฮอะ สตรีโง่เง่า”

เสียงทุ้มต่ำคล้ายตำหนิ หากแต่แววตากลับอ่อนแสงลง ไม่แข็งกร้าวดังเช่นก่อนหน้า

อวี้เหยียนก้มตัวลง สอดแขนแข็งแรงอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม นางตัวเบาเหมือนกลีบบัวในยามเช้า ใบหน้าซบลงบนอกเขาโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่น ๆ กระทบผิวผ่านชุดมังกรทอง

“อืมม” เสียงหวานครางแผ่ว คล้ายว่าจะพูดอะไร เขาจึงเอียงหน้าเข้าไปใกล้ กลับถูกริมฝีปากร้อน ๆ ของนางจูบเบา ๆ เข้าที่แก้ม อีกทั้งยังสอดแขนโอบรั้งรอบคอของเขาอีกด้วย

กล้ามเนื้อบนใบหน้าชายหนุ่มกระตุก สันกรามขบแน่น ความร้อนแผ่วเบาที่แทรกซึมจากนางทำให้เกราะน้ำแข็งที่ห่อหุ้มใจเริ่มร้าว ลมหายใจคล้ายว่าจะติดขัดขึ้นมาทันที

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ แม้ว่าที่ผ่านมาจะเห็นมารยาและเล่ห์กลของสตรีในวังหลังมามากมาย แต่ก็มิมีสตรีนางใดจะทำให้เขาหวั่นไหว และก้าวข้ามกำแพงของเขามาได้แม้แต่คนเดียว แต่เหตุใดนางถึงทำให้เขารู้สึกสั่นไหวในอกเช่นนี้

“ฮองเฮา นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่!?” เขาจ้องเขม็งไปยังใบหน้านั้น แต่อวิ๋นซินเยว่ก็ยังหลับตาพริ้มไม่ได้สติเช่นเดิม

“…”

เขาไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก ก้าวย่างมั่นคงพาร่างบางไปวางลงบนเตียงลายเมฆ ห่มผ้าแพรให้แน่นหนา ความระมัดระวังในท่าทางช่างไม่เหมือนชายผู้เคยเอ่ยปากว่า ‘ไม่เชื่อในรัก’ เลยแม้แต่น้อย

นิ้วเรียวยาวเผลอไล้เส้นผมที่หล่นบนแก้มออกเบา ๆ

ชั่วขณะนั้น แววตาคมเข้มอ่อนลงราวกับกำลังจ้องสิ่งที่ไม่กล้าครอบครอง

ขณะที่คิดจะเตรียมผละจากไป อวิ๋นซินเยว่ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   15

    เสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   14

    เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   13

    เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   12

    และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   11

    ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ

  • ฝ่ามิติพลิกชะตาราชาทรราชย์   10

    เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status