เมื่ออุบัติเหตุ ‘บนเตียง’ ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่มีหนึ่งชีวิตก่อเกิดขึ้นมาเป็นพันธะผูกรั้งเอาไว้ เขาจึงต้องทิ้งการแต่งงาน เพื่อมารับผิดชอบ ‘แม่ของลูก’ แม้เกลียดชังเธอเพียงใด แต่หน้าที่พ่อนั้นค้ำคอไว้ ทำให้เขาดิ้นรนหลีกหนีไม่ได้จริงๆ …
Lihat lebih banyakเคยใช่ไหม…รู้ว่าผิด รู้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว แต่กลับห้ามใจตัวเองไม่ได้ มองข้ามไม่ไหว ต้องคอยแอบมอง แอบยิ้มทุกครั้งที่ได้พูดคุยสบตา ทุกนาทีแสนมีค่า เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชอบและลอบประทับใจ
หากเห็นเขาทุกข์ ตัวเองก็ทุกข์ หากเห็นเขาสุข ตัวเองก็พลอยสุขตามไปด้วย รักแท้ที่ไม่เคยหวังผลตอบแทนใด ๆ แต่ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะในที่สุดจากคนแอบรัก กลับเลื่อนขั้นขึ้นมากลายเป็นเจ้าของ
เจ้าของ...ที่เขาไม่เคยนึกต้องการเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
สำหรับเขา เธอก็เป็นแค่พันธะมืดมนที่ดึงรั้งชีวิตเอาไว้เท่านั้น...
พิธีวิวาห์กำลังจะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในอีกสองวัน ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งงานที่สั่งตัดพิเศษจากฝรั่งเศส สถานที่จัดงาน การ์ดแต่งงาน ของชำร่วย รวมถึงออแกไนซ์ชื่อดังที่จ้างให้มาจัดเตรียมงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด คราวนี้ ก็เหลือเพียงแค่รอคอยเวลาเท่านั้น
หลังรับประทานมื้อค่ำเสร็จ ว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็นั่งคุยกันอย่างสุขสันต์ภายในคฤหาสน์หลังงามของฝ่ายชาย เตรียมการสำหรับวันอันหวานชื่น เลือกสถานที่ฮันนีมูนไป หัวเราะต่อกระซิกกันไป ทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลพลอยอิ่มเอิบหัวใจตามไปด้วย เพราะทั้งอิชย์และมินตรา ต่างก็มีความเหมาะสมกันทั้งด้านฐานะและชาติตระกูล ยิ่งมีความรักเป็นตัวผูกพันด้วยแล้ว อะไรก็ยิ่งดูงดงามลงตัวไปหมด
“ผมหมดห่วงเสียที โชคของอิชย์ที่ได้แต่งงานกับหนูมินตรา”
อรรคผู้เป็นปู่เอ่ยขึ้น อิชย์ซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวนั้น นับตั้งแต่เสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุทางเรือเมื่อตอนอายุสิบแปดปี เขาก็กลายเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย แทบไม่เคยยิ้มแย้มให้เห็น แต่ดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากได้พบกับมินตรา
“โสกับคุณพลก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ หลังจากเสียตาโมไปเมื่อสองปีก่อน เราสองคนก็อยากให้ลูกสาวคนเดียวมีคนดีๆ ดูแล ขอบคุณคุณอรรคนะคะที่แนะนำให้ครอบครัวของเราได้รู้จักกับตาอิชย์”
โสภาเอ่ยยิ้มแย้ม หันไปสบตากับภัทรพลผู้เป็นสามีด้วยสายตาเปี่ยมสุข หากโมไนยผู้เป็นลูกชายไม่เสียชีวิตไปเพราะโรคปอด คงดีใจไม่น้อยเช่นกันที่ได้เห็นน้องสาวมีความสุขกับคนที่คู่ควร
แต่ความสุขที่กำลังเกิดขึ้น กลับไม่จีรังยั่งยืนเอาเสียเลย...
ร่างของผู้หญิงบอบบางที่มีหน้าท้องนูนเป่งใหญ่โตจากการตั้งครรภ์ สวมชุดคลุมท้องสีชมพูจางค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องโถงของคฤหาสน์นิธินรางกูร ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
ใบหน้าของเธอขาวซีด ดวงตาอ่อนล้าอิดโรย ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงจากการหายใจรุนแรง ริมฝีปากบางสวยสั่นระริก แต่คนที่กำลังตกใจจนเข่าอ่อน หลังไล่สายตามองจากใบหน้าต่ำลงไปยังท้องที่ใหญ่โต กลับกลายเป็นอิชย์เพียงคนเดียว
หญิงสูงวัยอย่างป้าบุหลันเดินตามหลังหลานสาวเข้ามา ใบหน้าที่หม่นเศร้านั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เมื่อร่างของหญิงตั้งครรภ์ชะงักนิ่ง ไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้า คนเป็นป้าก็ใช้มือรุนหลังให้ก้าวออกไปเผชิญกับความจริง หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ก้มหน้างุดอย่างคนขี้ขลาด แต่เธอก็จำเป็นต้องมาที่นี่ ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะสายเกินไป...
“วาสิตา...” ชื่อที่อิชย์ไม่มีวันลืมหลุดออกมาจากปาก
“คุณอิชย์คะ ป้าขอโทษนะคะที่ต้องพาวามาที่นี่ แต่วาเพิ่งยอมพูดว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใคร”
“นี่มันอะไรกันคะอิชย์ ผู้หญิงคนนี้ มินจำได้ว่าเคยเป็นพนักงานในบริษัทของอิชย์นี่คะ” มินตรารีบขยับลุกขึ้นจากโซฟาเช่นเดียวกันกับว่าที่เจ้าบ่าว ความหวาดหวั่นแล่นริ้วขึ้นมาแสกกลางใบหน้า หัวใจของมินตราเต้นรัว เมื่อแฟนหนุ่มไม่มีคำอธิบายใดๆ
“ใช่ค่ะ วาเคยเป็นพนักงานในบริษัท...ที่ตั้งท้องกับเจ้านายของตัวเอง” ป้าบุหลันอธิบายเสียงดังฟังชัด ทำเอาประมุขใหญ่ของบ้าน นิธินรางกูร ลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ ทางด้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเองก็นั่งไม่ติดที่ไปแล้วเช่นกัน ทุกคนมองหน้ากัน พูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งอิชย์เอ่ยถามวาสิตาขึ้นมา
“แน่ใจหรือเปล่าว่าเป็นลูกฉัน ไหนตอนนั้นเธอบอกว่ามีสามีแล้วไม่ใช่เหรอ!” ชายหนุ่มกลั้นใจถามออกไป มือเย็นเฉียบราวกับ แช่อยู่ในน้ำแข็งก็ไม่ปาน
“วาแค่โกหกไปอย่างนั้นเองค่ะ วาไม่ได้มีใครเลย แล้ววาก็แน่ใจด้วยค่ะว่าลูกในท้องของวาคือลูกของคุณ วา...วาพร้อมตรวจดีเอ็นเอค่ะ ถ้าคุณอิชย์ไม่เชื่อ”
เสียงของวาสิตายามนี้แผ่วระโหย เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร ทั้งอับอาย น่าสมเพช ทุเรศทุรัง...และอีกนับร้อยความรู้สึกพุ่งเข้าใส่ไม่ยั้ง เมื่อเธอเหยียบย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้ เพื่อทำลายการแต่งงานของเขาให้พังพินาศย่อยยับ
“ต้องการเท่าไร” เขาถามเสียงเย็น ทำเอาคนเป็นปู่ถึงกับตวัดสายตามองด้วยความตกใจ
“คงตีเป็นเงินไม่ได้ค่ะ เพราะเราสองป้าหลานไม่ได้มาเพราะเงิน แต่มาเพราะต้องการให้คุณรับผิดชอบวากับลูกในท้อง ถ้าคุณอิชย์ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ขอความกรุณารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำหน่อยเถอะนะคะ อย่าทำให้วาต้องอุ้มท้องลูกตามลำพัง อย่าทำให้เราถูกคนอื่นเหยียดหยามไปมากกว่านี้เลย”
“แต่ผมกำลังจะแต่งงาน”
เขาตอบเพียงแค่นั้น คว้ามือของมินตรามากุมไว้ แต่เธอกลับบิดข้อมือแล้วถอยออกห่าง ส่ายหน้าไปมาด้วยความเสียใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าอิชย์จะนอกใจไปหลับนอนกับพนักงานในบริษัทของตัวเองจนเลยเถิดตั้งท้องอย่างนี้ เมื่อเขามองมา ทำท่าจะอธิบายด้วยความร้อนใจ มินตราก็สะบัดฝ่ามือใส่แก้มไปเต็มแรง
“งานแต่งของเราถือว่ายกเลิกค่ะ แล้วเรื่องของเราก็ควรจบลงด้วยเหมือนกัน!”
มินตราตะโกนใส่หน้าคนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าบ่าวในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องโถงทันที ทางด้านโสภากับภัทรพลเองก็โกรธมาก ทั้งสองคนจ้องหน้าอิชย์ด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ต้องตามยัยมินออกไปเลยนะ! ฮึ...ไม่น่าเลย ฉันไม่น่ายอมให้ลูกสาวมายุ่งกับคนแบบนี้เลย!” ภัทรพลแทบทนไม่ไหว เกือบจะถลันเข้าไปหาอิชย์ แต่โสภาฉุดแขนเอาไว้เสียก่อน
“อย่าค่ะคุณ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับ เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกค่ะ รีบตามออกไปหาลูกกันดีกว่านะคะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ภัทรพลก็ยอมรามือ รีบเดินกระแทกเท้าตามหลังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนออกไป อิชย์กะพริบตาถี่ๆ ภาวนาขอให้นี่คือความฝัน แต่มันกลับเหมือนจริงเสียจนเขาแทบทรงตัวต่อไปไม่ไหว
ชายหนุ่มรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ตื่นตระหนกตกใจ สับสน และแทบตั้งรับไม่ทัน ก่อนที่ทุกความรู้สึกเหล่านั้นจะกลั่นตัวเป็นความเจ็บปวดเสียใจเกินบรรยาย เขาเบือนหน้าหนีจากวาสิตาและป้าบุหลัน ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างคนหมดแรง
“มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง?” อรรคถามอย่างหัวเสีย
“ถามเธอดูสิครับ ผู้หญิงคนนี้ตอบคุณปู่ได้ดีกว่าผมแน่”
อิชย์ยกมือขึ้นขยุ้มผม ก้มหน้าลงอยู่ระหว่างเข่าทั้งสองข้างด้วยความกลัดกลุ้ม ในหัวมีแต่ภาพใบหน้าของมินตราที่ทั้งตกใจและสิ้นหวัง เขาทรมานใจเหลือเกิน อยากตามไปอธิบายทุกอย่าง อยากย้ำว่าเขารักและซื่อสัตย์ต่อแค่เธอคนเดียว แต่ภาพที่วาสิตาเดินท้องโย้เข้ามากลางวง มันทำให้เขาไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรต่อไปอีกแล้ว
“ว่ายังไงหนู ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“วา...วาใช้ยาคุมแล้วค่ะ แต่ก็พลาด” วาสิตาตอบได้เพียงแค่นั้น
“ไม่จริง! เธอต้องการจับฉัน วาสิตา!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น อิชย์ก็ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณอิชย์ วาไม่ได้คิดแบบนั้น...”
“เธอคิด! ใครๆ ในบริษัทก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน เธอจงใจปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจับฉัน ทำลายชีวิตของฉัน!”
ชายหนุ่มหมดสิ้นความเป็นสุภาพบุรุษ เพียงเพราะคิดว่าต้องสูญเสียผู้หญิงที่รักสุดหัวใจอย่างมินตราไป อิชย์ก็สติแตก แทบทนรับความจริงไม่ไหว จนกระทั่งป้าบุหลันก้าวเข้ามาหา แล้วตบหน้าเขาซ้ำรอยมือของมินตราไปเต็มแรง
“คุณเอาแต่โทษหลานสาวของป้า ทำไมไม่โทษความมักง่ายของตัวเองบ้าง!”
“วาสิตารู้ทั้งรู้ว่าผมเมา! แต่เธอก็ยังเข้ามายั่วยวนผมจนเลยเถิด วาสิตาจงใจให้มันเกิดขึ้น เธอจงใจจับผม! ผู้หญิงร้ายกาจ...รู้ดีแก่ใจว่าผมกำลังจะแต่งงานแท้ๆ แต่ยังกล้าเอาเรื่องนี้มาทำลายผม ถ้าไม่ได้คิดจะล้มงานแต่ง ทำไมถึงไม่มาบอกให้มันเร็วกว่านี้!”
เขาตะโกนลั่นจนแม้แต่บรรดาสาวใช้ก็ยังสะดุ้งด้วยความกลัว
“วา...” วาสิตาร้องไห้จนพูดไม่ออก
เธอไม่เคยเห็นความโกรธเกลียดในดวงตาของเขาแบบนี้มาก่อน แม้จะตัดสินใจดีแล้วว่าควรปรากฏตัวก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป แต่พอเห็นเขาเจ็บปวด เธอก็แทบทรุดด้วยความรู้สึกผิด เรื่องระหว่างเธอและเขา มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุในค่ำคืนหนึ่ง เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าหลับนอนกันครั้งเดียวจะทำให้พลาดท้องได้
“ใช่ลูกของฉันแน่หรือเปล่าก็ไม่รู้ มีอะไรมายืนยันฮะ!”
เขาตวาดลั่น แล้วบิดริมฝีปากยิ้มเย้ยหยัน
“รอให้เด็กคลอดก่อน แล้วคุณจะได้รู้แน่ค่ะ คุณอิชย์”
บุหลันตอบคำถามนั้นแทนหลานสาว
“พาหลานสาวของคุณกลับไปก่อนเถอะนะ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง ไม่ต้องกังวล ถ้าเด็กในท้องเป็นสายเลือดของนิธินรางกูรจริง ผมไม่ทอดทิ้งเหลนของผมแน่ แต่ถ้าไม่ใช่...คุณกับหลานสาวของคุณจะต้องรับผิดชอบที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย ตกลงไหม” อรรคเอ่ยเสียงเฉียบขาด นึกตำหนิหลานชายอยู่ในใจที่ใช้อารมณ์จัดการกับปัญหาได้แย่มาก
“ตกลงค่ะ ถ้าเด็กไม่ใช่ลูกของคุณอิชย์ ฉันยินดีชดใช้ให้ครอบครัวของคุณทุกอย่างเลย”
บุหลันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ เชื่อในคำพูดของวาสิตาหลานรักมากที่สุด นางเลี้ยงลูกสาวของน้องสาวมาตั้งแต่ยังแบเบาะ แทบจะเป็นแม่อีกคนมากกว่าป้าแล้วด้วยซ้ำ มีหรือที่จะไม่รู้ว่าวาสิตามีนิสัยใจคออย่างไร
เอาเถอะ...สักวันความจริงจะเปิดเผยแน่
นับตั้งแต่มะปรางจากไปพร้อมกับลูกในท้อง เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครมาแทนที่ภรรยาสุดที่รักอัญรสเองก็บริสุทธิ์ใจเสียจนคิดน้อย ลืมไปแล้วว่าคนข้างตัวเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและกำลังมึนเมาเสียด้วย เธอพาเขาเข้าไปในห้อง นึกโล่งใจที่ตอนนี้มารดาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นท่านคงดุด่าว่ากล่าวอย่างหนักแน่ ที่เธอให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านเกลียดชังเข้าไส้“เดี๋ยวค่ะ ไปห้องน้ำสิคะ อย่าอ้วกใส่เตียงนะพี่ชิน!”เธอร้องบอก เมื่อเขาไม่ยอมให้ประคองไปทางห้องน้ำ แต่กลับโซซัดโซเซไปที่เตียงนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนนั้นแทน เจ้าของห้องมองแล้วถอนหายใจพรืด โล่งอกไปที่เห็นเขาหลับตาลง ไม่ได้อาเจียนพุ่งอย่างที่เธอนึกกังวลไปเองอัญรสยืนเคว้งอยู่กลางห้อง หัวใจเต้นรัวในตอนที่ก้าวช้าๆ ไปยืนมองชยุตม์ พี่ชายข้างบ้านที่เธอเคยปลื้ม แต่ตอนนี้กลายเป็นหลงรักจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอนวัตผู้เป็นพี่ชายเกิดความหมางใจกับเพื่อนสนิทคนนี้เข้า เธอก็คงได้วนเวียนใกล้ชิดเขาไม่ห่างเหมือนเมื่อก่อนอัญรสยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ให้ชยุตม์ช่วยสอนทำการบ้านบ้าง ช่วยประดิษฐ์งานส่งอาจารย์บ้าง แล้วยังช่วยติ
แน่นอนว่าเมื่อเหล้าเข้าปาก ใครเล่าจะหยุดยั้งได้...ดื่มไป คุยไป ได้อรรถรสจนเผลอรินเพิ่มอีกไม่รู้กี่แก้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว คู่บ่าวสาวเพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องสวีตสุดหรู ชั้นบนสุดของโรงแรม หลังคุณปู่อรรคกับป้าบุหลัน รวมทั้งคนสนิทอื่นๆ อีกไม่กี่คน ขึ้นไปร่วมอวยพรและส่งตัวบ่าวสาวแล้ว บรรดาเพื่อนสนิทของวาสิตาก็ยังไม่ยอมแยกย้ายกันกลับ แต่ลงมานั่งดื่มและคุยกันต่อ เพราะไหนๆ ก็ได้มารวมตัวกันทั้งที จึงอยากสนุกกันเต็มที่ไปเสียเลย“ชิน พอเถอะลูก ขึ้นข้างบนไปพักผ่อนเถอะ” บุหลันเห็นลูกชายลืมตัวดื่มไปมากก็นึกห่วง เดินมาชักชวนให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เปิดไว้ เพราะตอนนี้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว“อีกแป๊บนะครับแม่ กำลังคุยกับเจ้าโปรดสนุกๆ เลย” ชยุตม์ บอกเสียงอ้อแอ้“แต่ถ้าดื่มต่อ แม่กลัวชินจะกลับขึ้นห้องไม่ไหวน่ะสิ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปูให้โปรดพาขึ้นไปส่งก็ได้ค่ะ” เปรมิกาเสนอ“ใช่ครับ คุณป้า เดี๋ยวโปรดพาพี่ชินขึ้นไปส่งให้ก็ได้ครับ วันนี้โปรดกับปูก็เปิดห้องที่นี่ไว้แล้วเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ชั้นเดียวกันกับคุณป้าด้วยครับ”“ก็ได้ลูก ถ้างั้นป้าฝากพี่ชินเขาด้วยนะจ๊ะ”เมื่อปรีชาวัฒน์กับเปรมิกาอาสาว่าจ
หนึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งงานใหญ่โตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น อิชย์ควงภรรยาเดินอวดไปทั่วงาน แสดงความรักด้วยการจูงมือและหอมแก้มวาสิตาอวดคนอื่นอยู่บ่อยๆ เขาโง่มากที่ก่อนนี้มองไม่เห็นความงดงามทั้งภายในและภายนอกของเธอ แต่ช่างเถอะ นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่...คุณปู่อรรค เปรมิกา ปรีชาวัฒน์ ยาตรา รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งทางฝ่ายวาสิตาและอิชย์ ต่างก็ยิ้มแย้มยินดีกับคู่บ่าวสาว พยานรักตัวน้อยในวัยเก้าเดือนเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคน ไม่ร้องไห้โยเยกวนใจใครเลย ราวกับเป็นใจให้พ่อและแม่ได้มีคืนวันที่ดีร่วมกัน“วันนี้เมียผมสวยจัง” เจ้าบ่าวดื่มเข้าไปไม่น้อยจึงปากหวานนัก“อย่าดื่มมากนักนะคะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา...”“กลัวผมไม่ไหวเอา หรือกลัวผมเอาไม่ไหวกันแน่” เขาหัวเราะร่วน“คุณอิชย์! พูดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”เจ้าสาวที่สง่างามและโดดเด่นน่ามองที่สุดในค่ำคืนนี้ ตีเบาๆ ตรงอกสามี ห้ามปรามไม่ให้เขาทำตัวก๋ากั่นนักต่อหน้าผู้คน โชคดีที่ผ่านช่วงที่ต้องขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวทีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเธออายม้วนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ“ไม่เห็นต้องอายใครเลย
“เพราะความรักและการสำนึกผิดล้วนๆ เลยน่ะสิที่ทำให้ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปอีกสักสิบปี ผมก็ยอมนะวา ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เรียบง่าย ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็พอ ผมรักลูก ผมอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีบ้าง ถ้าคุณยอมให้โอกาสผม...”ดวงตาของคนพูดทอประกายอ่อนลง เมื่อเอ่ยถึงแก้วตาดวงใจ วาสิตาถึงกับคอแข็ง เพราะถ้อยคำที่ตัวเองรอฟังยังคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขา“ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณรักลูก แล้วคุณมีแผนยังไงต่อเหรอคะ ถ้าฉันยอมให้โอกาสคุณ คุณจะเอายังไงกับลูก แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงทนไม่ได้แน่ ถ้าคุณจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ ถึงจะแค่วันเดียวฉันก็คงทนไม่ได้ ฉันยอมรับค่ะว่าติดลูกมาก เพราะแทบไม่เคยปล่อยให้แกห่างอกเลย” หญิงสาวบอกความรู้สึกออกไปตามตรง“ผมก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะพาลูกกลับไปกับผมแค่คนเดียวนี่วา ผมอยากให้คุณกลับไปกับผมด้วย”“จะดีเหรอคะ ถ้าวันนึงคุณเกิดอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร...”“เดี๋ยวนะ! นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”อิชย์รีบขัด ยกมือห้ามไว้ไม่ให้เธอพูดต่อ“ที่คุณยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกไม่ใช่เหรอคะ คุณรักลูกมาก แล้วฉันก็จะเลิกขัดขวางคุณ เพียงแต่ฉันกำลังบอกคุณไปตา
อิชย์ขยับตัวเบาๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลพุ่งเข้ามาปะทะจมูกเป็นสิ่งแรก ตามด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เขาขนลุกด้วยความเหน็บหนาวราวกับคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองออก เพราะทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิดการทำงานของมันทันที ชายหนุ่มอยากขยับหันไปมองว่าใครกันที่สละเวลามาเฝ้าดูแลเขา แต่อาการปวดหนึบบริเวณศีรษะที่ถูกเย็บมากกว่าสิบเข็ม ทำให้เขาจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ไปก่อน“เป็นยังไงบ้างคะ”เสียงหวานคุ้นหูทำให้อิชย์ลืมตัว รีบหันไปมองทันที“โอ๊ย!” คนเจ็บร้องลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด“ระวังหน่อยสิคะ! คุณหัวแตกนะ ไม่ได้เป็นไข้หวัด”วาสิตาลุกพรวดจากเก้าอี้ ยืนอยู่ข้างเตียงในจุดที่มองสบตากับคนบนเตียงได้อย่างถนัดถนี่อิชย์หน้าซีดเผือดเหมือนไข่ปอก คุณหมอบอกว่าเขาเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดได้ทันและตามรถพยาบาลได้เร็วทันใจ เขาจึงไม่ช็อกเสียชีวิตไปเสียก่อนรู้แบบนั้นวาสิตาก็ใจหายมาก ตัดสินใจให้ป้าบุหลันกับชยุตม์กลับไปช่วยกันดูแลลูกชาย ส่วนเธออาสาเฝ้าดูแลอิชย์เสียเอง หวังจะไถ่โทษที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้“นี่ผมหลับไปนานมาก
ยิ่งเมื่อภาพเลือดแดงฉานวกเข้ามาในหัว หญิงสาวก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น มองมือของตัวเองแล้วน้ำตาไหล...เธอโทษว่าเขาเลว แต่ตัวเองกำลังเดินตามรอยเดียวกันตอนนั้นเองที่คำพูดของชยุตม์ดังขึ้นในความคิด...‘วารู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยเข้าข้างใครไปมากกว่าวา พี่เจ็บแค้นแทนวามาตลอดที่วาถูกอิชย์มันรังแก แต่พี่ก็ไม่ใช่พวกหูเบาหัวอ่อนนะ พี่มองออกว่าสิ่งที่มันอดทนทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มันเข้าใจว่าพี่กับวาเป็นผัวเมียกัน มันก็ไม่เคยยอมแพ้ มันบอกไอ้เชิดว่าต่อให้วามีใครสักร้อยคน มันก็จะอดทนสู้ต่อไป ถ้ามันยังสันดานเหมือนเดิมล่ะก็นะ ป่านนี้มันคงฉุดวาแล้วก็แย่งลูกคืนไปนานแล้ว มันทำได้ แต่มันก็ไม่ทำ วาจะเกลียดมัน พี่ไม่ว่า แต่มันเจ็บปางตายแบบนี้ วาจะใจดำได้ลงคอเหรอ!’สิ่งที่พี่ชายของเธอพูด ถูกต้องที่สุดแล้ว หากอิชย์ต้องการตัวลูกจริง เขามีอำนาจมากพอที่จะแย่งชิงยอดดวงใจไปจากเธอได้ตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนรอหรือพิสูจน์ตัวเองด้วยความยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้แม้อิชย์จะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลเหมือนจามร แต่ตระกูลของเขาก็สามารถสั่งการทุกอย่างได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกม
Komen