เข้าสู่ระบบจิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป
“บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิด ส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที” “เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ “อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อ จนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว “จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่ จิ่นหรงยกยิ้ม หากเป็นแต่ก่อนเขาคงนึกรังเกียจคำเชิญชวนของนาง ทว่าหลายคราแล้วที่เขาเห็นมู่ตันหยางทำท่าเชิญชวน ใจหนึ่งเลยอยากรู้ว่านางปรารถนาอย่างปากพูดหรือไม่ เขาเปลื้องอาภรณ์ด้านบนต่อหน้านางจนเหลือเพียงกางเกงสีดำติดกาย จากนั้นร่างกำยำก็ก้าวลงมาในบ่อ และนั่งห่างจากนางไปเพียงแค่หนึ่งช่วงแขน ตันหยางยกยิ้มก่อนจะปิดเปลือกตาลง มือก็กวักน้ำใส่ตัวเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ราวกับในห้องนี้มีนางผู้เดียว ด้านจิ่นหรงยามนี้เขาเอาแต่จ้องใบหน้างามที่พรมไปด้วยหยดน้ำปละปลาย และเลื่อนต่ำลงมาที่ไหปลาร้า กระทั่งถึงเนินขาวอวบที่ผูกผ้าเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ หากนางลุกขึ้นมันจะหลุดไหมนะ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดสัปดนผุดขึ้นมา มือเรียวจึงรีบกวักน้ำล้างหน้าตนเอง เพื่อให้สติกลับคืนมา ตันหยางหันมามองเขาเล็กน้อย คิ้วสวยเริ่มชนกันอย่างไม่เข้าใจ เพราะบัดนี้สามีเอาหัวจุ่มน้ำไปแล้ว “ร้อนหรือเพคะ ถึงได้ทำเช่นนั้น” ใบหน้างามเอียงมอง จิ่นหรงยกมือลูบหน้าตนก่อนจะหันมาหาชายาที่ยังคงจ้องตนอยู่ “ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้อาบน้ำดีดีเลย” เขาเอ่ยแก้ตัว “เช่นนั้นอยากสระผมหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะจัดการให้ มีสมุนไพรที่เราทำขึ้นเองอยู่หลายกลิ่น อยากลองไหมเพคะ” “เจ้าหมายถึงจะล้างหัวให้ข้าหรือ” “ตามนั้นแหละเพคะ” ตันหยางยิ้มอ่อนให้อย่างเป็นมิตร ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่ง กระทั่งเขาตัดสินใจเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าไม่โกรธข้าหรือ” “โกรธ!” ตันหยางหยุดคำพูดของตนไว้ก่อนจะเอ่ยอีก “แล้วได้อะไรหรือเพคะ คำพูดคนไม่รู้จักคิด ถือสาไปก็หนักเปล่า” จิ่นหรงถึงกับสะอึกจนพูดอันใดไม่ออก ชายาตัวน้อยจึงเอ่ยขึ้นมาเองว่า “มานั่งตรงนี้เพคะ จะล้างผมให้” น้ำเสียงนางยังคงราบเรียบ แต่ก็แฝงความอบอุ่นเจือปนติดมา และไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด รัชทายาทจึงได้เชื่อฟังขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะถูกมือเล็กดันไหล่ให้เขาหันหลังแทน จากนั้นร่างอรชรก็ลุกขึ้นนั่งบนขอบบ่อ แล้วรั้งไหล่เขาพิงมาที่หว่างขาตน “หลับตาไว้นะเพคะ ประเดี๋ยวสมุนไพรเข้าตามันจะแสบ” บอกเขาเสียงอ่อน อีกฝ่ายก็ทำตามราวกับต้องมนต์ จากนั้นตันหยางก็เทน้ำสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมลงบนฝ่ามือ เมื่อถูจนเกิดฟองเล็กน้อยนางก็วางลงบนศีรษะเขา นวดคลึงไปมาอยู่หลายหน เพราะผมของจิ่นหรงนั้นหนามาก เมื่อปล่อยสยายลงมายาสระขวดเดียวจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ หลังจากศีรษะเต็มไปด้วยฟอง กลิ่นหอมของสมุนไพรก็เริ่มโชยมาให้ได้สูดดม บวกกับการนวดคลึงและเกาเบา ๆ องค์รัชทายาทก็ถึงกับครางพอใจในลำคอ “ชอบหรือเพคะ” “อืม…” ตอบกลับเสียงแผ่ว ยามนี้เขาแทบจะหลับเลยก็ว่าได้ เพราะตลอดสองวันมานี้มีเรื่องเครียดมากมาย เขาแทบจะหลับไม่เต็มอิ่มเลยด้วยซ้ำ เมื่อถูกสัมผัสเบาสบายจึงทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด แต่ก็เพียงแค่หนึ่งเค่อ ตันหยางก็เอาน้ำราดเพื่อทำให้อีกฝ่ายตื่น เพราะเกรงแช่น้ำนานไปเขาจะเป็นหวัด “ไยเจ้าไม่ปลุกข้า” “ก็เห็นพระองค์ทรงหลับสบายจึงไม่อยากกวน ทรงถอยออกไปก่อนเพคะ ขอหม่อมฉันขยับขาหน่อย” นางรีบบอกเขา เพราะผู้เป็นสามีเอนพิงมาทั้งตัวจนขาชาไปหมดแล้ว ร่างกำยำจึงรีบเคลื่อนตัวออกมานั่งห่างนิดเดียว พร้อมกับมองนางอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ” “เรื่องไหนล่ะเพคะ” ตันหยางจ้องหน้าเขา “ทุกเรื่อง” เอ่ยแล้วใบหน้าคมคายก็หันหนี “เพคะ” ตอบรับอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาคนเอ่ยถึงกับหน้าเจื่อนไปเอง เพราะท่าทางของตันหยางดูไม่ใส่ใจจริง ๆ ‘นางไม่มีหัวใจหรืออย่างไร’ นึกในใจอย่างฉงน “ขยับมาเพคะ จะได้ล้างผม” เสียงอ่อนเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายก็ขยับมาใกล้ ปล่อยให้นางตักน้ำใส่ศีรษะพร้อมกับนวดคลึงอีกหน กระทั่งแล้วเสร็จ นางก็ม้วนผมแล้วบีบน้ำออกให้ “เอาผ้าคลุมไว้ก่อนนะเพคะ ขึ้นจากน้ำแล้วค่อยเช็ด” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับดันร่างกำยำออกห่าง จากนั้นนางก็ลงมาแช่น้ำเพื่อล้างเนื้อตัว ส่วนผู้เป็นสามีก็ก้าวขึ้นด้านบน และเปลี่ยนอาภรณ์ตรงฉากกั้นไม่นานก็แล้วเสร็จ ทว่าเขายังไม่ยอมออกไป “จะอยู่ทำไมเพคะ” “ทำไม ไม่กล้าเดินขึ้นมาหรือ” จิ่นหรงท้าทาย ตันหยางหลับตาค้อนไปหนึ่งที ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากน้ำโดยไม่ยำเกรงสายตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จิ่นหรงก็ได้แต่ยืนนิ่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เมื่อได้เห็นรูปร่างของชายาตนที่ถูกผ้าเปียกแนบติดเนื้อกายจนเผยให้เห็นทุกสัดส่วน “คนชีกอ สัปดน” ตันหยางก่นด่าเขาซึ่งหน้า ก่อนจะเดินเลี่ยงมาเปลี่ยนอาภรณ์ที่ถูกตระเตรียมเอาไว้แล้ว โดยมีพระสวามียืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมมาก็คือโลหิตที่ไหลออกทางจมูก จนเขาต้องรีบเงยหน้าขึ้น เมื่อตันหยางเดินออกมาเห็นอาการเขาก็ได้แต่เม้มปากกลั้นขำ “ไหวไหมเพคะ” ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยว่า“ไม่น่าจะไหลแล้วเพคะ ออกไปเช็คผมเถิด หม่อมฉันง่วงแล้ว” “นอนตั้งสองวันยังจะง่วงอีกหรือ” “ง่วงเพคะ” ตันหยางหันกลับมาตอบเขา ผู้ที่เดินตามมาจึงหยุดชะงัก ทำให้ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดติดกันโดยไม่ตั้งใจ ร่างอรชรจึงรีบขยับถอยแล้วหมุนตัวก้าวหนีออกไป จิ่นหรงยกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินตามนางไปที่ริมหน้าต่าง ซึ่งตันหยางนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเอาผ้าถูผมตนเอง เขายืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ในใจอยากเอื้อนเอ่ยอาสาทำให้ ทว่าปากมันก็หนักเสียเหลือเกิน 'ไม่ได้ หากเราพูดไป นางต้องคิดว่าข้าสนใจนางเป็นแน่’ นึกในใจก่อนจะเดินย้อนกลับมาที่โต๊ะ แล้วเขาก็นั่งเช็ดผมตนเองพร้อมกับเหลือบมองนางไปด้วย และในบางครั้งทั้งคู่ก็สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ “มานั่งตรงนี้เพคะ โดนลมจะได้แห้งไวไว” ตันหยางร้องเรียกอีกฝ่ายที่ยังคงเช็ดผมอย่างเบามือ ร่างสูงจึงก้าวเดินไปนั่งตรงข้ามกัน แต่ก็ถูกชายาตัวน้อยดันไหล่ให้หันไปทางอื่น จากนั้นนางก็แย่งเอาผ้าในมือเขาไปเช็ดให้ บางครานางก็ใช้มือสางเพื่อไม่ให้มันยุ่งเหยิง “หอมไหมเพคะ” มือขาวจับกลุ่มผมมาให้เขาดม “อืม…สมุนไพรนี่เจ้าทำเองหรือ” เมื่อได้โอกาสชวนคุย เขาจึงรีบเอ่ยทำลายความเงียบเสีย “ใช่ หม่อมฉันกับพี่ตันหยงทำเก็บไว้ใช้ตั้งแต่อยู่เมืองผิงแล้ว เรากำลังคิดอยู่ว่าเมื่อใดที่หอการค้าเราเปิด หม่อมฉันจะทำเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ขาย ทว่ายามนี้แต่งงานเข้าวังแล้ว ไม่รู้จะทำได้หรือไม่” น้ำเสียงช่วงท้ายแผ่วลง “หากเจ้าอยากทำก็แค่ลงมือ ขอแค่ทำให้มันถูกต้องตามกระบวนการของกฏหมายบ้านเมืองก็เพียงพอ” “ได้จริงหรือ?” ตันหยางรีบขยับมานั่งข้างเขาจนแทบจะเกยเข่า “มิได้ห้ามให้คนในราชวงศ์ทำการค้าหรือเพคะ” “คะ… ใครบอกเจ้า ราชวงศ์เจิ้งของเราไม่เคยห่วงห้าม ขอเพียงจ่ายภาษีและไม่ขายสินค้าที่มีราคาสูงเกิน ย่อมสามารถขายได้อยู่แล้ว” จิ่นหรงบอกกล่าวเสียงติดขัด เพราะยามนี้เขากับนางใกล้กันมากเหลือเกิน และเหมือนตันหยางจะรู้ตัวแล้ว นางจึงรีบขยับลุกมายืนด้านหลังเพื่อเช็ดผมต่อสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







