'หรงหราน' พลาดพลั้งตกหน้าผา หากก็ได้ 'เหล่ยเซิน' ชายเคราดกจอมป่าเถื่อนจากหมู่บ้านกลางป่ากลางเขาช่วยเหลือเอาไว้ หากทวา...หลังจากช่วยรักษานางจนหายดีแล้ว เขากลับจับนางแต่งงานและเข้าหอเสียเดี๋ยวนั้น!!??
View Moreบทที่ 1
คุณหนูแห่งจวนแม่ทัพสิ้นชีพ!
ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด บนกองใบไม้ใบหญ้า หญิงสาวนอนนิ่ง ชุดสีชมพูอ่อนแสนโปรดปรานขาดวิ่น ตามเนื้อตัวก็มีแต่บาดแผลและเลือดที่แห้งเกรอะกรังแล้ว
ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสจนสลบไปก็หลายครั้ง จากสภาพไม่คิดว่าน่าจะรอดชีวิต แต่นางก็ยังฟื้นขึ้นมาพบว่าตนอยู่ใต้หุบเขาลึกดังเดิม
ต่อให้รอดพ้นจากความตายมาได้ หากต้องมานอนนิ่งเหมือนผักเช่นนี้ ตายๆ ไปเสียไม่ดีกว่าหรือ นางคิดอย่างประชดประชันระคนอึดอัดที่ตนไม่อาจขยับร่างกายไปไหนได้
สรรพสำเนียงรอบตัวเงียบกริบ นางทำได้แค่นอนนิ่งมองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้อย่างไร้ประโยชน์
เงียบ...
เงียบเกินไป...
หากว่าต้องมาอยู่ในสภาพนอนรอความตายเยี่ยงนี้ ตอนตกหน้าผา...นางน่าจะตายตั้งแต่ตอนนั้นเสียเลย และแล้ว ความคิดอย่างท้อใจก็ย้อนกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้นางควรเชื่อฟังคำเตือนของท่านพ่อ ไม่ควรออกมาขี่ม้ายิงธนูกับพวกคุณชายหยวนและแม่นางลู่เลย ให้ตายสิ!
ถึงจะเจ็บใจ หากก็ทำได้เพียงนอนนิ่ง...
การที่นางต้องมามีสภาพจะตายแหล่มิตายแหล่เช่นนี้ ให้เล่าย้อนความก็ยาวอยู่ แต่นางจะสรุปคร่าวๆ นามของนางนั้นคือหรงหราน แซ่โจว เป็นบุตรสาวคนเล็กและเป็นสตรีเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่มีแต่ผู้ชาย บิดาของนางเป็นแม่ทัพใหญ่ ด้วยเพราะเติบโตมากับบิดามารดาที่ห้าวหาญ การขี่ม้ายิงธนูจึงเป็นสิ่งที่หรงหรานถนัด
หรงหรานออกบ้านมาเที่ยวเล่นกับคุณชายแซ่หยวน นามหลิงอวี้ เขากับนางชอบพอกันมานานหลายเดือนแล้ว ส่วนแม่นางลู่ที่กล่าวไปข้างต้น สตรี้ผู้นี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของหยวนหลิงอวี้ เวลาหยวนหลิงอวี้ไปที่ใด แม่นางลู่ก็จะติดตามไปด้วยเสมอ
ระหว่างกำลังขี่ม้าล่าสัตว์ อยู่ดีๆ ม้าที่หรงหรานควบขี่เป็นประจำกลับตื่นกลัวอะไรบางอย่าง มันวิ่งเตลิดแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ จากนั้นทั้งม้าทั้งคนก็ผลัดตกหน้าผา
ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ขึ้นใต้หุบเขาช่วยชะลอความเร็วของการล่วงตกจากที่สูง
ทว่า...ต่อให้นางไม่ได้ตายทันที แต่ก็ตื่นมาในสภาพล่อแล่ใกล้ตาย ไม่อาจขยับไปไหนได้ ทั้งยังนอนโดดเดี่ยวอยู่ใต้หุบเขาแสนเงียบเฉียบ
ที่นี่ไม่ใช่กลางถนนในเมืองใหญ่ จะมีใครบังเอิญผ่านมาช่วยนางกันเล่า!
หรงหรานคิดด้วยความโมโห
ทว่าเพิ่งคิดเช่นนั้น ก็เสียงกรอบแกรบดังขึ้น เป็นเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนใบไม้แห้ง
สัตว์ป่าหรือ?
นางตื่นตระหนก ร้อนรน หากก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกหนี สิ่งที่พอจะขยับได้มีเพียงดวงตาที่ส่ายมองซ้ายทีขวาที
ทันใดนั้นสิ่งที่ยื่นเข้ามาอยู่ในแนวสายตาก็คือ...ขน!?
ใช่ ขนดกดำ
หรงหรานที่นอนนิ่ง หากในใจร้อง ‘เหวอ!!!’ ด้วยความหวาดผวาพร้อมกับดวงตากลมโตที่เบิกกว้าง
ทว่าเมื่อมองดีๆ แล้ว ภายใต้ขนดกดำนั้นกลับเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง
ที่แท้ก็คน มิใช่ผี!
หัวใจของหรงหรานพลันสงบลงทันทีเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือผีสาง ก่อนมองสำรวจชายที่มีหนวดเครารกครึ้มต่อ เขาแต่งตัวซอมซ่อ บนเอวมีขวานสะพายอยู่ด้วย...
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ เขาที่ก้มมองนางเพียงครู่ย่อตัวลงและลุกขึ้น ทันใดนั้นร่างของหรงหรานก็ถูกจับยกแบบไม่บันยะบันยัง
‘นี่เจ้า จะพาข้าไปไห...’
จนใจที่นางบาดเจ็บสาหัสเกินไป ทั้งที่คิดว่าตนโพลงถามออกไปเช่นนั้น ทว่าอาการเจ็บกลับทำให้นางขยับปากพูดไม่ได้ มิหนำซ้ำ แรงกระแทกยามเขาก้าวเท้าเดินไปข้างหน้ายังทำให้นางกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“อะ อั่ก…”
เมื่อเห็นนางกระอักเลือดออกมาคำโต ชายเคราดกก็หยุดฝีเท้า สกัดจุดบางอย่างบนตัวนาง เพียงอึดใจเลือดก็หยุดไหล
ผู้ชายคนนี้รู้จักจุดห้ามเลือดด้วยหรือ คงไม่ใช่คนป่าคนเขาธรรมดาแล้วกระมัง
แต่แล้ว ความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้งอีกครั้งราวกับพลิกฝ่ามือเมื่อเขาออกวิ่ง
ความเร็วของฝีเท้า แรงกระเทือนยามที่เขาย่ำพื้นหนักยิ่งกว่าเก่า
นางถูกเขาอุ้มก็จริง หากก็อยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนไปตลอดทาง
ถึงตอนแรกการกระทำของเขาชวนให้คิดว่ารอดตายแล้ว หากหรงหรานกลับไม่รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด เพราะตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สำหรับเขาคำว่าป่าเถื่อนยังถือว่าน้อย
ท่ามกลางสายลมที่พัดวูบวาบกรีดผิว เสียงสวบสาบจากฝีเท้าที่เหยียบย่ำใบไม้ นางถลึงตามอง ทั้งยังด่าเขาในใจอีกหลายชุด
‘@€%..@#&%E**!!!’
ถ้าอยากจะช่วยกันจริงๆ อย่างน้อยช่วยทำกับคนใกล้ตายอย่างเบามือกว่านี้หน่อยเถอะ
สภาพของหรงหรานตอนนี้ ไม่ตายก็เหมือนกับตาย!
ณ จวนแม่ทัพโจว
“คุณชายหยวนจะบอกว่า...หรงหรานของข้าขี่ม้าผลัดตกหน้าผาเองหรือ ซ้ำร้ายจนป่านนี้ก็ยังหาร่างของนางไม่พบ!?”
แม่ทัพโจวหรือโจวจิ้งรุย บิดาของโจวหรงหรานมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ถามย้ำกับคุณชายหน้าละอ่อน ซึ่งมองปราดก็รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังโกหก
หยวนหลิงอวี้ บุตรชายคนรองแห่งจวนเสนาบดีกรมพระคลังยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่ออย่างร้อนตัว
“ขอรับ ข้าออกตามหาแม่นางโจวจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่พบ หุบเขาทางใต้ของเมืองเล่อฉาง ว่ากันว่าทั้งลึกและยังมีสัตว์ร้ายชุกชุม ถึงอย่างนั้นข้าก็พยายามค้นหานางต่อ กระทั่งฟ้ามืด หาต่อไม่ได้แล้ว ข้าเลยตัดสินใจกลับมาบอกท่านแม่ทัพโจว”
“อ้อ อย่างนั้นเองหรือ”
คิ้วคมเข้มของโจวจิ้งรุยเลิกขึ้นในขณะพูดประโยคนั้น
หน้าผาที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองเล่อฉางเป็นเช่นนั้นจริง ว่ากันตามเหตุผล หรงหรานผลัดตกหุบหน้าผานั้นย่อมมีอันตรายถึงชีวิต นางมีโอกาสไม่ถึงครึ่งที่จะรอดกลับมา และจนป่านนี้...ย้ำว่า จนป่านนี้ หยวนหลิงอวี้กลับเพิ่งมาแจ้งข่าวให้สกุลโจวทราบว่าหาร่างของนางไม่เจอ ไม่รู้ว่าเสาะหาอีท่าไหน เสื้อผ้าของหยวนหลิงอวี้ถึงได้ยังสะอาดสะอ้านเหมือนครั้งที่เพิ่งมารับหรงหรานออกไป
แม่ทัพใหญ่มองหยวนหลิงอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีส่วนไหนมอมแมมเหมือนคนที่เพิ่งบุกป่าผ่าดงค้นหาคนเลยสักนิด ยังมีหน้ามาบอกว่าตามหาหรงหรานสุดกำลัง โกหกทั้งเพ ไอ้เด็กเฮงซวย!
เหตุใดบุตรสาวของเขาถึงได้ชอบผู้ชายไร้น้ำยาเช่นนี้กัน
“อุตส่าห์มาบอกเรื่องของหรงหราน รบกวนคุณชายหยวนแล้ว”
ประโยคนี้แม่ทัพโจวผู้ยิ่งใหญ่กัดฟันพูด ทั้งที่ในอกร้อนรุ่มเพราะเป็นห่วงบุตรสาว และหากว่าไม่เห็นแก่หน้าสกุลหยวน เขาคงลุกขึ้นไล่เตะเด็กนี่นานแล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ก็เตือนหรงหรานแล้วว่าบุรุษเจ้าสำอาง ทั้งยังไปไหนมาไหนก็พาเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นสตรีไปด้วยทุกครั้ง คนเช่นนี้หาได้มีความจริงใจ ไม่คิดว่าการออกไปเที่ยวกับหยวนหลิงอวี้ครั้งนี้จะทำให้หรงหรานพบกับอันตราย
หลังจากหยวนหลิงอวี้กลับไปแล้ว โจวจิ้งรุยรีบสั่งให้คนออกหาหรงหรานในทันที
บทพิเศษต่างก็คลั่งรักพอกลับมาถึงตำหนักท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เซียวอวิ้นหยางถอดเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปนั่งบนเตียงขนาดใหญ่เอ่ยปากบอกพร้อมกับตบลงบนตักของตนด้วยประกายตาที่สั่นไหว “มานี่” ทีแรกฟางถิงถิงงุนงงเล็กน้อย แต่แล้วก็นึกได้ว่าตอนขี่ม้ารับลมชมวิวอยู่ข้างนอก เซียวอวิ้นหยางทั้งบอกรักทั้งจูบนางอย่างดูดดื่ม ช่วงเวลานั้นบรรยากาศเป็นใจยิ่งนัก หากไม่ติดว่าอยู่ข้างนอก เขาคงครอบครองนางตรงนั้นแล้วกระมัง นางยิ้มน้อยๆ พร้อมเดินเข้าไปนั่งลงบนตักของสามี จากนั้นยกสองมือขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรง ภายในห้องไม่ได้จุดเทียน มีเพียงแสงสว่างสีเงินยวงจากดวงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางกรอบหน้าต่าง กระนั้นตอนที่สบประสานสายตากันก็ยังมองเห็นว่าพวกเขาต่างก็โหยหากันมากแค่ไหน เซียวอวิ้นหยางโอบกอดเอวบาง ซ้ำยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปกดจูบกลีบปากอิ่มสวย “อื้อ...” เสียงของนางดังลอดออกจากริมฝีปากแผ่วเบา มิหนำซ้ำยังเผยอริมฝีปากเพื่อเปิดรับลิ้นร้อนที่ชอนลึกเข้ามาในโพรงปาก ทันใดนั้นราวกับเปลวไฟแห่งราคะถูกจุดให้ลุกโชยขึ้นกลางอก มือใหญ่ที่ป
บทที่ 46คลี่คลาย (2) ย้อนกลับมาทางเซียวอวิ้นหยาง ทันทีที่กลับเข้าตำหนักก็ถูกภรรยาวิ่งเข้ามาสวมกอด “เป็นอย่างไรเพคะ ถูกฝ่าบาทลงโทษหรือไม่” ฟางถิงถิงร้อนรนถามหลังจากผละออกไป ทั้งยังมองสำรวจร่างกายของเซียวอวิ้นหยางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสีหน้ากังวล เซียวอวิ้นหยางยิ้มมองพระชายาสุดที่รัก ยื่นมือลูบเส้นผมนุ่มลื่นของนางพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง แค่ถูกฝ่าบาทตำหนินิดหน่อยเท่านั้นเอง” “แค่นั้นจริงๆ หรือเพคะ” “แค่นั้นจริงๆ” เซียวอวิ้นหยางย้ำ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบอกเล่าเกี่ยวกับราชโองการให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องที่เซียวจื้ออี้ถูกถอดออกจากตำแหน่งรัชทายาท หลินซวงเอ๋อร์ถูกเนรเทศ และเสนาบดีหลินถูกพักงาน รวมถึงเรื่องที่เขาและนางจะต้องเดินทางกลับดินแดนซีโจวด้วยกัน เมื่อมองจากสีหน้าแล้วเห็นเซียวอวิ้นหยางไม่ได้โกหก ฟางถิงถิงจึงถอนใจด้วยความโล่งอก “จะอยู่เมืองหลวงหรือต่างแดนหม่อมฉันไม่คิดมากหรอกเพคะ แต่ที่สงสัย พระองค์ร่วมมือกับองค์ชายสามตั้งแต่เมื่อไร” “ที่แท้เจ้าก็ติดใจ
บทที่ 45คลี่คลาย (1) เพียงคืนเดียว วีรกรรมของเซียวออวิ้นหยางก็ดังมาถึงพระกรรณฝ่าบาท โดยเฉพาะฆ้องปากแตกอย่างเสนาบดีหลินจะอยู่เฉยได้หรือในเมื่อบุตรสาวของตนถูกกระทำเช่นนั้น เสนาบดีหลินรีบเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เรื่องที่หยางอ๋องกับองค์ชายสามรังแกบุญสาวของตนมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม แน่นอนว่าเซียวอวิ้นหยางก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าภายในตำหนักส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน “คราวนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว ถ้ารัชทายาทเจ็บตัวขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” “ไม่เจ็บตัวหรอกพ่ะย่ะค่ะ ตรงนั้นยังมีทหารตั้งสองนายคอยคุ้มกันรัชทายาท” “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ภาพลักษณ์ที่รัชทายาทถูกจับมัด ร้องไห้ฟูมฟายถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว คราวนี้เจ้าตัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยังมีอีก คุณหนูหลินเองก็เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย เจ้ารู้หรือไม่” “ฝ่าบาทคงลืมไปแล้วกระมัง ชื่อเสียงของหลินซวงเอ๋อร์เสื่อมเสียตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ความผิดของกระหม่อมสักหน่อย” “แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้...เฮ้อ!” ทันทีที่มาถึงตำหนักส่วนพระองค์ เซียวอวิ้นห
บทที่ 44มีแค้นต้องชำระ (2) “จับข้ามัดเนี่ยนะคือเล่นสนุก?” รัชทายาทถามหน้าตาขึงขัง “ถูกต้อง ข้าอยากลองเปลี่ยนจากผู้ล่าให้เป็นผู้ถูกล่าบ้าง” “เจ้าสาม เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้รึ!?” รัชทายาทเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่องค์ชายสาม หากแต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัว ตรงข้าม องค์ชายสามยิ้มครึ้มใจแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน ทว่าน้ำเสียงกลับน่าขนลุกสุดๆ “เสด็จพี่รัชทายาท ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอาของเราเก่งเรื่องล่าสัตว์ สมัยอยู่ที่ซีโจวแค่ผิวปากครั้งเดียว ฝูงหมาป่าละแวกใกล้ๆ ก็กรูกันเข้ามา ข้าอยากเห็นเสด็จอาควบคุมฝูงหมาป่ากับตาตัวเอง ท่านอยากเห็นหรือไม่” “มะ...หมายความว่ายังไง” “มาดูวิธีเรียกหมาป่าของเสด็จอากันดีกว่า ข้าอยากเห็น เสด็จพี่รัชทายาทก็ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ” เมื่อองค์ชายสามพูดจบ เสียงผิวปากยาวแหลมก็ดังขึ้นอย่างไม่มีการเตือนล่วงหน้า ก่อนเสียงเห่าหอนของฝูงหมาป่าจะดังตามหลัง รัชทายาทกับหลินซวงเอ๋อร์ที่ถูกมัดขยับไปไหนไม่ได้หวาดกลัวตัวสั่นเทิ้ม สักครู่ต
บทที่ 43มีแค้นต้องชำระ (1) ภายในกระโจม ฟางถิงถิงนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์โดยมีม่านเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวคอยบีบนวดไหล่ให้ “อือ...ม่านเอ๋อร์บีบนวดได้ดีที่สุด” “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู อ๊ะ ไม่สิๆ ขอบพระทัยเพคะพระชายา ว่าแต่ พระชายามีเรื่องอะไรสนุกๆ หรือเพคะ เห็นอมยิ้มตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” “ข้ายิ้มหรือ” ฟางถิงถิงถามพลางแตะหน้าตัวเอง ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มอยู่ “พระชายายิ้มอยู่จริงๆ เพคะ” ม่านเอ๋อร์ย้ำ “อย่างนั้นหรือ” “เพคะ” เมื่อครู่นั้น ฟางถิงถิงกำลังคิดถึงเซียวอวิ้นหยาง และเรื่องสนุกๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจเพราะเหตุนี้นางจึงอารมณ์ดีจนเผลอยิ้มออกมาก็เป็นได้ ฟางถิงถิหันไปหยิบขนมชิ้นหนึ่งแล้วส่งให้กับม่านเอ๋อร์ “อะไรหรือเพคะ” ม่านเอ๋อร์ถามด้วยความใสซื่อ “วันนี้ข้าอารมณ์ดี อีกอย่าง ฝีมือการนวดของเจ้าก็พัฒนาขึ้น ข้าให้รางวัลน่ะ” “ขอบพระทัยเพคะ” ม่านเอ๋อร์ย่อกายทำความเคารพ ก่อนจะรับขนมจากเจ้านายด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟางถ
บทที่ 42เอาคืน ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดทำให้ฟางถิงถิงถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนได้สติและตื่นขึ้นมาร่างกายของนางจึงปวดระบมมากกว่าปกติ หนำซ้ำนางยังรู้สึกผิดต่อเซียวอวิ้นหยาง เขาช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ช่วยบรรเทาความร้อนจากพิษกำหนัดก็ด้วย...คิดแล้วก็หันมองชายหนุ่มข้างกายด้วยสายตาหลงใหล “ขอบคุณ...สามี” นางกระซิบบอกเขาด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องใบหน้าคมสันของสามี ในมุมมองของเซียวอวิ้นหยาง ตั้งแต่ที่สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองตน สัญชาตญาณของนักล่าก็ตื่นตัว ทว่าคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่หาใช่คนอื่น หากเป็นฟางถิงถิง ชายาของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงแกล้งหลับต่อไป ทว่าตอนที่ได้ยินนางเรียกเขาว่า 'สามี' วิญญาณนักล่าราวกับประทับลงร่าง ทันทีที่เปลือกตาของเขาเปิดขึ้น มือใหญ่ก็เอื้อมมือออกไปโอบกอดเอวบางแล้วดึงนางเข้ามาแนบอก ครั้นร่างนุ่มนิ่มแนบชิดหน้าอกแกร่ง เซียวอวิ้นหยางอดจะสูดหายใจลึกไม่ได้ แค่ได้กอดภรรยา ความปรารถนาก็พลอยจะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ตรงข้ามกับฟางถิงถิง พอถูกโอ
Comments