แชร์

ตอนที่ 7 มิติที่เปิดออก

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-10 23:14:33

“เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง

เริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ”

ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้า

ทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี่ยน

หลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ได้ไม่นาน เหว่ยหยางก็วุ่นวายกับการจัดเตรียมฟืนและเสบียงให้พร้อมรับฤดูหนาว ปีนี้เขาตุนฟืนไว้มากพอ ทำให้ไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาอีกสักพัก ชีวิตที่ลำบากกำลังค่อย ๆ กลายเป็นความอบอุ่นที่จับต้องได้…

วันเวลาผ่านไปทีละวัน ผ้าแพรเฝ้ามองชีวิตของเริ่นเหว่ยหยางมาตลอดโดยไม่มีวันละสายตา นางได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างของเขาอย่างเงียบงัน หลายครั้งที่เด็กชายพามารดาออกมาเดินเล่นรับอากาศภายนอก ผ้าแพรรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มมีพลังบางอย่าง จึงลองใช้พลังนั้นเพื่อช่วยรักษาอาการป่วยของแม่เหว่ยหยาง และดูเหมือนจะได้ผล เพราะอาการของนางดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นับจนวันนี้ผ้าแพรมาอยู่ในโลกนี้ได้สามปีแล้ว ในตอนนี้นางพอจะรู้ว่าตนสามารถทำอะไรได้บ้าง ทว่าเรื่องหนึ่งที่ยังคงทำไม่ได้ก็คือการขยับเคลื่อนย้ายไปไหนตามใจต้องการ

จนกระทั่งคืนหนึ่ง… วันที่พระจันทร์เต็มดวง มิติที่ผ้าแพรเฝ้ามองมานานก็เปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างของนางปรากฏขึ้นภายในนั้นเป็นครั้งแรก หมอกขาวที่เคยบดบังสายตาค่อย ๆ จางลง เผยให้เห็นทิวทัศน์บางส่วน ขณะที่บางพื้นที่ยังคงถูกปิดบังไว้

นางไม่เข้าใจว่ามิตินี้มีไว้เพื่ออะไร แต่ภายในกลับมีบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง ตกแต่งครบถ้วน มีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน ทุกอย่างดูอบอุ่นและน่าอยู่ราวกับเคยเป็นบ้านของนางมาก่อนก็ไม่ปาน การรับรู้ของผ้าแพรชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก จิตวิญญาณของนางไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในต้นหญ้าต้นเดียวอีกต่อไป หากบริเวณใดมีต้นหญ้าชนิดเดียวกัน นางก็สามารถย้ายสำนึกรับรู้ไปสัมผัสที่นั่นได้

เมื่อเดินออกจากบ้านหลังเล็ก นางพบกับบ่อน้ำพุที่มีพลังวิญญาณไหลเวียนอบอวล กลิ่นอายของมันทำให้ร่างวิญญาณสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ นางเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังไร้คำตอบ

ระหว่างสำรวจจนถึงขอบเขตของมิติ นางพบว่าเส้นทางบางส่วนยังคงถูกหมอกปกคลุมไว้ ‘หรือว่าด้านหลังหมอกนั้นจะยังมีบางสิ่งซ่อนอยู่’ นางคิดอย่างสงสัย ทว่าในเวลานี้ สิ่งที่พอทำได้ก็คือสำรวจผ่านสายตาและจิตสำนึกเท่านั้น โดยเฉพาะในป่านอกมิติรอบหมู่บ้าน ที่แม้จะเต็มไปด้วยต้นหญ้า แต่น้อยนักที่จะมีต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มให้เห็น

เมื่อสำรวจจนครบ ผ้าแพรก็กลับเข้าสู่ต้นหญ้าต้นเดิม ทว่า…นางยังไม่อาจรู้ได้ว่าต้นหญ้าที่สิงอยู่นี้คือพันธุ์ใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย

“เจ้าต้นหญ้า ได้ยินข้าหรือเปล่า?” เหว่ยหยางเอ่ยทักต้นหญ้าอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ครั้งนี้…ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

ผ้าแพรที่กำลังล่องลอยอยู่ ได้ยินเสียงเรียกของเขาก็สั่นไหวดอกหญ้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ

เมื่อเห็นดอกหญ้าสะบัดเบา ๆ เหว่ยหยางก็ยิ้มอย่างโล่งใจ “ข้านึกว่าเจ้าโดนไก่จิกตายเสียแล้ว” เขาพูดหยอกอย่างขบขัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

‘เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากสภาพนี้เสียทีนะ… ฉันเบื่อเหลือเกินกับการพูดไม่ได้แบบนี้’ ผ้าแพรคิดอย่างหงุดหงิด ลำต้นของนางค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงสะท้อนความรู้สึก

เมื่อเห็นต้นหญ้าเริ่มเหี่ยวเฉา เหว่ยหยางก็ตกใจ รีบลุกไปตักน้ำมารดรดให้โดยไม่ลังเล “เจ้าต้นหญ้า อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้ซึมเซาไปแบบนี้กันนะ”

ผ้าแพรเห็นว่าเขาเป็นห่วงจึงคลายความเศร้า หยาดน้ำจากมือของเขาหยดลงลำต้น สัมผัสถึงความอบอุ่นจนต้นหญ้ากลับมาตั้งตรงได้อีกครั้ง

‘ตอนนี้เขาอายุสิบสามแล้วสินะ ยิ่งโตยิ่งหล่อขึ้นทุกวันแน่ ๆ’ ผ้าแพรคิดพลางจ้องเขาด้วยสายตาอบอุ่น

และไม่รู้อะไรดลใจ นางจึงเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาเป็นครั้งแรกในรอบสามปี “เหว่ยหยาง…”

เด็กชายหยุดชะงักทันที มือที่กำลังรดน้ำค้างอยู่กลางอากาศ “ใคร… ใครเรียกข้า?”

ผ้าแพรเบิกตากว้าง ‘เขาได้ยินเสียงของข้าแล้ว!’ นางสั่นใบหญ้าอีกครั้ง แล้วพยายามเปล่งเสียงออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“เหว่ยหยาง… ข้าอยู่ตรงนี้… ตรงหน้าของเจ้า…”

เหว่ยหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘อยู่ตรงหน้าข้าหรือ?’ เขาก้มหน้าลงมองพื้นเบื้องหน้า และสายตาก็หยุดที่ต้นหญ้าเล็ก ๆ ต้นหนึ่งซึ่งกำลังสั่นไหวคล้ายยินดีที่เขาหันมาสนใจมัน

“เสียงเมื่อครู่…เจ้าหรือต้นหญ้า?” เขาถามออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าได้ยินข้าแล้วใช่ไหม?” ผ้าแพรเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด นับตั้งแต่นางมาอยู่ในโลกนี้ นางได้เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเองมากมาย แม้แต่ภาษาที่ใช้ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

เริ่นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น “เจ้า… เจ้าเป็นต้นหญ้าวิเศษหรือ?”

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าเป็นอะไร และไม่รู้ว่าจะสามารถพูดคุยกับเจ้าได้นานแค่ไหน…แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะขอร้องเจ้า” เสียงของผ้าแพรแผ่วเบา แต่เจือด้วยความจริงจัง

“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร บอกมาเถิด ข้ายินดีทำให้ทุกอย่าง” เหว่ยหยางเอ่ยรับคำทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความตั้งใจ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 13 ข้อแลกเปลี่ยน

    วันนี้เขามีเป้าหมายเดียว หาลูกไก่ตัวเล็ก ๆ มาให้นางเลี้ยงไว้ในมิติเขาเดินตรงไปยังตลาดขายสัตว์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องของสัตว์หลายชนิดและกลิ่นที่แรงฉุนลอยตลบอบอวล ขณะกำลังเดินชมสินค้า ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาชนเขาเต็มแรงจนร่างเหว่ยหยางเซถอยหลังชายคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เดินยังไงของเจ้า ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง ถึงได้ชนข้าเข้า!”เหว่ยหยางรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ข้าขอโทษขอรับ”ทว่าคำขอโทษนั้นกลับยิ่งจุดไฟให้ชายผู้นั้นเดือดดาล“ขอโทษงั้นหรือ? ฟังดูเหมือนไม่ได้สำนึกอะไรเลย!”เสียงโวยวายทำให้พ่อค้าแม่ค้ารอบข้างหันมามอง บางคนที่เห็นเหตุการณ์เต็มตาก็เอ่ยขึ้น“เด็กมันก็ขอโทษแล้ว เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนเดินชนเข้าไปก่อน!”“ใช่ ๆ ข้าเห็นกับตาเลย” อีกเสียงสนับสนุนดังขึ้นตามมาชายร่างใหญ่หันมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าผู้คนไม่ได้อยู่ข้างตน เขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสียเหว่ยหยางหันไปกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยพูดให้ ฮวาอี้ที่อยู่ในตะกร้าสังเกตทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น นางรู้สึกไม่พอใจจนต้องจัดการกับอีกฝ่ายด้วยวิ

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 12 สร้างพื้นที่ของตนเอง

    “ถ้าข้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าลองเอาสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ อย่างลูกไก่เข้าไปเลี้ยงดูดีไหม? อย่างน้อยเจ้าจะได้มีเพื่อนคลายเหงาในวันที่ไม่อาจออกมาด้านนอกได้”ดวงตาของฮวาอี้สว่างวาบด้วยความดีใจ “จริงสิ! ข้าทำไมถึงคิดไม่ออกกันนะ ข้ายังไม่เคยลองพาสัตว์เข้าไปเลย หากทำได้ ข้าก็จะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”นางยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ในเมื่อนางออกไปข้างนอกไม่ได้ ก็คงต้องสร้างโลกของตนเองขึ้นภายในมิติ ตอนนี้นางเลิกหวังที่จะได้กลับไปยังโลกเดิมแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทะลุมายังที่แห่งนี้ ก็ไม่มีสัญญาณใดบอกเลยว่าจะได้กลับ คำพูดสุดท้ายที่นางจำได้ก็มีเพียง…“สิทธิ์พิเศษของผู้โดดเดี่ยว”‘สิทธิ์บ้าอะไรกัน ข้าไม่ได้โดดเดี่ยวขนาดนั้นเสียหน่อย! ระบบนั่นต้องมีปัญหาแน่…’ขณะคิดเพลิน เสียงเรียกของเหว่ยหยางก็ดังขึ้นหลายครั้ง แต่นางกลับยังคงเหม่อลอย จนเขาต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วตะโกนข้างหู“ฮวาอี้! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”เสียงที่ดังจนใกล้เกินไปทำให้นางสะดุ้งตกใจ หันไปหาต้นเสียงทันที จังหวะนั้นเองที่ใบหน้าของนางเกือบปะทะกับใบหน้าของเหว่ยหยางทั้งสองสะดุ้งเฮือก รีบถอยออกจากกันด้วยความตกใจ“เจ้า… เรียกข้าทำไมหรือ?” ฮวาอี้พูดออ

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 11 ท่านแม่กับต้นหญ้าน้อย

    “ต้นหญ้า… เจ้าตื่นหรือยัง?” เหว่ยหยางเอ่ยถามเสียงไม่ดังนักทางด้านฮวาอี้ ต้นหญ้าน้อย นางตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ครานี้นางไม่จำเป็นต้องหลับใหลในสภาพต้นไม้เหมือนแต่ก่อนอีก เพราะนางมีมิติส่วนตัวให้เข้าไปพักผ่อน ทั้งยังสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกของตนเองภายในนั้นได้ด้วย สมุนไพรและพืชหายากล้วนเจริญเติบโตได้ดีขึ้นภายในมิติของนาง…เช้าวันใหม่อากาศสดชื่น ฮวาอี้เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณรอบลำต้นของตนเอง นางเงี่ยหูฟังแล้วรับรู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังรดน้ำให้นางอยู่ แต่เมื่อมองขึ้นไปกลับพบว่าเป็นมารดาของเหว่ยหยางที่ยืนอยู่ตรงนั้น‘หรือว่า… เหว่ยหยางเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังแล้ว?’ ฮวาอี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ทันใดนั้น เสียงเรียกจากเหว่ยหยางก็ดังขึ้นข้างต้นหญ้า ทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย“ข้าตื่นแล้ว มีเรื่องอันใด ถึงเรียกเสียงดังเช่นนี้?” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าตื่นนานหรือยัง? อย่าเพิ่งโกรธข้าเลย ข้ามีเรื่องจะถามความเห็นของเจ้า… พระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ท่านแม่ของข้าอยากพบเจ้า” เขาพูดพลางจับจ้องรอคำตอบฮวาอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่ว

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 10 ทำลายหลักฐาน

    “ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 9 บุกรุก

    ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 8 พบเจอ

    ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status