Home / อื่น ๆ / “เจ้าสาวของขุนศึกเงา” / บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

Share

บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

Author: mafath9
last update Huling Na-update: 2025-07-08 10:26:33

บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้

หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักร

แต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่ง

ไม่มีประตู

ไม่มีระฆัง

ไม่มีแท่น

มีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่า

ตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่า

และมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:

“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”


พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่ง

ไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธี

ไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนา

พวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอก

บางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักร

บางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืม

บางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึก

และวันนี้ พวกเขามีหมึกพอ

มีมือที่สั่นแต่แน่นพอ

มีใจที่ยังจำ


“เราจะไม่เปิดประตู…

เพราะเราไม่เคยปิด”

— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้าย


เสียงแรกในศาลาฟัง

“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”

เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวง

ไม่มีใครตอบ

ไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใคร

แต่ทุกคนฟัง

“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถามชื่อ

ตอนที่ฉันยังไม่กล้าพูด…”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง

แล้วเขียนชื่อเธอลงในสมุดหน้าแรก

ไม่มีคำสวด

ไม่มีการตีระฆัง

เพียงการเขียน และการฟัง


ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านบางคนที่เคยหวาดกลัวศาสนจักร

เริ่มมานั่งฟังหลังเลิกงาน

ชาวไร่คนหนึ่งวางเคียวไว้หน้าศาลา

หญิงชราคนหนึ่งวางรองเท้าไม้แล้วเข้ามาเงียบ ๆ

พวกเขาไม่สวด ไม่ถาม

เพียงนั่ง และฟังชื่อที่ถูกเขียนลง


เสียงที่ไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็ไม่มีใครห้าม

สามวันหลังจากศาลาฟังหลังแรกเปิด

มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาโดยไม่ใส่จีวร

เขาคือพระเก่าแห่งวัดตะวันตกที่เคยสอนเด็ก ๆ ท่องบทสวด

เขายืนเงียบอยู่นาน

จากนั้นวางไม้เท้าลง

และนั่งลงท้ายวง

เขาไม่เทศน์

ไม่อธิบาย

เพียงพูดเบา ๆ ว่า:

“วันนี้ข้าอยากฟังชื่อแม่ข้า…

ข้าไม่เคยพูดมันต่อหน้าผู้คน”

เด็กหญิงคนหนึ่งส่งหมึกให้เขา

เขียนชื่อแม่ของตนเอง

แล้วเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปอกส้มในฤดูหนาว

น้ำตาของพระไหลลงโดยไม่มีเสียง

เหมือนฝนที่ตกโดยไม่มีลม


การเดินทางของชื่อ

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น

ศาลาฟังเพิ่มอีกสองแห่งในหมู่บ้านใกล้เคียง

เป็นศาลาฟังที่ใช้ไม้เหลือใช้

หลังคาจากใบไม้ที่ร่วงในป่า

ป้ายเขียนมือโดยเด็ก ๆ

ในแต่ละแห่ง

สมุดฟังวางไว้ตรงกลาง

ไม่มีกุญแจ ไม่มีกล่องล็อก

ไม่มีใครเป็นผู้ดูแลสมุด

ทุกคนเป็นผู้ฟัง และผู้เขียนเท่ากัน


ในหมู่บ้านหนึ่ง

ชายชราผู้เคยเป็นนักฆ่าในสงคราม

นั่งลงเขียนชื่อศัตรูคนแรกที่เขาฆ่า

ไม่มีคำขอโทษ

ไม่มีคำปลอบ

มีเพียงเสียงที่แหบแห้งว่า:

“ข้าจำชื่อเขาได้มาตลอด

แต่ไม่เคยพูดออกมา…

จนคืนนี้”

เด็ก ๆ ไม่รู้ว่าเขาคือใคร

แต่ทุกคนเงียบ และฟัง

จากนั้นมีเด็กคนหนึ่งลุกขึ้น และพูดว่า:

“คืนนี้ เขามีชื่ออีกครั้งแล้วค่ะ”


ศาสนจักรส่งคนมาดู

เมื่อข่าวศาลาฟังแพร่ไปถึงหูศาสนจักรกลาง

พระสามรูปถูกส่งมาในนาม “คณะสังเกตการณ์แห่งพิธี”

พวกเขาไม่ห้าม

แต่ไม่เห็นด้วย

“การสวดต้องมีตำรา

พิธีต้องมีโครงสร้าง

ชื่อไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงพอจะเป็นพิธี”

พระหญิงไคเซ็น ซึ่งแปรพักตร์ก่อนหน้านี้ เดินทางมายังศาลาฟัง

และพูดต่อหน้าคณะสังเกตการณ์ว่า:

“คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั้น…

ไม่เคยอยู่ในตำรา

แต่อยู่ในการที่เราฟังโดยไม่ตัดสิน”

ไม่มีการโต้เถียง

ไม่มีการขับไล่

มีเพียงการเขียนชื่อของชายคนหนึ่งที่เพิ่งตายเมื่อเช้า

และมีพระรูปหนึ่งจากศาสนจักรกลาง…ลอบจดชื่อนั้นลงในสมุดฟังของตน


ธงของตระกูลที่ถูกพับเก็บ

แม้ในช่วงสงบ

ตระกูลใหญ่ยังไม่เคยลดธงตนเองลง

แต่เมื่อศาลาฟังเริ่มเกิดขึ้นทั่ว

ตระกูลอาซูมะส่งบุตรชายคนรองมานั่งเงียบในศาลาฟังแห่งหนึ่ง

เขาไม่พูดเรื่องการเมือง

ไม่พูดถึงศรัทธา

เพียงเปิดสมุด และเขียนชื่อพี่ชายที่ตายในการปะทะกับตระกูลยามาโนะ

วันถัดมา

ตระกูลยามาโนะส่งหลานสาวมาเขียนชื่อ “ศัตรู” ที่เธอเคยเกลียด

คนทั้งศาลาฟัง…เงียบจนได้ยินเสียงดินร่วงจากหลังคาใบไม้

“เมื่อชื่อถูกพูดด้วยเสียงธรรมดา

มันก็กลายเป็นของร่วมกัน”

— คำพูดของชายชราในศาลาฟัง


ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีแขก

ศาลาฟังไม่เคยมีเจ้าภาพ

ไม่มีคนจัดลำดับ

ไม่มีเครื่องแบบ

เด็กหญิงสามารถพูดก่อนชายชรา

ลูกทาสสามารถนั่งหน้าแท่น (ที่ไม่มีแท่น)

คนใบ้สามารถเขียน และมีคนอ่านแทน

ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร

ไม่มีชื่อใดดังไปกว่าอีกชื่อ

ชื่อทั้งหมด…มีน้ำหนักเท่ากัน


สมุดที่ไม่มีลายเซ็น

หนึ่งในกฎของศาลาฟังคือ
ผู้เขียนสมุดฟัง…ไม่ลงชื่อของตนเอง

เพราะเสียงของผู้ตายไม่ต้องการเครดิต

ไม่ใช่การแสดง

ไม่ใช่การเทศนา

แต่เป็นการ “ส่งต่อ”

ดังนั้น สมุดฟังหลายเล่มจึงเต็มไปด้วยชื่อของผู้ถูกลืม

แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเขียน

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ในแบบใหม่


ข้อความสุดท้ายในคืนสุดท้ายของบทนี้

ในคืนหนึ่ง

หลังศาลาฟังหลังที่ห้าสร้างเสร็จ

เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเคยพูดคำแรกของศาลาแรก

เขียนประโยคสุดท้ายของวันนั้นว่า:

“เราไม่ใช่เจ้าของเสียงใด

แต่เราเป็นผู้ที่ไม่ปิดหูตัวเอง”

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น ปัดฝุ่นจากเสื่อไม้ไผ่

หันไปมองเพื่อน ๆ

และพูดว่า:

“ถึงเวลาสร้างศาลาหลังถัดไปแล้ว”


บทส่งท้าย

ในเช้าวันถัดไป

คณะจากศาสนจักรกลางเดินทางมาถึง

แต่ไม่พบผู้คน

ไม่มีพิธี

ไม่มีเสียง

มีเพียงสมุดฟังหนึ่งเล่มเปิดค้างไว้

ในหน้าสุดท้ายของเล่มนั้น

มีเพียงประโยคเดียว:

“ที่นี่ไม่มีประตูให้ท่านเปิด…

แต่เราทิ้งเสียงไว้ให้แล้ว”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 129: พระที่ล้มแท่นของตน

    “พระที่ล้มแท่นของตน”พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน“เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหูบางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ”วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะเสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำเรียกชาวบ้านให้สวดตามสั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า“คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด”แต่วันหนึ่งเสียงระฆังเงียบไม่มีใครตีไม่มีเสียงสวดมีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผาพระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึกชื่อของเขาคือ “คันริว”ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเองเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถามเขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดเคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย”แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัดที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสนเขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา“เสียงที่แม่ร้องไห้”“ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง”“เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี”เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียนจนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตกเด็กที่เดินฝ่าฝนเข้าวัด โดยไม่ไหว้พระเด็กชายอายุราวแปดขวบชื่อ "อิโตะ"

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 128: แผ่นดินที่ไม่มีตำรา

    แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 127: พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง

    พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 126: ผู้เงียบที่เริ่มพูด

    ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 125: บทที่ไม่มีผู้เขียน

    บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

    บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status