เข้าสู่ระบบตื่นเช้ามานอนอยู่ข้างผู้ชาย แต่ไอ้เด็กนี่ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไร ฉันควรดีใจแต่ทำไมแอบเสียดายก็ไม่รู้
ดูเพิ่มเติมตอนที่ 1 ขอความช่วยเหลือ
“กรี้ด!!”
“ไอ้เหี้ย! อะไรวะ”
ฉันมองทุกอย่างตรงหน้าด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นโครมครามอย่างกับคนบ้า คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วกลับมองไม่เห็นภาพอะไรเลยนอกจากภาพของตัวเองที่นั่งดื่มอยู่กับรุ่นพี่ที่ทำงาน แล้วหลังจากนั้นภาพมันก็เริ่มพร่าเลือนจนกลายเป็นมองไม่เห็น
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า...
การที่ฉันลืมตาตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนกับผู้ชายคนหนึ่ง ถึงจะหน้าตาดีมากแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรตื่นเต้นดีใจ เพราะเขาเป็นใครก็ไม่รู้!
สภาพของคนข้างๆ นอนเปลือยท่อนบน ขนาดตอนนอนหลับยังหล่อวัวตายควายล้มอย่างกับพระเอกในซีรีส์ตอนเปิดฉากขึ้นมายามเช้าตรู่
โอเค ฉันควรพับเรื่องที่เขาหน้าตาดีเอาไว้ กลับมาสนใจว่าตอนนี้ฉันกำลังเจอกับเรื่องอะไรไรกันแน่
เมื่อคืนฉันไม่ได้เมามากก่อนที่ภาพจะตัดไปและความเป็นไปได้ที่จะหิ้วผู้ชายมาปู้ยี่ปู้ยำกันแบบนี้ก็น้อยมาก เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยทำเรื่องเหลวไหลแบบนั้น คนอย่างมีนาต้องนอนกับผู้ชายที่เรียกว่าสามีเท่านั้น แล้วไอ้สามีที่ว่านั่นก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีมาให้เห็นสักที จนใครก็หาว่าฉันนั้นมันเลือกเยอะเลือกมากจนอาจจะต้องขึ้นคานทอง
แน่นอน คนที่เจอผู้ชายที่เคยรักหักหลังมาก่อนอย่างฉันมันก็ต้องระวังมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าระวังท่าไหนถึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ชายแบบนี้
“นายเป็นใคร”
หน้าตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ฉันก็จำไม่ได้อยู่ดี หรือเขาเป็นดาราช่องมากสี น้อยสี คนไหน เพราะฉันก็ห่างจากละครพวกนั้นมานานมากแล้ว ถ้าไม่ดังพอก็ไม่รู้จักหรอก
แต่พอเลื่อนสายตาสำรวจไปรอบห้องของเขาที่แคบอย่างกับรูหนูแบบนี้ไม่น่าจะใช่ดาราดังได้
“อะไร จำไม่ได้เลยเหรอ”
เขาขมวดคิ้วถามสีหน้าคล้ายหงุดหงิดที่ถูกฉันปลุกให้ตื่นตอนที่กำลังหลับใหลอย่างเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็เสยผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง ทว่าท่าทางแบบนั้นกลับทำให้เขาดูดีเหลือเกิน
เดี๋ยวนะ!
ฉันเริ่มจำได้แล้วว่าเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน เขาเป็นคนที่สาวหลายคนในร้านแหกปากกรีดร้องกันตอนที่ขึ้นร้องเพลงในร้านนั้น แล้วฉันไปคุยหรือทำความรู้จักกับเขาตอนไหนถึงสานสัมพันธ์กันมาถึงบนเตียงขนาดนี้
“จำไม่ได้”
“แล้วพี่จำผมได้ไหม” เขาถามอีกรอบพลางขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ คลายมันออกแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างปลงตก “ช่างเถอะ”
สรรพนามที่เขาใช้เรียกทำให้ฉันต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะเหลือบไปเห็นเสื้อช็อปวิศวะของเขาที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าลายไม้จึงรับรู้ได้ว่าเขาเด็กกว่าฉันราวสามถึงห้าปีแน่ แล้วฉันโดนเด็กมหาวิทยาลัยหิ้วมาได้ยังไง
“แล้วนายเป็นใคร ชื่ออะไร ทำไมเราถึงมานอนด้วยกันล่ะ” ฉันพูดเบาๆ แล้วสำรวจร่างกายของตัวเองที่เวลานี้เสื้อผ้าทุกชิ้นยังอยู่ครบแต่ออกจะหลุดลุ่ยไปบ้างก็ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
นอนนิ่งคิดถึงความเจ็บปวดหรืออาการที่ควรจะมีสักนิดแต่ก็ไม่มีอาการพวกนั้นเลย หมายความว่าความซิงของฉันยังไม่ถูกอะไรมาพรากจากไป ไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนอย่างนั้นหรือ
ฉันควรดีใจใช่ไหม แต่ทำไมแอบเสียดายก็ไม่รู้
“ผมชื่อเจ๋ง”
เจ๋ง ชื่อนี้ไม่ได้หากันเจอบ่อยนักหรอก พอเขาบอกฉันก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินชื่อนี้อยู่บ่อยจากปากน้องชายตัวเอง ฉันเพ่งมองในหน้าหล่อเหลาที่มองมาทางนี้เหมือนกันก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงคอ
“เพื่อนธันเหรอ”
ธันหรือธันวาคือน้องชายต่างพ่อของฉัน แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เราอายุห่างกันสามปี แต่ถึงแม้ว่าฉันกับน้องจะรักกันมากก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจอกันทุกวัน เพราะฉันเรียนโรงเรียนประจำซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนมาตั้งแต่มัธยมต้น พอเรียนจบมัธยมก็ย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดเพื่อนเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เลือก นานทีปีหนถึงจะกลับบ้าน
“อืม”
น่าแปลกที่เขาจำฉันได้แต่ในความทรงจำของฉันกลับไม่มีผู้ชายหน้าตาดีแบบนี้อยู่เลย ถ้าจำได้คร่าวๆ ช่วงที่เรียนอยู่มอปลายแล้วกลับบ้านวันหยุดยาว ธันจะพาเพื่อนมาซ้อมดนตรีที่บ้าน ก็อาจจะเป็นตอนนั้น แต่ฉันก็จำหน้าเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะมันก็หลายปีมากแล้ว
“แล้วสรุปฉันมาอยู่ห้องนายได้ไง”
“ก็...”
“ก่อนจะเล่าช่วยบอกก่อนว่าเราได้กันไหม” ฉันถามไปตามตรงก็เรื่องนั้นมันสำคัญที่สุดแล้ว
“พี่เนี่ยนะ” เขาถามแล้วมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังเบะปากจนดูไม่เป็นธรรมชาติแถมน่าเกลียด
สายตาที่ไอ้เด็กนี่มองมาทำเอาฉันรู้สึกขายหน้าจนหงุดหงิด ฉันมันทำไม ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลยสักนิด ทำไมต้องมองแบบนั้น ตอนมอปลายฉันก็ได้ตำแหน่งดาวโรงเรียนเชียวนะ!
“อย่ามามองแบบนี้”
“พี่ก็สวยอยู่หรอก แต่ไม่ใช่สเปกผม แก่ไป แล้วพี่ไม่รู้เลยเหรอว่าเอาหรือไม่เอา ออ โอเคผมเข้าใจ” เขาพูดเองเออเองทั้งหมด ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วก็ตวัดขายาวๆ นั้นลงจากเตียงเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“หมายความว่าไง เข้าใจอะไรไม่ทราบ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงก็เมื่อคืนมันจำไม่ได้”
“มันก็ต้องรู้สึกบ้างแหละ ยกเว้นว่า...” หลวม
ฉันต่อคำนั้นเองในใจเพราะเจ๋งมันเว้นช่องว่างให้คิดเอาเอง ไอ้เด็กบ้านี่มันกวนประสาทเกินไปแล้ว
“พอ เล่ามา เรื่องในร้านเหล้า”
ฉันไม่อยากฟังผู้ชายตรงหน้าคนนี้วิจารณ์อีกต่อไป ขอแค่ได้ฟังความจริงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็พอ คนอะไรพูดไม่น่าฟังเลยสักประโยค
“เมื่อคืนพี่น่าจะโดนวางยา พี่มาขอความช่วยเหลือจากผม ผมก็ช่วยไว้ แต่พี่ไม่มีสติผมเลยไม่รู้จะพาพี่ไปไหน ก็เลยพามาห้องนี้”
คำพูดของเด็กรุ่นน้องคนนี้ทำเอาฉันนิ่งไป แล้วคิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเข้าไปในร้านนั้นกับเพื่อนร่วมงานห้าคน เป็นชายสามหญิงสอง ผู้หญิงคือพี่ออยรุ่นพี่ในที่ทำงานแต่อยู่กันคนละแผนก พี่ออยเป็นแฟนกับพี่ผู้ชายอีกคนชื่อว่าพี่แม็กที่อยู่แผนกเดียวกัน พี่โอ๊ต พี่เจนนี่ เป็นรุ่นพี่ในที่ทำงาน ส่วนพี่ต้าอายุมากที่สุดเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดซึ่งเป็นฝ่ายที่ฉันทำงานอยู่
แล้วจะเป็นใครล่ะ
---------
เรื่องนี้เป็นแนวกินเด็ก นางเอกอายุมากกว่า 3 ปีนะคะ แต่จะบอกว่าพระเอกเรื่องนี้มันไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กเลย เพราะมันพยายามจะเป็นผัว ฮิ้ววว 😆
ตอนที่ 7 หวั่นไหวตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องและไฟดับแบบนี้ ยิ่งเสียงฟ้าผ่ามันทำเอาฉันกลัวจนต้องวิ่งไปหาสิ่งที่พึ่งพิงได้ แล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในห้องนี้“กลัวอะไรขนาดนั้น”สิบสี่ปีก่อนคุณตาของฉันถูกฟ้าผ่าจนเสียชีวิตเพราะยืนอยู่กลางทุ่งนา เป็นวันที่ฉันตามติดตาไปด้วยเพราะอยากไปเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม นานครั้งถึงจะไปที่นั่นไปอยู่กับตาและยาย ภาพนั้นมันยังจำไม่เคยลืมเลย สายฟ้าที่ฟาดลงมาสู่ร่างของตาวันนั้นจนท่านล้มลง อยู่ในระยะสายตาที่ฉันมองเห็น ความสว่างสไวนั้นทำให้เห็นความเจ็บปวดในเสี้ยววินาทีของคนที่ฉันรักมันกลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกฝังลงในจิตใจ ทำให้กลัวเสียงฟ้าร้อง เสียงฟ้าผ่า มาตั้งแต่ตอนนั้น หัวใจของฉันมันสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยินมันรู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่บนตักเจ๋ง กอดคอซบหน้าลงกับบ่าแกร่งจนลืมทุกความอึดอัดที่เคยมีต่อเขา เวลานี้มันแทนที่ด้วยความกลัวไปแล้ว“กลัว”เจ๋งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาใช้แขนแข็งแรงนั้นโอบกอดฉันเอาไว้ มือหนาลูบลงกลางหลังราวกับต้องการให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขึ้น แล้วมันก็ได้ผล ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้หรือเพราะอ้อมกอดของเขามันกว้างและอบ
บริษัทมีเวลาเลิกงานที่สี่โมงเย็น ฉันใช้รถส่วนตัวในการเดินทางไปกลับ ถึงแม้ว่าจะเจอรถติดบ้างแต่ก็สะดวกกว่า ไม่ต้องไปเบียดผู้คนมากมายระหว่างที่รอรถติดก็เพิ่งเห็นข้อความจากเจ๋งที่ส่งมาเมื่อกลางวัน เพราะไม่ได้เปิดดูเลย มีงานเข้าตั้งแต่ช่วงบ่าย ที่แจ้งเตือนมาก็คิดว่าเป็นครามนั่นแหละ จึงไม่ได้สนใจเปิดอ่าน เดี๋ยวเขาจะรู้กันว่าฉันแอบเล่นมือถือตลอดเจ๋ง : เลิกกี่โมง ผมรอที่ล็อบบี้นะตั้งแต่เมื่อคืนที่เกิดเรื่องฉันก็ไม่ได้คุยกับเจ๋งเลย คิดว่าเขาโกรธฉันเสียอีก เพราะปกติเขาจะส่งข้อความมาวอแวกวนประสาทกันไม่เลิกแม้กระทั่งเวลาทำงานมีนา : ใกล้ถึงแล้วฉันตอบแค่นั้นแล้วก็เคลื่อนรถไปข้างหน้า ใช้เวลาจากบริษัทกลับถึงคอนโดก็คงประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่ส่งข้อความาหากัน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเกือบสี่ชั่วโมงแล้วเจ๋งมันบ้าหรือเปล่านะ จะรีบกลับมาทำไมทั้งที่รู้ว่าขึ้นห้องไม่ได้“จะรีบกลับมาทำไม” พอเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ก็เห็นเจ๋งนั่งรออยู่พร้อมกับโน้ตบุ๊คค่ใจของเขาที่น่าจะใช้ทำงานไปด้วยระหว่างรอฉันจะว่าไปอยู่ตรงนี้รอมันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวเพราะมีห้องสำหรับให้นั่งเล่น
ตอนที่ 6 เว้นระยะห่างฉันออกมาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ส่วนเจ๋งนั้นยังไม่ตื่น ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่จริงๆ หรือแกล้งหลับเพราะไม่อยากคุยกับฉันกันแน่ เพราะปกติถ้าฉันตื่นมาต้องเห็นเขาตื่นรอแล้ว เท่าที่เห็นเขามาเกือบครึ่งดือน เจ๋งไม่ใช่คนตื่นสายเลย“มีนา”เสียงของใครบางคนเรียกฉันไว้ พอหันไปมองก็ต้องแปลกใจที่เป็นคราม ผู้ชายเมื่อคืนนี้ ทั้งที่ปกติไม่เคยเห็นเขาอยู่ในบริษัทมาก่อน“คราม”“นึกว่าจะลาป่วย” เขาแซว คงเป็นเพราะเห็นฉันกลับดึกเมื่อคืน“ไม่ขนาดนั้น คอเกรดเอ” ฉันตอบพลางขำ ทั้งที่เมื่อคืนก็เมาเอาเรื่องแต่ก็พอมีสติถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาไปดื่มกับเพื่อนรับรองว่าถึงไหนถึงกันแน่นอน แต่มีผู้ชายอยู่ด้วยในห้องอีกคนฉันก็ไม่กล้าเมาขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเจ๋งจะเอ่ยปากบอกว่าฉันมันไม่สวย ไม่ทำอะไรฉันก็เถอะ มันก็ไม่แน่หรอกนะ“สรุปเมื่อคืน เพื่อนหรือแฟน” ครามถามกันตรงๆ แต่ก็สื่อทางสายตาว่าเขาแค่แซว“น้องน่ะ”“ใช่เหรอ เขามองเราตาขวางขนาดนั้น แถมยังร้องเพลงให้อีก” ครามหัวเราะเบาๆ“จริงๆ ไม่ใช่แฟน” ฉันตอบแล้วยิ้ม เราทั้งคู่เดินเข้าลิฟต์มาด้วยกันเวลานี้มีคนทยอยเข้ามาเรื่อย จนคุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ กระทั่งถึงชั้นสาม
เจ๋งพาซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกจากร้านแล้วขับช้าๆ รับลมเย็นยามค่ำคืนบนท้องถนนที่เวลานี้รถราบางตากว่าตอนกลางวัน มีแสงไฟเรียงรายอยู่ด้านข้างเพราะมีร้านข้างทางมาเปิดเพื่อรับลูกค้าที่กลับมาจากการท่องราตรี บางร้านเปิดตั้งแต่ดึกถึงเช้ากันเลย“หิวข้าว ขอแวะซื้อแป๊บนึงได้ไหม”“ทานนี่ก็ได้ เดี๋ยวนั่งรอ”“พี่กินไหม”“ไม่ กินเข้าไปคงอ๊วกแตก”บอกตามตรงตอนนี้ฉันก็เมาแล้วเพียงแต่พยายามทำตัวเหมือนไม่เมามาก ให้เจ๋งต้องเยอะเย้ยกัน ถ้าไอ้เด็กนี่รู้เข้ามีหวังหัวเราะเยาะแน่ แต่จะทำยังไงไม่ให้เขารู้นี่สิ แค่จะก้าวขาลงจากรถก็คิดว่าคงได้ล้ม“ลงมาสิ” เจ๋งยืนมองฉันที่ไม่ยอมลงจากรถมอเตอร์ไซด์เสียที“นั่งรอ ตรงนี้แหละ”“พี่เป็นไร” เจ๋งไม่ยอมง่ายๆ เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วขมวดคิ้วมองหน้ากันจนฉันต้องรีบหันหน้าหนีเพราะตอนนี้ตาปรือมาก เรียกสติกลับมาหลายรอบแล้วด้วย“เปล่า ไม่อยากลงไป จะนั่งรอตรงนี้แหละ” ว่าแล้วก็ขยับแขนขึ้นมากอดอก มองนั่นมองนี่เรื่อยเปื่อย แต่ไม่มองหน้าเจ๋งหรอก“เมา?”“บ้า!”“งั้นก็ลงมา ไปนั่งตรงนั้น”“บอกว่าจะนั่งตรงนี้”“ดื้อจังวะ” เจ๋งไม่พูดเปล่า เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้แล้วตวัดแขนรวบเอวฉันก่อนจะอุ้มลงไปยืนบน
ตอนที่ 5 อย่ามายุ่งกับเมียชาวบ้านเจ๋งขึ้นร้องเพลงแล้ว เพิ่งรู้ว่าเวลาเขาร้องเพลงอยู่บนนั้นมันมีเสน่ห์มากมายขนาดนี้ ทั้งหน้าตา ทั้งเสียงร้อง ทำเอาสาวๆ หลงกันทั้งร้าน ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีคนชอบมากมาย เดินไปทางไหนกับเขาฉันก็ต้องเจอกับแรงอาฆาตแค้นเจ๋งถนัดร้องเพลงช้า ส่วนมากจะเป็นเพลงเศร้าซึ้งๆ ซึ่งมันยิ่งสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ชวนให้หลงใหลของเขา ระดับเจ๋งไปเป็นดาราหรือนักร้องได้เลย จะไม่มีแมวมองมาเห็นบ้างเลยหรือ น่าแปลกแต่ความเป็นเจ๋งก็ทำให้ฉันคาดไม่ถึงมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่เรื่องเพื่อนที่เยอะมากมาย ไหนจะเรื่องผู้หญิงที่ฉันคิดมาตลอดว่าคนปากหมาแบบนี้คงไม่มีใครคบ สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ นี่มันหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยชัดๆ“ขอโทษนะครับ”“คะ”ขณะที่นั่งมองคนหน้าเวทีกำลังร้องเพลงอยู่ จนลืมสนใจสิ่งรอบข้างเพราะเคลิ้มกับเพลงที่เจ๋งกำลังร้อง ปลายนิ้วของใครบางคนก็มาสะกิดที่ไหล่ซ้าย เล่นเอาฉันตกใจรีบหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังโน้มหน้าลงมาแล้วส่งยิ้มให้“มาคนเดียวเหรอ”“คือ เปล่าค่ะ มากับเพื่อน”“ออ ขอชนแก้วได้ไหม”ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ก็แค่ชนแก้ว จึงพย
“หมดธุระมึงยัง” เจ๋งถามต่อ“เออ ไปก็ได้วะ แล้วมึงไม่ไปร้องเพลงเหรอวันนี้” เพื่อนลุกออกไปนั่งโต๊ะข้างกันซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากนั่งตรงนี้เลย โต๊ะติดกันจนกระซิบยังได้ยิน“กำลังจะไป”“โอ้ว พาสาวไปเฝ้า” เพื่อนอีกคนแซวอีกสองสามคนก็แซวกันจนฉันเขิน“เรื่องของกู”“เจ๋งมันไม่น่ารักเลยเนอะพี่”เพื่อนเขาคนหนึ่งยื่นหน้ามาคุยกับฉัน ที่เวลานี้แทบจะไม่กล้ากินก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก็มาแซวกันขนาดนี้ใครมันจะไปกล้าคีบเส้นแล้วอ้าปากกินได้ ฉันก็อายเป็นเหมือนกัน เลยได้แต่ยิ้มแห้งเป็นคำตอบ รับบทแฟนเจ๋งคนปากหมาไปเลยยายมีนาดีนะที่ฉันกินลูกชิ้นไปแล้วไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ นี่ไงล่ะคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องกินของที่อร่อยที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก“กินไหม”เจ๋งไม่สนใจคำพูดเพื่อนเขาอีก คีบลูกชิ้นลูกใหญ่มาตรงหน้าก่อนจะวางมันในชามของฉันที่เหลือแต่เส้นเล็กขาวๆ อืดๆ กับผักใบเขียวที่ถูกเขี่ยไปด้านข้าง สร้างความแปลกใจให้ฉันไม่น้อยเลย“ไม่กินเหรอ”“แลกกัน” ว่าแล้วเจ๋งก็คีบเส้นฉันไปใส่ในจานตัวเอง แล้วคีบลูกชิ้นอีกสองลูกกลับมาให้กันอีก“คนอะไรไม่ชอบลูกชิ้น”เจ๋งไม่ตอบ เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วคีบเส้นเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ผั
ความคิดเห็น