Masuk
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยอันแหลมเล็กบาดลึกเข้ามาในโสตประสาท เกลได้แต่ก้มหน้าซ่อนใบหน้าเปื้อนน้ำตาไว้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ร่างท้วมของเธอนั่งกองอยู่กับพื้นดินชื้นแฉะ เส้นผมเปียกที่ถักเปียไว้ถูกดึงกระชากจนหนังศีรษะตึงไปหมด
“ยัยอ้วน ยัยหมูพะโล้! ใครอยากเล่นกับเธอ!”
เสียงนั้นเป็นของคิรินเด็กชายหัวโจกของกลุ่ม เขาวิ่งวนเป็นวงกลมรอบตัวเธอพร้อมเพื่อนๆ อีกสามคน แต่ละคนโยนคำพูดร้ายกาจใส่ไม่หยุดหย่อน ความอับอายและเจ็บปวดจากการถูกแกล้งทำให้ไหล่ของเกลสั่นเทา เธอรู้ดีว่าเธออ้วนและเธอรู้ดีว่าน้ำหนักตัวของเธอมันเป็นเรื่องง่ายแค่ไหนที่คนอื่นจะใช้แกล้งเธอ
“หยุดนะ คิริน!”
เสียงแหลมเล็กอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ทว่าเต็มไปความโกรธเกรี้ยวร่างบอบบางของกรีน พี่สาวของเกลพุ่งเข้ามาขวางราวกับกำแพง กรีนไม่ได้ท้วมเหมือนน้องสาว ใบหน้าจิ้มลิ้มและดวงตาคมกริบของเธอกวาดมองเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นอย่างไม่เกรงกลัว ในมือเรียวเล็กถือ ไม้เรียวที่เธอพกติดกระเป๋านักเรียนไว้อย่างพร้อมสรรพ
คิรินชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นความตกใจทันที เขาเคยลิ้มรสความเจ็บปวดจากไม้เรียวของกรีนมาแล้ว
“อ้ากกกก! ยัยปีศาจมาแล้ว! หนีเร็ว!”
กลุ่มเด็กชายรีบแยกย้ายกันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบที่กลับมาเยือนอย่างรวดเร็ว กรีนลดไม้เรียวลง หันกลับมามองน้องสาวด้วยแววตาอ่อนโยน
“เกล ลุกขึ้นมาเร็ว เจ็บตรงไหนไหม” เกลเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำสบเข้ากับดวงตาที่ห่วงใยของพี่สาว
ไม่มีคำถาม ไม่มีการตำหนิ มีเพียงกรีนยื่นมือมา ดึงร่างท้วมของน้องสาวให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ พวกเธอทั้งสองคนเดินจับมือกันกลับบ้าน
ระหว่างทางเดินกลับบ้านความเงียบสงบกลับมาเยือนอย่างรวดเร็ว กรีน ไม่ได้รอช้า เธอดึงร่างท้วมของน้องสาวให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำหน้าไปทันที เกล ก้าวตามหลังพี่สาวไปอย่างเงียบๆ น้ำตาที่ยังไหลอาบแก้มสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น มืออ้วน ของเธอกำมือเรียวเล็กของพี่สาวไว้แน่นราวกับกลัวว่าผู้พิทักษ์เพียงคนเดียวของเธอจะหายไป อีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นปาดน้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุดหย่อน
กรีนหยุดเดินเธอหันกลับมาเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจ้องมองน้องสาวอย่างอ่อนโยน เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนักเรียน หยิบ ลูกอมเม็ดสีแดงสด ออกมาแล้วยื่นให้เกล
“หยุดร้องได้แล้วเกล” น้ำเสียงของกรีนลดความแข็งกร้าวลง “ถ้าโดนแกล้งอีก มาบอกพี่ พี่จะตีพวกนั้นกลับให้เอง พี่สัญญา”
เกลรับลูกอมไว้ในมือ น้ำเสียงเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยการสะอื้น “สัญญานะ พี่กรีน”
“สัญญา” กรีนตอบหนักแน่น แล้วพวกเธอก็เดินจับมือกันต่อไป ลูกอมเม็ดนั้นถูกแกะเปลือกออกอย่างรวดเร็ว ความหวานที่สัมผัสได้ช่วยปลอบประโลมความเจ็บปวดที่เพิ่งได้รับมา
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูบ้าน กลิ่นอาหารหอมกรุ่นที่ลอยมาปะทะจมูกก็แทรกซึมเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเศร้าหมองทั้งหมด เกล แทบจะลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เธอเพิ่งโดนแกล้งจนร้องไห้ โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทานมากมาย ทั้งปีกไก่ทอดสีทอง ปลาทอดตัวอวบ และผัดผักชามใหญ่
เธอนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง แล้วเริ่มกินข้าวอย่างมีความสุขความเครียด ความอับอาย หรือแม้แต่คำพูดร้ายกาจของคิริน หายไปทั้งหมดในทันทีที่เธอได้จดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า
ตาของเกลเป็นประกายขณะที่เธอมองไปยัง ปีกไก่ทอด ชิ้นใหญ่ที่สุด เธอเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้ามันเข้ามาในจาน
“เกล! พอแล้ว! อ้วนเป็นหมูจะทำยังไงลูก”
เสียงอันเฉียบขาดของ อรุณี ผู้เป็นมารดาดังก้องไปทั่วโต๊ะอาหาร มือของเกลที่กำลังจะสัมผัสปีกไก่ต้อง หดกลับ เข้ามาทันทีอย่างอัตโนมัติ ใบหน้าของอรุณีเคร่งเครียด ดวงตาเต็มไปด้วยการตำหนิ เธอจับจ้องที่ลูกสาวคนเล็กราวกับกำลังจ้องมองความล้มเหลวที่แก้ไขไม่ได้
เกลก้มหน้าลงทันที ความสุขทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาของคำพูดผู้เป็นแม่ ปีกไก่ทอดชิ้นนั้นดูห่างไกลและน่าเศร้ากว่าเดิมหลายเท่า
ทันใดนั้น เกลก็รู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่เอว เธอไม่ทันได้มอง ร่างกายก็ถูกดึงให้ชิดกับกำแพง เมื่อก้มลงมอง มือเรียวเล็ก ของพี่สาวกำลังทำสิ่งที่คุ้นเคย ช็อกโกแลตแท่งเล็กๆ ถูกยื่นมาใส่มือเธออย่างรวดเร็วและลับๆ ล่อๆ เกลเงยหน้าขึ้น มองพี่สาวที่ทำทีเป็นมองวิวข้างทาง สีหน้าของกรีนเรียบเฉย แต่แววตาของเธอเตือนให้น้องสาวรีบซ่อนมันไว้
เด็กหญิงร่างท้วมแอบยิ้มดีใจในความมืดสลัวที่พี่สาวสร้างขึ้น ถึงแม้ แม่ จะใจร้ายกับเธอ คอยจับจ้องและตำหนิเรื่องอาหารการกินตลอดเวลา แต่เธอก็ยังมี พี่สาว ของเธอนี่แหละ ที่เป็นเหมือนผู้กอบกู้ เป็นความลับที่อบอุ่น เป็นคนเดียวที่คอยแอบยื่นความหวานชิ้นเล็กๆ เหล่านี้มาให้เธอได้กินอย่างมีความสุข
ช็อกโกแลตแท่งนั้นถูกกำไว้แน่น มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรักที่ซ่อนเร้น และเป็นความสุขเดียวที่เธอได้เป็นเจ้าของ
หลายปีผ่านไป
แสงจากวงแหวนไฟ LED ดับลงแล้ว แต่บรรยากาศภายในห้องคอนโดก็ยังเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับของคริสตัลที่ตกแต่งตามข้าวของเครื่องใช้หรูหรา
“โอเคค่ะ วันนี้เม้าท์มอยกันสนุกมากเลยน้าทุกคน เอาไว้เจอกันใหม่สัปดาห์หน้าเวลานี้นะคะ บ๊ายบายค่ะ! รักนะคะ จุ๊บๆ”
เกลกดปุ่ม ‘End Stream’ อย่างรวดเร็ว หน้าต่างแชตที่เต็มไปด้วยข้อความและอิโมจินับพันข้อความก็หายไปทันที เหลือไว้เพียงภาพใบหน้าของเพื่อนอีกสามคนที่กำลังนั่งรอเธอบนโซฟาหนังอย่างอดทน
“คุณเกล เกวลิน จะเลิกไลฟ์ได้ยังยะ! แม่ดาราท่านหนึ่ง!” พิชชี่ เอ่ยแซะทันทีที่เกลหันกลับมา เขากอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟเน้นให้ชุดนักศึกษาของเขาดูโดดเด่นเกินกว่าเหตุ
“แหมๆ อย่าแซะเพื่อนสิคะพิชชี่” ข้าวฟ่าง ปรามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามแบบฉบับ “เราเพิ่งได้ยอดจองบิกินี่ ‘สายสิญจน์’ คอลเลกชันใหม่จากไลฟ์ไปตั้งหลายร้อยชุดนะ แกไม่ดีใจกับเพื่อนเหรอ”
เกลปิดโน้ตบุ๊กเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน เธอหันกลับไปหาเพื่อนๆ พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้หวานเหมือนตอนอยู่หน้ากล้องแล้ว
“โถ่ พัชร แค่ไลฟ์ขายของเอง พัชรก็รู้ว่าเกลต้องหาเงินจ่ายค่าเทอม” เกลตอบอย่างใจเย็น
“หาเงิน? อี๋! พูดอย่างกับไม่มีเงินจากที่บ้าน อีเกล! แกน่ะมัน หลอกลวง ย่ะ! เป็นถึงเจ้าของแบรนด์ชุดว่ายน้ำพันเชือกที่บ้าที่สุดในประเทศ เอาลูกปัดมาผูกบิกินี่ขายตัวละเกือบหมื่น แต่มานั่งไลฟ์ทำเป็นคนธรรมดาหาเงินค่าเทอม แม่ดาราท่านหนึ่ง เขาทำกัน! แล้วอีกอย่างนะ แกหยาบคายมากนะ พิชชี่ย่ะ ไม่ใช่พัชร”
พิชชี่ด่ากลับมาทันควัน แววตาของเขามีความหมั่นไส้ในความสามารถในการทำเงินของเพื่อน
เกลยักไหล่ เธอเดินตรงไปยังโซฟาแล้วล้มตัวลงนั่งข้าง เมษา ซึ่งเป็นผู้ห้ามทัพของกลุ่ม
“พิชชี่ก็พูดเกินไป” เกลว่าพลางซบไหล่เมษาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“แบรนด์ ‘Siren Strings’ ของเกลมันคือ แฟชั่นเลยนะ มันคือศิลปะที่นำเอา เชือก มาถักทอประสานกับ ลูกปัด หลากสีสัน เพื่อตกแต่งบิกินี่ให้ไม่เหมือนใคร ใครๆ ก็อยากใส่ชุดที่ทำให้ตัวเองดูผอมเพรียวและโดดเด่นที่ทะเลทั้งนั้นแหละ”
เกลพูดพร้อมตรวจเช็คชุดไปด้วย แบรนด์นี้เธอเริ่มทำตั้งแต่เข้ามหาลัย เธอเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาแฟชั่นดีไซน์ หลังจากทำได้ไม่นาน เกลก็ชวนข้าวฟ่างเข้ามาทำแบรนด์ด้วยกัน ส่วน พิชชี่กับเมษาเป็นเพื่อนคณะเดียวกันแต่อยู่สาขาศิลปะการแสดง
เกลเดินตรงไปยังโซฟา เธอล้มตัวลงนั่งข้างเมษา ซึ่งกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเงียบๆ เมษาคือผู้ห้ามทัพคนสำคัญของกลุ่มนี้เสมอ
“เมษาขาาาา ดูพิชชี่สิคะ! ดุเกลอีกแล้ววว” เกลหันไปอ้อนพลางซบไหล่เมษาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
เมษาหัวเราะเบาๆ เธอยกมือขึ้นลูบผมเกลอย่างปลอบโยน ก่อนจะเงยหน้าสบตากับพิชชี่ที่ยังทำหน้าเหวี่ยงไม่เลิก
“พอเลยทั้งสองคน” เมษาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ข้าวฟ่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างร่าเริง กลิ่นของความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ก็จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสี่คน
“จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย” เมษาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างใจเย็น น้ำเสียงของเธอเป็นกลางและนุ่มนวลเสมอ เธอกล่าวพลางยื่นมือไปแตะแขนพิชชี่เบาๆ เพื่อให้เพื่อนลดโทนลง
ข้าวฟ่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างร่าเริง เธอใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนประเด็นทันที
“ถูกต้องค่ะ! พวกเรา ‘แรดเรียกพี่ กระทิงเรียกน้อง’ จะตีกันเองไม่ได้นะ” ข้าวฟ่างว่าพลางเดินไปหยิบแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้เพื่อนๆ
“ชุดใหม่ของเกลสวยมากเลยนะเกล ข้าวมั่นใจเลยค่ะว่าเกลทุ่มเทกับรายละเอียดเชือกและลูกปัดมากแค่ไหน คอลเลกชั่นนี้ต้องปังแน่ๆ เห็นแล้วข้าวอยากใส่ไปเที่ยวเกาะทางใต้เองเลยค่ะ”
พิชชี่ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ใบหน้ายังคงแสดงความไม่พอใจ แต่สายตาของเขากลับเหลือบมองแคตตาล็อกชุดว่ายน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ
“แน่นอนสิยะ ยัยเกล น่ะ… เป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่า การปิดบังอำพราง จุดบกพร่องของตัวเองด้วย เชือกและลูกปัด น่ะ มันได้ผลดีแค่ไหน” พิชชี่พูดเสียงเบาลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเกลชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเธอวูบไหวด้วยความไม่พอใจ ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอเห็นตัวเองในชุดนักเรียนเก่าๆ ร่างท้วมที่ถูกกลุ่มเด็กผู้ชายรุมล้อเลียนในอดีต ภาพความอับอายและปีกไก่ที่ถูกห้ามไม่ให้กินมันย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว สติของเธอก็กลับมา เกล ไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอคือเจ้าของแบรนด์ Siren Strings ที่ประสบความสำเร็จ
เกลผละศีรษะออกจากไหล่เมษาอย่างช้า ๆ เธอปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นแบบ ปกติ ที่ควบคุมทุกอย่างได้ มือเรียวของเธอเอื้อมไปหยิบแคตตาล็อกชุดว่ายน้ำขึ้นมา แล้วยกมันขึ้นสูงตรงหน้าพิชชี่
“ใช่ค่ะพิชชี่” เกลตอบด้วยน้ำเสียงหวาน
“ดีไซเนอร์ที่ดีต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และรู้ว่าอะไรคือจุดบกพร่องที่ต้องซ่อนไว้ ชุดว่ายน้ำของเกลมันไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่มันคือ อาวุธ ที่ทำให้ลูกค้าของเราทุกคนมั่นใจ ไม่ว่าจะมีรูปร่างแบบไหน”
เกลพลิกแคตตาล็อกไปที่หน้าภาพชุดบิกินี่ ‘สายสิญจน์ของพิชชี่ ซึ่งมีรายละเอียดการผูกเชือกและร้อยลูกปัดที่ซับซ้อน
“เอาล่ะ” เกลตัดบทอย่างเด็ดขาด “มาทำงานกันได้แล้ว ข้าวฟ่าง! เมษา! ช่วยเกลคัดเลือก เลือกชุดสำหรับถ่ายแบบคอลเลกชันใหม่ได้แล้วค่ะ เดี๋ยวเรายังมีถ่ายแบบชุดกันอีกสามเซ็ทนะคะ”
ทุกคนสลายตัวจากโซฟาไปรวมกันที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ความวุ่นวายเล็กๆ ที่เกิดจากปมในอดีตของเกล ก็ถูกกลบไว้ด้วยความเร่งรีบของธุรกิจ และการทำงานร่วมกันของแก๊งเพื่อนรัก ที่พร้อมจะก้าวข้ามทุกดราม่าเพื่อความสำเร็จของกันและกัน
มหาวิทยาลัย X, คณะศิลปกรรมศาสตร์
เสียงประกาศจากลำโพงดังลอดออกมาจากหอประชุมกลางของคณะศิลปกรรมศาสตร์ แม้จะอยู่ไกล แต่ก็ยังได้ยินชัดเจน
เกลในชุดนักศึกษาที่เสื้อเข้ารูปและกระโปรงสั้นตามแฟชั่น ยืนพิงเสาอยู่ข้างโต๊ะลงทะเบียน เธอย้อมผมสีบลอนด์อ่อน ทันทีที่พ้นช่วงปีหนึ่งมาได้ เพื่อประกาศอิสรภาพจากกฎระเบียบเดิม ๆ
“โอ๊ยยย! เมื่อไหร่จะเสร็จสักทีเนี่ย!” พิชชี่ บ่นเสียงดังขณะที่เขากำลังสแกนบาร์โค้ดให้น้องปีหนึ่งที่ต่อแถวยาวเหยียด
“ฉันบอกแล้วไงว่าการบังคับให้ฉันมานั่งเป็นพี่โต๊ะ มันคือการทำลายความงามของฉันนะยะ ผิวฉันจะเสียแสงแดด”
“โถ่ พิชชี่… ทนหน่อยน่า” ข้าวฟ่าง ที่กำลังยุ่งกับการจัดแฟ้มเอกสารเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยรอยยิ้ม เธอมวยผมเป็นดังโงะ อย่างเป็นระเบียบพร้อมปักดินสอสีเหลืองเอาไว้ข้างมวยผมอย่างเป็นเอกลักษณ์
“ก็อย่างที่เมษาบอก เราเป็นคณะกรรมการนักศึกษาปีสามนี่นา อีกอย่าง น้องปีหนึ่งหล่อ ๆ เยอะแยะเลยนะคะปีนี้ โดยเฉพาะพวกที่ลงทะเบียนสาขา ศิลปะการแสดง น่ะ ฉันเห็นแล้วใจละลายเลย”
พิชชี่ชะงักมือจากการสแกน เขาเลิกคิ้วสูงอย่างเห็นด้วย
“จริง! หล่อกรุบกริบมากหลายคน! แต่พวกสาขาดีไซน์อย่างเรานี่… ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แถมส่วนใหญ่ก็ดูเนิร์ด ๆ ทุ่มเทให้กับการออกแบบกันไปหมด”
เกลยิ้มเล็กน้อย พลางใช้ปากกาเคมีขีดชื่อในลิสต์รายชื่อปีหนึ่ง
“ก็ดีแล้วนี่” เกลตอบอย่างสบาย ๆ “เราต้องโฟกัสที่งานค่ะ ข้าวฟ่างงานออกแบบสำคัญกว่าผู้ชายนะย่ะ”
“แหม! แม่คนเก่ง! แม่คนไม่สนผู้ชาย!” พิชชี่กลอกตา
“แต่เอาจริงเถอะเกล เธอว่าชุดนักศึกษาแบบนี้มันจำเจตายตัวไปมั้ย? ทำไมไม่หาทางดัดแปลงอะไรให้มันดูเป็นแฟชั่นมากกว่านี้”
“เกลน่ะดัดแปลงไปแล้วไง ด้วยสีผมเนี่ย” เกลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเบนความสนใจไปที่เสียงจากไมโครโฟน
เมษาในฐานะประธานรุ่นปีสามและหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมของงานรับน้องก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีเล็ก ๆ ข้างหน้า เธอรวบผมหางม้าเรียบร้อยและสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดอย่างคมกริบ ใบหน้าของเธอดูสงบและมีอำนาจตามแบบฉบับของคนที่ต้องควบคุมสถานการณ์ใหญ่
เสียงประกาศของเธอดังออกมาจากไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง:
“เอาล่ะค่ะน้องๆ วันนี้พอแค่นี้นะคะ” เมษาพูดผ่านไมค์
“พี่ๆ เข้าใจว่าคณะของเราอาจจะไม่ได้เข้มงวดเรื่องการแต่งกายมากนัก แต่สำหรับน้องๆ ปีหนึ่ง อย่าลืมนะคะว่ากฎระเบียบของมหาวิทยาลัยในช่วงปีแรกยังค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกายให้เรียบร้อย และที่สำคัญที่สุดคือห้ามย้อมผมในช่วงรับน้องนะคะ!”
เมษาพูดจบ ก็มีเสียงฮือฮาเล็กน้อยจากกลุ่มน้องใหม่ ขณะที่เกลหัวเราะคิกคักเบา ๆ
“เห็นไหมล่ะ?” เกลหันไปกระซิบกับพิชชี่ “หลังจากผ่านปีหนึ่งมาได้ เกลเลยย้อมผมบลอนด์ทันที!”
พิชชี่ทำปากยื่น “แกมันสายแข็งอยู่แล้ว! แต่เอาเถอะ อย่างน้อยกิจกรรมวันนี้ก็จบแล้ว ไปหาอะไรกินกัน ฉันหิวมาก!”
เมษายิ้มให้ทุกคนก่อนจะวางไมค์ลง และเดินลงจากเวทีมาหาเพื่อน ๆ ทันที
“จบสักที” เมษาถอนหายใจ “เหนื่อยจะตายอยู่แล้วค่ะ ไป! พิชชี่หิวแล้ว ไปหาอะไรรองท้องก่อนเข้าประชุมบ่ายกันดีกว่า”
ทุกคนเก็บของอย่างรวดเร็ว เสียงบ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จางหายไปแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนสนิท ที่พร้อมจะวุ่นวายและไปหาของอร่อยกินกันต่อ
เกลเดินเข้าห้องคอนโดมาอย่างเงียบเชียบ เธอรีบล็อกประตูถึงสองชั้น ความเหนื่อยล้าทางร่างกายผสมกับความหวาดระแวงทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ เกลโชคดีที่มาถึงคอนโดโดยปลอดภัยเธอไม่ได้สนใจจะเปิดไฟมากนัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง และพยายามบังคับตัวเองให้ข่มตาหลับเพื่อหนีความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันแต่หลังจากที่เธอนอนหลับไปได้ไม่นานก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เป็นจังหวะสั้น ๆ แต่ดังชัดเจนในความเงียบสงัดของยามวิกาลเกลสะดุ้งสุดตัว เธอผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่ถูกรัวตีด้วยความหวาดกลัวที่กลับมาอีกครั้ง เธอตกใจมากจนต้องร้องไห้นี่มันก็ตีสองแล้ว!เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังและถี่ขึ้น เกลมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวาดผวา เธอรู้ดีว่าคนที่พักอยู่ในคอนโดนี้ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ และไม่มีใครมาเคาะประตูบ้านคนอื่นในเวลานี้แน่ๆเธอไม่รู้ควรโทรไปหาใครดี จะโทรหาเมษาหรือข้าวฟ่างตอนนี้ก็คงจะรบกวนมากเกินไป และเธอก็ไม่กล้าปลุกใครมือของเธอสั่นเทาเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาของเธอกวาดมองรายชื่อในสมุดโทรศัพท์อย่างว้าวุ่น
เมษาเรียกคิรินให้ยืนตรงหน้าหุ่นตัดเสื้อพร้อมสายวัดในมือ ตอนแรกเมษาจะวัดให้ เอง แต่ทันใดนั้น เดย์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูเมษา ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ใบหน้าของเมษาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมษาดูเหมือนจะ ลังเล อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปทางเกลด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ“เกล... ฝากวัดตัวคิรินก่อนได้มั้ย พอดีข้าวฟ่างอยากจะปรึกษาฉันเรื่องผ้าข้างนอกน่ะ”เกลไม่ทันจะพูดถามเหตุผลหรือปฏิเสธ เมษาและข้าวฟ่างก็รีบลากเดย์ที่ยังยืนทำหน้ากวนประสาทออกไปจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องนอกจากเธอกับคิรินก็ออกไปกันหมดคิรินยิ้มอย่างได้ใจ เขายืนกอดอกมองเกลที่กำลังถือสายวัดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้ครับ ดีไซเนอร์” คิรินพูดกวน ๆเกลไม่พูดอะไร แต่ความโมโหทำให้เธอต้องระบายออก เธอฟาดไปที่ต้นแขนคิรินแน่นทันที ด้วยม้วนสายวัดที่อยู่ในมือ เสียงดัง "เพียะ" ดังขึ้นเบาๆคิรินไม่ได้เจ็บ แต่เขายิ้มกว้างกว่าเดิมอีก“โอ๊ย! ทำอย่างกับไม่อยากอยู่ด้วยเลยนะครับ เพื่อนรัก”เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ทันทีว่าการวัดตัวนี้คือ กับดัก ที่คิรินกับเดย์วางแผนไว้แน่นอนนอกห้องสตูดิโอเมษาที่เพิ่งออกจากห้องมาพร้อมกับข้าวฟ่างและ
ทั้งแปดคนมานั่งรวมกันที่ร้านหมูกระทะชื่อดังที่อยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัย โต๊ะถูกจัดแยกออกเป็นสองชุด ซึ่งทำให้ พิชชี่ ต้องบ่นออกมาเสียงดังก่อนจะยอมไปนั่งโต๊ะข้าง ๆ“ฉันไม่อยากนั่งกินกับเธอย่ะเกล คนอะไรมากินหมูกระทะ ไม่ยอมกินหมูสามชั้น!” พิชชี่ว่าพลางกอดอกอย่างงอนๆ ทำเหมือนจำยอมต้องไปนั่งกับเดย์และข้าวฟ่างที่อีกโต๊ะหนึ่งโต๊ะนั้นเหมือนจะมีเสียงเฮฮามาตลอดส่วน แต่โต๊ะนี้ดูจะเงียบและมีบรรยากาศตึงเครียดกว่ามากเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีไนท์แฝดน้องของเดย์ที่บอกว่ารำคานพี่ตัวเองขอมานั่งโต๊ะนี้แทนดังนั้นโต๊ะของเกลจึงมีเพียงเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีหม้อไฟหมูกระทะที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตรงกลาง เกลกินอย่างกับคนระบายอารมณ์ แต่สิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกเรื่องแต่คลีนๆไว้ เมษาค่อยส่งเนื้อหมูส่วนเนื้อแดงให้เธอเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ที่เธอกินจะเป็น กุ้ง ปลา และผักมากกว่าเพื่อกันน้ำหนักที่จะขึ้นหลังกินมื้อนี้โต๊ะข้างๆ ดูจะมีสีสันมากกว่าโต๊ะของเธอมากเพราะแค่เธอต้องสบตากวนประสาทของไอ้เด็กเลี้ยงแกะแล้วมันก็โคตรจะน่าหงุดหงิดเลยคิรินใช้ตะเกียบของเขาคีบหมูสามชั้นช
ห้องสตูดิโอของคณะศิลปกรรมศาสตร์ดูวุ่นวายกว่าปกติ เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ คลอไปกับเสียงฝีเท้าของนางแบบที่กำลังซ้อมเดินอยู่บนเวทีชั่วคราวเกลอยู่ในชุดนักศึกษาที่เสื้อเข้ารูปและกระโปรงสั้นตามแฟชั่น เธอผมบลอนด์อ่อน และแต่งหน้าอย่างประณีตราวกับเป็นนางแบบเสียเอง เธอนั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะกรรมการอย่างมาดมั่น ข้างๆคือข้าวฟ่างผู้กำลังจดบันทึกด้วยความตั้งใจและพิชชี่ ผู้ทำหน้าที่วิจารณ์ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน“คนนี้ดีไซน์สวยมาก แต่แววตาดูนิ่งๆไปหน่อย เราน่ะมันต้องใช้คนที่มี จิตวิญญาณนะยะ ไม่ใช่หุ่นยนต์!” พิชชี่บ่นพลางโบกมือปฏิเสธนางแบบคนที่สิบ“ใจเย็นๆ นะคะพิชชี่” ข้าวฟ่างพยายามปราม “เราเน้นที่รูปร่างก่อนค่ะ เพราะชุดของเรายังไม่เสร็จ”“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถ้านางแบบเราหากันไม่ได้จริงๆ ก็ให้เมษานี้แหละถ่าย” เกลสรุปเพราะตอนนี้เธอยังไม่เจอใครถูกใจเลย เมษารูปร่างสูงเพียวเหมือนนางแบบ ที่เธอกำลังเครียดตอนนี้คงจะเป็น นายแบบชายมากกว่าเมษา ในฐานะผู้ประสานงานหลัก ยืนอยู่ใกล้ประตู เธอกำลังใช้โทรศัพท์มือถือจัดการธุระอย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับกลุ่มนักศึกษาชายสามคนที่ก้าวเข้ามาเดย์ เดินนำหน้ามา
ห้องประชุมคณะกรรมการนักศึกษา, มหาวิทยาลัย Xเกลกับข้าวฟ่างกำลังก้มหน้าปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด โต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษสเก็ตช์และนิตยสารแฟชั่นเล่มหนา“ฉันคิดว่าเราควรใช้ผ้าดิบเป็นหลักนะเกล” ข้าวฟ่างเสนอ“แล้วค่อยใช้เทคนิคการปัก การลงสี และการพิมพ์ลายแบบศิลปะเข้ามา มันจะสื่อถึงคอนเซปต์เข้าถึงยาก ได้ชัดเจน”“อืม… ดีเลยข้าวฟ่าง” เกลตอบขณะที่กำลังวาดโครงสร้างคอเสื้อที่ดูแปลกตา“เราต้องออกแบบชุดสำหรับผู้หญิงให้เสร็จก่อน แล้วค่อยปรับให้เข้ากับสรีระนายแบบที่จะมาเดินคู่กัน แต่ปัญหาคือนายแบบน่ะสิ” เรื่องนางแบบเธอไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะเมษาจะรับหน้าที่นั้น เสียงประตูเปิดผางออกอย่างไม่สุภาพ ก่อนที่พิชชี่จะพุ่งเข้ามาพร้อมเมษาตามมาติด ๆ“เจอแล้ว! คนที่จะมาเป็นนายแบบของแกแล้ววเกล!” พิชชี่ประกาศเสียงดัง เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือที่เซฟรูปชายหนุ่มในอินสตาแกรมไว้แล้ว“ดูนี่สิ! วิน! ลูกชายเจ้าของแกลเลอรี่! เขาคือความดิบที่แสนจะแพง! เขาคือความหล่อของประเจ้าเลย”เกลหยิบโทรศัพท์ของพิชชี่มาดูอย่างพิจารณา ภาพชายหนุ่มที่ดูเย็นชาในชุดเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่มีร่องรอยของสีและผงฝ
โรงอาหารกลาง มหาวิทยาลัย Xกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนมานั่งรวมกันที่โต๊ะประจำในโซนที่เงียบสงบที่สุดของโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยเกลซึ่งมีใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างประณีตราวกับเพิ่งออกจากสตูดิโอกำลังกินสลัดไก่ย่าง ที่ไร้น้ำสลัดรสจัดจ้านเพื่อควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ขณะที่ข้าวฟ่างกินข้าวมันไก่ชามโตได้อย่างสบายอารมณ์“นี่! ฉันบอกแล้วไงว่าปีนี้เด็ดจริง! ฉันเห็นน้องปีหนึ่งสาขาการแสดงคนหนึ่งชื่อ ต้า” พิชชี่เริ่มเปิดประเด็นเม้าท์มอยทันทีที่นั่งลง เขาเลือกสั่งบะหมี่เกี๊ยวและกำลังใช้ช้อนเขี่ยหมูแดงส่วนมัน ๆ ออกอย่างประณีต“ไม่ต้องเขี่ยก็ได้มั้งพิชชี่” เมษาที่นั่งตรงข้ามพูดพลางหัวเราะเบา ๆ เธอเลือกเมนูมังสวิรัติ“ไม่ได้ย่ะ! ฉันเป็นศิลปะการแสดง! ฉันต้อง Maintain หุ่น! ไม่เหมือนพวกดีไซเนอร์บางคนที่กินแต่ผักกาดหอมจนจะกลายเป็นกระต่าย” พิชชี่ว่าพลางเหลือบมองจานสลัดของเกลเกลตักผักเข้าปากอย่างใจเย็น เธอจัดระเบียบเส้นผมสีบลอนด์และตรวจสอบการเขียนขอบตาของตัวเองผ่านกระจกในตลับแป้งเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แม้จะกินสลัด เธอก็ยังคงไว้ซึ่งความงามที่สมบูรณ์แบบ“แล้วต้าที่ว่านั่นมันดียังไงเหรอ?” ข้าวฟ่างถามอย่างสนใจ ด







