ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่บ่ายคลื่นเริ่มแรงตั้งแต่ยังไม่ทันพรบค่ำ
นีร่าพยายามว่ายหนีคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวเเละเริ่มกลืนทุกอย่างในน้ำไปทีละนิด "พายุมา โอ๊ะ !! เเย่เเล้ว ข้า ขอเถิดเทพผู้รักษา อย่าให้อันตรายเกิดขึ้นกับข้าเลย…" แต่ท้องทะเลที่กำลังปั่นป่วนกลับไม่ฟังคำอ้อนวอนของใคร เสียงลมหวีดดังแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมๆของเงือกสาว คลื่นลูกหนึ่งซัดแรงใส่หลังนางจนหายใจไม่ทัน ทำให้ถูกคลื่นกลืนหายลงไปในน้ำเเละพัดพานางลอยอกไปไกล ภาพสุดท้ายที่เห็นคือฝั่งไกลลิบ แล้วทุกอย่างก็มืดดับลง ร่างนีร่าถูกคลื่นพัดมาเกยอยู่บนหาดทราย ตัวนางนอนแน่นิ่ง หายใจแผ่ว หัวเปียกชุ่ม ผมเต็มไปด้วยเม็ดทรายจากชายหาด หางเงือกของนางที่เคยแวววาวเปียกโชกและเป็นครีบ ค่อย ๆแตกปลาย ทีละนิด ทีละน้อยผิวที่เคยลื่นเป็นเกล็ดเปลี่ยนเป็นผิวหนังซีด ๆหางที่เคยงามกลายเป็นขาสองข้าง แห้งกรังและเปลือยเปล่า นางนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น ในสภาพที่ดูไม่ต่างจากผู้หญิงคนหนึ่งที่หมดแรงกลางพายุ ลมยังพัดแรงอยู่ จนเสื้อผ้าที่พันไว้หลุดไปกับคลื่น เหลือเพียงร่างเปล่าเปลือยที่นอนอยู่ท่ามกลางฝนพรำ หลังจากพายุสงบ เวลาผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาจากทางสะพาน ที่ใช้ข้ามเเม่น้ำไปยังหมู่บ้านข้างหน้า เขาแบกตะกร้าปลาอยู่ในมือ เดินช้า ๆ มาตามชายฝั่งเพื่อเก็บอวนที่เขาจงใจวางไว้ แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นนาง “เฮ้ย...เฮ้ยยย! มีคนสลบอยู่ตรงนี้!” เขาวางของในมือทันที วิ่งฝ่าทรายเข้ามาหาพอเห็นว่านางยังมีลมหายใจ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แล้วก็หน้าแดงนิด ๆ เมื่อเห็นว่านางไม่มีเสื้อผ้า “ให้ตายเถอะ..เจ้าเป็นใคร มาจากไหน...” เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองคลุมให้นางอย่างลวก ๆ แล้วค่อย ๆ อุ้มร่างบางขึ้นในขณะที่ฝนยังคงโปรยลงมาไม่หยุด แต่เขาก็พานางกลับไปที่ บ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ห่างจากชายหาดไม่ไกลมากนัก... พอถึงบ้าน เขาก็วางนางลงบนเสื่อผืนเก่า แล้วไปค้นตู้หาเสื้อผ้าเก่าของอดีตภรรยาเพื่อมาใส่ให้เธอ เจอเสื้อคลุมที่เคยจะเอาไปทิ้งอยู่ถุงหนึ่ง “ก็หวังว่าจะฟื้นขึ้นมานะ...ไม่งั้นข้าซวยแน่ ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะนั่งรอให้เธอตื่นขึ้นมา ไฟสลัวในบ้านไม้หลังเล็ก บวกกับกับเสียงฝนข้างนอก กลายเป็นค่ำคืนแปลก ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเริ่มต้นต่อไปยังไง. นีร่าเริ่มรู้สึกตัวทีละนิดลมหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับพึ่งตื่นจากฝันร้าย กลิ่นไม้แห้งกับกลิ่นควันจาง ๆ ลอยเข้าจมูก ไม่ใช่กลิ่นเกลือทะเลที่คุ้นเคย...ไม่ใช่เสียงคลื่นที่นางเคยนอนฟังเสียงทุกคืน นางลืมตาขึ้นช้า ๆ เพดานไม้เก่า ๆ อยู่เหนือหัว แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างบานเล็ก เข้ามานางกะพริบตาถี่ ๆ พยายามตั้งสติ “ที่นี่...ที่ไหน.. นางพยายามขยับตัว ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกแปลกที่ ร่างกาย...มันไม่เหมือนเดิม ไม่มีน้ำเย็นให้นางเเหวกว่าย ไม่มีหางที่เคยสะบัดได้อย่างอิสระ นางก้มมองตัวเอง แล้วก็ชะงัก ข้ามี “ขา” ขาสองข้าง ที่เรียวยาว และเคลื่อนไหวได้อิสระ นะ…นี่มัน...อะไรกัน...?” นางเอามือลูบผิวแห้ง ๆ บนขาตัวเองอย่างเบามือ รู้สึกถึงเนื้อผ้าหยาบ ที่พันไว้รอบตัว เป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ กับผ้าผืนยาวที่ห่มคลุมตัวเอาไว้ เนื้อผ้าพวกนี้...แปลกประหลาดมันไม่ได้เบาสบายเหมือนเกล็ด นางขมวดคิ้ว มองรอบห้อง มีหม้อเพียงหม้อเก่า วางอยู่ข้างเตาไฟมีเก้าอี้ไม้โยก ที่เริ่มโยกตามแรงลม ที่ตรงหัวเตียงมีขันน้ำใบหนึ่ง และเสื้อคลุมแขวนอยู่บนตะปู นางพยายามจะลุก แต่ร่างกายยังอ่อนแรง ขาก็ยังไม่ชิน พอลุกขึ้นนั่งได้ ก็หายใจหอบเเละเริ่มมึนหัว “ทำไมถึงมีขา...ใครพาข้ามา...” จังหวะนั้นเองเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าบ้าน ประตูที่ทำจากไม้เปิดออกพร้อมเสียงทุ้ม ๆ ดังเข้ามา “เจ้าตื่นแล้วสินะ?” นีร่าสะดุ้ง นางหันไปมองชายหนุ่มในเสื้อผ้าแบบคนเรือ เสื้อเชิ้ตผ้าดิบพับแขน กางเกงผ้าสีเข้ม รองเท้าบู๊ตหนังเปื้อนทราย เขาถือขันน้ำกับขนมปังแห้งติดมือเข้ามาด้วย “ใจเย็น ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า ข้าแค่เจอเจ้าตอนคลื่นซัดขึ้นฝั่ง...เลยพามานอนที่นี่เสียก่อน” นีร่ายังไม่ทันพูด แต่ดวงตานางเต็มไปด้วยคำถาม ชายหนุ่มยื่นขันน้ำให้เธอ ยิ้มให้อย่างใจดี แล้วพูดว่า “เรียกข้าว่าอีวานก็ได้ ข้าอยู่แถวนี้แหละ เป็นคนหาปลา” ... นีร่ายกขันน้ำจิบเพราะรู้สึกกระหายน้ำนิดหน่อย เเต่รสจืดสนิท บางทีการมีขาอาจไม่ใช่คำสาป... แต่อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่นางยังไม่เข้าใจ เช้าตรู่วันต่อมา แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระท่อมไม้ทำให้เริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น อีวานยืนอยู่หน้าเตา มือถือไม้ฟืนท่อนเล็ก เตรียมจุดไฟหุงข้าว นีร่าคลานออกจากผ้าห่มอย่างงัวเงีย ผมสีทองยาวยุ่งเหยิง ตายังปรือตามแบบคนไม่เคยตื่นเช้า นางยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้างหลังเขา พยายามแอบมองว่าเขาทำอะไร “จะดูเฉย ๆ หรือจะลองทำล่ะ?” อีวานหันมายิ้มมุมปาก ทำให้นีร่าสะดุ้งนิด ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามานั่งยอง ๆ ข้างเตา นางมองฟืนแล้วก็หยิบขึ้นมาท่อนหนึ่ง แต่กลับเอาปลายที่แหลมจิ้มพื้นเล่น อีวานหัวเราะ “ไม่ใช่ของเล่นนะนั่น เอาไว้จุดไฟ” “มันจะลุกไหมถ้าแค่เอาไม้ไปจิ้ม...?” “ไม่ลุกแน่ ถ้าไม่หัด” ... อีธานยื่นหินจุดไฟกับเหล็กให้นาง นีร่ารับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ก็จับไม่ถูกมุมพอขูดทีแรก เศษไฟกระเด็นใส่ชายเสื้อ นางกรี๊ดแล้วโยนทิ้งแทบไม่ทัน “อ๊าย! ไฟมันจะกัดข้าไหมเนี่ย!” อีธานหลุดหัวเราะพรืด “ไฟไม่กัดเจ้าหรอก แต่ถ้าโยนเหล็กแบบนั้นอีก เดี๋ยวฟืนข้าหักหมดพอดี” ...พอได้ข้าวสุกนีร่าก็พยายามจะช่วยตักแต่จับที่ตักผิดด้าน เอาด้านแบนจุ่มข้าว ข้าวเลยกระเด็นเลอะไปทั่วอีธานส่ายหัวพลางยื่นมือมาช่วย แต่ก็ยังยิ้มอยู่ตลอดเพราะเก็บอาการเอ็นดูนางไม่ไหว ... หลังอาหาร อีธานสอนนางล้างชาม นีร่ามองถังน้ำกับฟองสบู่อย่างสงสัย นางจุ่มถ้วยลงไปเต็มใบ แทนที่จะใช้ฟองล้าง นางกลับเเกว่งไปมาอย่างเเรง พอเงยหน้าขึ้นมา หน้านางเต็มไปด้วยฟอง อีธานมองแล้วก็อดขำกับความไม่รู้ประสาของนาง เขามองหญิงสาวแปลกหน้าผู้ไม่รู้แม้แต่จะจับไม้กวาด แต่กลับยิ้มให้เขาอย่างไร้พิษภัย เเละเขาไม่เคยคิดว่าการสอนใครสักคนใช้ชีวิตจะมีความสุขขนาดนี้ นางเหมือนเด็กหญิงที่เพิ่งเรียนรู้โลกและเขา...ก็เหมือนคนที่ได้เริ่มโลกใหม่ไปพร้อมกัน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแค่ยื่นผ้าให้นางเช็ดหน้า แล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบหรอก ค่อย ๆ เรียนรู้ ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ”เวลาผ่านไปหลายเดือน อีธานเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่บนชายฝั่ง เขาได้สร้างมุมเล็ก ๆ บนเรือไม้ที่ไม่ใช้ล่องทะเลแล้ว เป็นบ้านชั่วคราวสำหรับเขาและลูก ผนังไม้ถูกแขวนเปลือกหอยและดอกไม้ทะเล เงือกตัวน้อยหัวเราะร่าเล่นน้ำในอ่างไม้กว้าง ขณะที่อีธานค่อย ๆ ช่วยเธอสอนว่ายน้ำ ฝึกหายใจ และทำความเข้าใจกับโลกบนบก“พ่อ… ข้าทำได้แล้วนะ!” เสียงเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอีธานยิ้มกว้าง มือเรียวจับมือเด็กไว้แน่น “ดีมาก! เจ้าทำได้จริง ๆ ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย” น้ำเสียงเขาอบอุ่น ราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้ทะเลกำลังโอบล้อมพวกเขาไว้ช่วงบ่ายที่เงียบสงบ คลื่นซัดเบา ๆ ผิวทะเลสะท้อนแสงตะวัน ทันใดนั้น คลื่นสูงขึ้นเล็กน้อยเหนือท้องน้ำ และร่างคุ้นเคยก็โผล่พ้นผิวน้ำ ดวงตาสีครามเจิดจ้า ยิ้มอ่อนโยน นีร่า—ราชินีแห่งท้องทะเล—ปรากฏอยู่ตรงหน้า“สวัสดี… ข้าแค่ผ่านมาแวะเยี่ยมสองพ่อลูกของข้า” เธอกระซิบ ราวกับเสียงคลื่นซัดเข้ามาเบา ๆลูกเงือกตัวน้อยตาเบิกกว้าง “แม่!?” แม้ยังเล็ก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจอีธานตาเบิกกว้าง ใจเต้นแรง มือยังกุมเด็กไว้แน่น เขายิ้มออกมา น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว “นีร่า… ข้า… ข้าคิดถึงเจ้า
คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินที่ยื่นออกไปกลางอ่าว อีธานนั่งอยู่คนเดียว มือกำสร้อย ที่นีร่าเคยให้เขาไว้แน่น สร้อยสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลม และทุกครั้งที่ดวงตาของเขาสบกับมัน ความทรงจำก็กลับมา รอยยิ้มของนีร่า เสียงหัวเราะในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว การต่อสู้ใต้ทะเลลึก และคำสัญญาที่ยังคงอยู่ในใจ“นีร่า… ข้า… ข้าอยากเจอเจ้า…” เสียงอีธานพึมพำเบาๆ มือของเขากำสร้อยแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแหลมใส ๆ ดังขึ้นจากน้ำ อีธานหันมอง เงาร่างเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ ผมสีทองฟุ้งราวกับเส้นแสง ดวงตาใสเหมือนมุกมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความไว้วางใจ“พ่อ…” เสียงนั้นเรียบง่าย แต่ชัดเจน ท่วงทำนองนั้นเจือความอบอุ่นและความคุ้นเคยที่ลึกซึ้งอีธานตาเบิกกว้าง มือที่กำสร้อยไว้เกือบหลุด ร่างเขาสั่นด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อสายตา “เฮ้… เจ้าคือ....เด็กเงือกตัวน้อยยิ้มกว้าง โบกมือ “ข้าคือ… ลูกของพ่อ เเม่ส่งข้าขึ้นมาอีธานแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาก้มลง กำมือทั้งสองของเด็กไว้แน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นและชีวิตที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง“นี่… จริงหรือ… ข้า… ข้าต้องดูแลเจ้า… ใช่ไหม?” เสียงเขาสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยควา
เสียงดนตรีเบาลง ดวงไฟระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำรอบ ๆ พระราชวัง เป็นฉากที่เหมาะกับความสงบ แต่ในใจของนีร่าเต็มไปด้วยความว้าวุ่นอีธานยืนอยู่ข้างเธอ มองออกไปยังผืนน้ำทะเลมืดกว่าปกติ “คืนนี้… ทุกอย่างเหมือนฝันเลยนะ” เขาพูดเบา ๆ ราวกับกลัวคำพูดจะทำให้มันแตกสลายนีร่ายิ้มบาง ๆ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ใช่… เหมือนฝัน… แต่ข้ากลับรู้สึกว่าฝันนี้กำลังจะจบลง”อีธานเงยหน้ามองนีร่า ดวงตาของเขาสื่อถึงความสงสัยและความเจ็บปวด “เจ้าหมายความว่าอะไร? นีร่า… อย่าบอกว่าข้าต้องเสียเจ้าไปอีกครั้งนะ”นีร่าเงียบไปสักครู่ สูดหายใจลึก ๆ ก่อนเอ่ยเสียงสั่น ๆ “ข้า… ต้องกลับไปยังทะเล… ข้าต้องกลับไปเป็นราชินีอีกครั้ง”อีธานชะงัก มือของเขาข้างหนึ่งจับข้อมือเธอแน่น “แต่…คืนนี้เจ้ากำลังอยู่ที่นี่กับข้า… เราเพิ่งรอดมา…เพิ่งเฉลิมฉลอง…เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรอกนะ”นีร่าหันหน้าหนี น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่สามารถอยู่ต่อได้…ทะเลต้องการข้า… ข้าต้องปกป้องมัน… และถ้าข้าไม่ไป… จะมีอีกหลายชีวิตที่ถูกคุกคาม… ข้าไม่สามารถเห็นใครต้องตายเพราะข้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง”อีธานสูดลึก พลางเอื้อมมือลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบ
พระราชวัง ถูกแปลงเป็นสวนแห่งแสงไฟ โคมไฟกระจกน้ำมันแขวนเรียงรายเหนือสวนล้อมด้วยต้นปาล์มทะเล แสงสีทองสะท้อนลงบนผิวน้ำบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลด้านนอกผสมกับเสียงดนตรีสดที่เล่นท่วงทำนองโจรสลัดปนหวานโต๊ะยาวจากไม้โอ๊กวางเรียงซ้อนด้วยจานเงิน จานทอง และชามมุก ภายในเต็มไปด้วยอาหาร—กุ้งย่างราดซอสไวน์ขาว ปูทะเลนึ่งเสิร์ฟคู่เนยสมุนไพร หอยนางรมสดวางบนก้อนน้ำแข็ง กุหลาบทอดคลุกเกลือทะเล และขนมปังอบใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลฟรอเรสในชุดเจ้าชายโจรสลัดเต็มยศเดินถือแก้วไวน์แดง ผ่านแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เขายืนคุยกับดรานที่กำลังหั่นเนื้อกวางป่า"บอกข้ามาตรง ๆ ดราน—เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะลงเอยแต่งงานแบบราชพิธี?"ดรานเหลือบมองแล้วยักไหล่ "ข้าคิดว่าเจ้าคงลงเอยในคุกมากกว่า"เสียงหัวเราะจากโต๊ะดังขึ้นทันทีที่ฟรอเรสหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า! ดีที่วันนี้ไม่ใช่คุก แต่ถ้าเป็นคุกที่มีไอล่าอยู่ด้วย ข้าก็ยอม”อีกมุมหนึ่งของงาน นีร่ากำลังสอนเด็ก ๆ ในเมืองเต้นรำแบบโจรสลัด เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะที่พยายามหมุนตัวและกระทืบเท้าตามจังหวะกลองอีธานกับซารีนกำลังเล่นพนันเล็ก ๆ ด้วยลูกเต๋า—แต่แ
เรือไม้ของฟรอเรสแล่นฝ่าคลื่นออกจากเขตน้ำวนได้ในที่สุด ทะเลกลับมาสงบลงทีละน้อย กลิ่นเกลือคละเคล้ากับกลิ่นไม้เก่า ๆ ของดาดฟ้าให้ความรู้สึกโล่งใจหลังผ่านพายุ “ฟู่… ข้าว่าเราสมควรหาที่นั่งดื่มสักเจ็ดแปดขวดเพื่อฉลองที่ยังมีชีวิต” ฟรอเรสเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองยิ้มกว้าง “ถ้าดื่มแล้วเรือไม่ถึงฝั่ง ก็ไม่ต้องฉลองหรอก” “เชื่อมือข้าเถอะ กัปตันเรือผู้นี้ไม่เคยชนโขดหิน… เอ่อ ก็มีครั้งเดียว แต่ นั่นเพราะหินมันขยับเข้ามาหาข้า” ฟรอเรสว่าพลางหัวเราะเสียงดัง ในที่สุด เส้นขอบฟ้าก็เผยให้เห็นเงาของวังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเกาะกลางทะเล ตัวปราสาทเป็นหินสีทองปนส้ม หลังคามุงกระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแดดจนแสบตา รอบ ๆ มีท่าเรือหินอ่อนและสวนปาล์มไหวเอนตามลม เมื่อเรือเทียบท่า บรรดาคนรับใช้สวมเสื้อผ้าสีสดพากันออกมาต้อนรับ ทั้งยกผลไม้ เหล้า และผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทุกคน ฟรอเรสยิ้มร่าแล้วหันไปหาไอล่า ซึ่งกำลังยืนมองวิวรอบ ๆ อย่างสงบ “นี่… เอ่อ…” เขาเกาท้ายคออย่างเก้อ ๆ ไอล่าเลิกคิ้ว “อะไรหรือ?” “คือ… ข้าเคยพาใครมาที่นี่ไม่กี่ครั้งนะ ส่วนใหญ่ก็แค่พวก… เอ่อ… ลูกเรือขี้เมา หรือไม่ก็พวกนักล่าค่าหัวที่มาขอที่ซุกหั
เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อยนีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.."นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติเธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ"คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย"เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก"ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ"เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน!เสียงไม้ครา