ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่บ่ายคลื่นเริ่มแรงตั้งแต่ยังไม่เย็น
นีร่าพยายามว่ายหนีคลื่นลูกโตที่เริ่มกลืนทุกอย่างในน้ำไปทีละนิด > "อย่าเพิ่งมาเลย…ยังไม่พร้อมจะไปไหน…" แต่ทะเลไม่ฟังใคร เสียงลมหวีดดังแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นโครม ๆ คลื่นลูกหนึ่งซัดแรงใส่หลังนางจนหายใจไม่ทัน ภาพสุดท้ายที่เห็นคือฝั่งไกลลิบ แล้วทุกอย่างก็มืดลง ... ร่างนีร่าถูกคลื่นพัดมาเกยอยู่บนหาดทราย ตัวนางนอนแน่นิ่ง หายใจแผ่ว หัวเปียกยุ่ง หางเงือกของนางที่เคยแวววาวเปียกโชกและเย็นเฉียบ ค่อย ๆ แตกปลาย ทีละนิด ทีละน้อยผิวที่เคยลื่นเป็นเกล็ดเปลี่ยนเป็นผิวหนังซีด ๆ หางที่เคยงามกลายเป็นขาสองข้าง แห้งกรังและเปลือยเปล่า นางนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น ในสภาพที่ดูไม่ต่างจากผู้หญิงคนหนึ่งที่หมดแรงกลางพายุ ลมยังพัดแรงอยู่ จนเสื้อผ้าที่พันไว้หลุดไปกับคลื่น เหลือเพียงร่างเปล่าเปลือยที่นอนอยู่ท่ามกลางฝนพรำ เวลาผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาจากทางสะพานไม้ เสื้อเเขนยาวสีซีด กางเกงขายาวเปียกฝน เขาแบกตะกร้าปลาอยู่ในมือ เดินช้า ๆ มาตามชายฝั่งเพื่อเก็บอวน แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นนาง > “เฮ้ย...เฮ้ยยย! มีคนสลบอยู่ตรงนี้!” เขาวางของในมือทันที วิ่งฝ่าทรายเข้ามาหาพอเห็นว่านางยังหายใจ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แล้วก็หน้าแดงนิด ๆ เมื่อเห็นว่านางไม่มีเสื้อผ้า > “ให้ตายเถอะ..เจ้าเป็นใคร มาจากไหน...” เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองคลุมให้นางอย่างลวก ๆ แล้วค่อย ๆ อุ้มร่างบางขึ้นฝนยังคงโปรยลงไม่หยุด แต่เขาก็พานางกลับบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ห่างจากชายหาดไม่ไกล ... พอถึงบ้าน เขาก็วางนางลงบนเสื่อผืนเก่า แล้วไปค้นตู้หาเสื้อผ้าเก่า ๆเจอเสื้อคลุมที่เคยจะเอาไปทิ้งอยู่ถุงหนึ่ง > “ก็หวังว่าจะฟื้นขึ้นมานะ...ไม่งั้นข้าซวยแน่ ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะนั่งรอให้นางตื่นขึ้นมา ไฟสลัวในบ้านไม้หลังเล็ก กับเสียงฝนข้างนอก กลายเป็นค่ำคืนแปลก ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเริ่มต้นเรื่องอะไร... นีร่าเริ่มรู้สึกตัวทีละนิดลมหายใจนางหนัก ๆ และแผ่วเบา กลิ่นไม้แห้งกับกลิ่นควันจาง ๆ ลอยเข้าจมูก ไม่ใช่กลิ่นเกลือทะเลที่คุ้นเคย...ไม่ใช่เสียงคลื่นที่นางเคยนอนฟังทุกคืน นางลืมตาขึ้นช้า ๆ เพดานไม้เก่า ๆ อยู่เหนือหัว แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างบานเล็ก ๆ เข้ามานางกะพริบตาถี่ ๆ พยายามตั้งสติ > “ที่นี่...ที่ไหน.. นางพยายามขยับตัวทันใดนั้นเอง นางรู้สึกแปลก ร่างกาย...มันไม่เหมือนเดิม ไม่มีน้ำเย็น ๆ โอบล้อมไม่มีหางที่เคยสะบัดได้อย่างอิสระ นางก้มมองตัวเอง แล้วก็ชะงัก ข้ามี “ขา” ขาสองข้าง ที่เรียวยาว และเคลื่อนไหวได้อิสระ > “นี่มัน...อะไรกัน...?” นางเอามือลูบผิวแห้ง ๆ ของขาตัวเองเบา ๆรู้สึกถึงเนื้อผ้าหยาบ ๆ ที่พันไว้รอบตัว เป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ กับผ้าผืนยาวที่ห่มคลุมตัวเอาไว้ เนื้อผ้าพวกนี้...แปลกประหลาดมันไม่ได้เบาสบายเหมือนเกล็ด มันไม่ได้ลื่นไหลเหมือนสายน้ำนางขมวดคิ้ว มองรอบห้อง มีหม้อเก่า ๆ วางอยู่ข้างเตาไฟมีเก้าอี้ไม้โยกเบา ๆ ตามแรงลม ที่ตรงหัวเตียงมีขันน้ำใบหนึ่ง และเสื้อคลุมแขวนอยู่บนตะปู นางพยายามจะลุก แต่ร่างกายยังอ่อนแรง ขาก็ยังไม่ชิน พอลุกขึ้นนั่งได้ ก็หายใจถี่ ๆ อย่างมึนงง > “ทำไมถึงมีขา...ใครพาข้ามา...” จังหวะนั้นเองเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าบ้านฝาไม้เปิดออกพร้อมเสียงทุ้ม ๆ ดังเข้ามา > “เจ้าตื่นแล้วสินะ?” นีร่าสะดุ้ง นางหันไปมองชายหนุ่มในเสื้อผ้าแบบคนเรือ เสื้อเชิ้ตผ้าดิบพับแขน กางเกงผ้าสีเข้ม รองเท้าบู๊ตหนังเปื้อนทราย เขาถือขันน้ำกับขนมปังแห้งติดมือเข้ามาด้วย > “ใจเย็น ข้าไม่ทำอะไรเจ้า ข้าแค่เจอเจ้าตอนคลื่นซัดขึ้นฝั่ง...เลยพามานอนที่นี่ก่อน” นีร่ายังไม่พูดแต่ดวงตานางเต็มไปด้วยคำถามชายหนุ่มยื่นขันน้ำให้เธอ ยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า > “เรียกข้าว่าอีวานก็ได้ ข้าอยู่แถวนี้แหละ เป็นคนหาปลา” ... นีร่ายกขันน้ำจิบเบา ๆรสจืดสนิท แต่กลับทำให้หัวใจนางอุ่นขึ้นอย่างแปลกประหลาด บางทีการมีขาอาจไม่ใช่คำสาป... แต่อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่นางยังไม่เข้าใจ เช้าตรู่วันต่อมา แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระท่อมไม้ที่เริ่มอุ่นขึ้น อีวานยืนอยู่หน้าเตาฟืน มือถือไม้ฟืนท่อนเล็ก ๆ เตรียมจุดไฟหุงข้าว นีร่าคลานออกจากผ้าห่มอย่างงัวเงีย ผมสีทองยาวยุ่งเหยิง ตายังปรือตามแบบคนไม่เคยตื่นเช้า นางยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้างหลังเขา พยายามแอบมองว่าเขาทำอะไร > “จะดูเฉย ๆ หรือจะลองทำล่ะ?” อีวานหันมายิ้มมุมปากให้นีร่าสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามานั่งยอง ๆ ข้างเตา นางมองฟืนแล้วก็หยิบขึ้นมาท่อนหนึ่ง แต่กลับเอาปลายที่แหลมจิ้มพื้นเล่น อีวานหัวเราะเบา ๆ > “ไม่ใช่ของเล่นนะนั่น เอาไว้จุดไฟ” > “มันจะลุกไหมถ้าแค่เอาไม้ไปจิ้ม...?” > “ไม่ลุกแน่ ถ้าไม่หัด” ... อีวานยื่นหินเหล็กไฟกับเหล็กให้นางนีร่ารับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ก็จับไม่ถูกมุมพอขูดทีแรก เศษไฟกระเด็นใส่ชายเสื้อ นางกรี๊ดแล้วโยนทิ้งแทบไม่ทัน > “อ๊าย! ไฟมันจะกัดข้าไหมเนี่ย!” อีวานหลุดหัวเราะพรืด > “ไฟไม่กัด แต่ถ้าโยนเหล็กแบบนั้นอีก เดี๋ยวฟืนข้าหักหมดพอดี” ... พอได้ข้าวสุกนีร่าก็พยายามจะช่วยตักแต่จับทัพพีผิดด้าน เอาด้านแบนจุ่มข้าว ข้าวเลยกระเด็นเลอะไปทั่วอีวานส่ายหัวพลางยื่นมือมาช่วย แต่ก็ยังยิ้มอยู่ตลอด ... หลังอาหาร อีวานสอนางล้างถ้วยนีร่ามองถังน้ำกับฟองสบู่อย่างสงสัย นางจุ่มถ้วยลงไปเต็มใบ แทนที่จะใช้ฟองล้าง พอเงยหน้าขึ้นมา หน้านางเต็มไปด้วยฟอง อีวานมองแล้วก็หลุดหัวเราะอีกรอบ > “นี่เจ้าจะอาบน้ำให้ชามเหรอ?” นีร่าหน้าบูดแต่ก็หัวเราะออกมาในที่สุด ... อีวานมองหญิงสาวแปลกหน้าผู้ไม่รู้แม้แต่จะจับไม้กวาด แต่กลับยิ้มให้เขาอย่างไร้พิษภัยเขาไม่เคยคิดว่าการสอนใครสักคนใช้ชีวิตจะมีความสุขขนาดนี้ นางเหมือนเด็กหญิงที่เพิ่งเรียนรู้โลกและเขา...ก็เหมือนคนที่ได้เริ่มโลกใหม่ไปพร้อมกันเขาไม่ได้พูดอะไรต่อแค่ยื่นผ้าซับหน้าให้เธอเบา ๆ แล้วพูดว่า > “ไม่ต้องรีบหรอก ค่อย ๆ เรียนรู้ ข้าอยู่ตรงนี้แหละ”อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส