เช้าวันแรก ฉันยังไม่ค่อยชินกับร่างกายที่ต้องเดินแทนว่าย ต้องหายใจด้วยจมูกแทนเหงือก ทุกอย่างดูแปลกไปหมด แม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็รู้สึกอึดอัดนิดๆ เหมือนกำลังห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
อีธานยื่นเสื้อคลุมมาให้ “หนาวมั้ย ใส่นี่ไว้นะ ลมแรงนิดนึง” “ขอบใจนะ” ฉันรับมาใส่แบบเก้ๆ กังๆ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าจะพาเดินดูรอบเมือง เจ้าจะได้รู้จักโลกของฉันมากขึ้น” ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวตามเขาไป เมืองบนพื้นดินไม่เหมือนอะไรที่ฉันเคยเห็นมาก่อน ตึกเรียงรายสองข้างถนน สีสันสดใส ผู้คนเดินสวนกันไปมา บ้างก็หัวเราะ บ้างก็อุ้มเด็กเล็กไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมของขนมปังลอยมากับลม ฉันเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านเบเกอรี่ที่อีธานบอกว่า “อร่อยที่สุดในเมือง” “ตรงนี้เป็นร้านขนมปัง ข้าชอบมาซื้อเวลาหิวตอนบ่าย” เขาชี้ไปที่ร้านกระจกใส “กลิ่นมันหอมมากเลย” ฉันพูดอย่างตื่นเต้น ดวงตายังไม่ละไปจากขนมที่โชว์อยู่หลังตู้ “ไว้วันหลังเราค่อยลองด้วยกัน” เขาว่า แล้วเดินต่อไปช้าๆ ให้ฉันได้มองทุกอย่างรอบตัวอย่างเต็มตา ขณะที่เรากำลังจะเดินข้ามถนน เสียงหนึ่งก็ดังมาจากอีกฟาก “อีธาน! เจ้ามากับใครน่ะ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินข้ามถนนมาอย่างเร็ว ผมยุ่งๆ เหมือนไม่ได้หวีมาหลายวัน แต่ใบหน้ายิ้มทะเล้นดูเป็นมิตร “นีร่า นี่ไคล์ เพื่อนข้าเอง” อีธานแนะนำ “สวัสดีจ้ะ” ฉันยิ้มให้เขาอย่างเก้อๆ “ว้าว…หน้าตาเหมือนหลุดมาจากหนังสือนิทานเลยนะ” ไคล์หัวเราะเบาๆ “เจ้ามาจากไหนเหรอ?” “ไกลมากเลยจ้ะ” ฉันตอบแบบไม่คิดจะโกหก แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง “แล้วมาอยู่กับอีธานได้ยังไงล่ะเนี่ย?” อีธานตอบแทนด้วยเสียงเรียบๆ “ฉันแค่ช่วยดูแลนางชั่วคราว นางยังไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่เท่าไหร่” ไคล์พยักหน้าช้าๆ มองฉันสลับกับอีธาน ก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน “อ๋อ…งั้นฝากดูแลดีๆ ล่ะกัน นายดูอารมณ์ดีผิดปกตินะตอนอยู่กับนาง” ฉันหลบสายตาเล็กน้อย ส่วนอีธานทำเป็นไม่สนใจ แต่ฉันเห็นหูเขาแดงแวบๆ “ข้าว่าเราไปเดินเล่นต่อดีกว่า” เขาพูดพร้อมพยักหน้าให้ไคล์ “ไปเลย เดี๋ยวข้าไปหาอะไรเย็นๆ กินดีกว่า” ไคล์ยกมือบ๊ายบายแล้วเดินจากไปแบบสบายๆ เมื่อกลับมาเดินกันสองคนอีกครั้ง อีธานหันมาถามเสียงเบา “เจ้าเหนื่อยมั้ย?” ฉันส่ายหน้าแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไม่เลย…แค่รู้สึกเหมือนได้เจอโลกอีกใบ” “แล้วเจ้าชอบมั้ย โลกใบนี้” ฉันนิ่งไปนิด ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ชอบ…เพราะมีเจ้าอยู่ด้วย” หลังจากเดินชมเมืองกันสักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นหอมบางอย่างลอยมาแตะจมูกอีกครั้ง มันหวานละมุนจนทำให้ท้องร้องเบาๆ แบบที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อน อีธานหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “หิวแล้วสินะ เสียงท้องเจ้าไม่โกหกเลย” ฉันหน้าแดงนิดๆ รีบหลบตาอย่างเขินๆ “มันหอมจนอดไม่ได้น่ะ…” “งั้นไปลองขนมที่ร้านนั่นกันเลยดีกว่า รับรองว่าเจ้าจะติดใจ” เขาพาฉันเดินเข้าไปในร้านขนาดเล็กที่อบอุ่นด้วยกลิ่นขนมปังและเสียงเพลงเบาๆ โต๊ะไม้เล็กๆ กับแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกใสทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกนิทาน “รับอะไรดีคะ?” สาวหน้าร้านถามพร้อมรอยยิ้ม “ขอครัวซองต์หนึ่ง กับนมอุ่นหนึ่งแก้วครับ” อีธานหันมาถามฉันเบาๆ “เจ้าเอาด้วยมั้ย?” “ขเาขอแบบเดียวกับเจ้าก็ได้ ฉันไม่รู้ชื่ออะไรเลย…” ไม่นาน ขนมหอมๆ ก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ฉันจ้องมันเหมือนเป็นสิ่งประหลาด ก่อนจะหยิบขึ้นมากัดคำเล็กๆ แล้วต้องเบิกตากว้าง “อร่อยมากเลย!” อีธานหัวเราะเบาๆ “ฉันบอกแล้ว ว่าเจ้าต้องชอบ” ฉันยิ้มกว้าง พลางจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ รู้สึกแปลกดีที่ร่างกายอบอุ่นขึ้นจากข้างใน ไม่ใช่เพราะแสงแดดหรืออากาศ แต่เพราะอะไรบางอย่างที่เรียกว่า “ความสุขเล็กๆ” ระหว่างที่ฉันกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติแสนใหม่ เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น “ไคล์?” อีธานหันไปมองก่อนจะถอนใจ “ไม่คิดว่าจะตามมาถึงนี่นะ” ไคล์เดินมานั่งที่โต๊ะใกล้ๆ พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าไม่ได้ตามหรอก แค่หิวเหมือนกัน พอเห็นพวกเจ้าเดินเข้าร้านนี้ก็เลย…ตามมานิดนึง” เขาหันมาหาฉัน “แล้วเป็นไงบ้างนีร่า โลกของข้าน่ากลัวมั้ย?” ฉันส่ายหน้าช้าๆ “ไม่น่ากลัวเลย มีแต่ของแปลกๆ น่ารักเต็มไปหมด” “นั่นสินะ” ไคล์พยักหน้าเหมือนกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง “นางนี่แปลกดี เหมือนคนที่เพิ่งหัดยิ้มกับโลก…” ฉันชะงักนิดหนึ่ง แต่ยังคงยิ้ม “อาจจะใช่ก็ได้…” ไคล์หรี่ตาเล็กน้อย เหมือนเริ่มสงสัยบางอย่างในใจ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ อีธานก็ขัดขึ้นเบาๆ “นางยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ไคล์ อย่าเพิ่งถามอะไรเยอะนัก” ฉันหันไปมองอีธาน เขามองกลับมาด้วยสายตาอ่อนโยน แบบที่ทำให้ใจฉันสั่นวูบอย่างไม่มีเหตุผล หลังจากอิ่มอร่อยกับขนมหอมๆ และนมอุ่น ฉันกับอีธานก็เดินออกจากร้านมาแบบสบายใจ ลมยามบ่ายพัดผ่านใบไม้ดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ เหมือนกำลังเล่นดนตรี ฉันหันไปมองน้ำพุเล็กๆ กลางลาน เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมมือแตะหยดน้ำใสๆ ที่กระเด็นขึ้นมา เย็น...ใส...และเหมือนมันเรียกฉันกลับบ้าน “นีร่า...” อีธานเรียกเบาๆ ฉันรีบชักมือกลับทันที ไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่เขาก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ “ไม่เป็นไรหรอก แค่น้ำเอง” เขายิ้ม ฉันพยักหน้า รับผ้าเช็ดมือมาอย่างเก้อๆ “นายเคยสงสัยมั้ย...” ฉันเอ่ยเบาๆ ขณะมองสายน้ำที่ไหลลงบ่อ “ว่าคนบางคนอาจมาจากที่ที่เราไม่รู้จักเลย” อีธานนิ่งไปนิด ก่อนตอบเสียงนุ่ม “เคยนะ แต่ถ้ามาจากไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าข้าหรือเปล่า” ฉันหันไปสบตาเขาโดยไม่ตั้งใจ และรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในอกมันเต้นแรงกว่าปกติ “โอ๊ย!” เสียงลั่นจากอีกมุมทำให้เราทั้งคู่หันไปมอง — ไคล์สะดุดขอบกระถางต้นไม้เข้าอย่างจัง จนล้มลงกองกับพื้น “ฉันแค่จะเดินตามดูเฉยๆ ไม่ได้แอบฟังสักหน่อย!” เขารีบลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นตัวเองแรงๆ “เจ้าตามเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” อีธานขมวดคิ้ว “ก็...ไม่ได้นานนัก” ไคล์หัวเราะแห้งๆ แล้วหันมามองฉัน “เจ้า...เคยว่ายน้ำมั้ยนีร่า?” ฉันชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้นกะทันหัน “เอ่อ...เคยสิ” ฉันตอบรวบรัด แล้วเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “รู้สึกว่าเจ้าชอบน้ำมากเลยนะ ฉันเห็นเจ้ามองมันนานมาก…” ฉันไม่ตอบอะไร นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ไคล์ยิ้มบางๆ อย่างคนเริ่มจับจุดได้ “แปลกดีนะ เจ้าไม่คุ้นกับของบนำพื้นดิน แต่ดูคล่องกับน้ำมากกว่าคนธรรมดาซะอีก” อีธานพูดแทรกขึ้นมาทันที “พอเลยไคล์ อย่าเล่นอะไรแปลกๆ กับนางแบบนั้น” “แค่สงสัยนิดหน่อย” ไคล์ยกมือยอมแพ้ “แต่ถ้านางมีความลับจริงๆ...ข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ ข้าเป็นพวกเก็บความลับเก่ง” “ฉันไม่ได้มีความลับอะไร...” ฉันรีบพูด แต่ในใจกลับสั่นระรัว แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่สายตาของไคล์กลับบอกว่า...เขาเริ่มรู้แล้ว ว่าฉันไม่เหมือนคนอื่นอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส