เช้าวันแรก ข้ายังไม่ค่อยชินกับร่างกายที่ต้องเดินแทนว่าย ต้องหายใจด้วยจมูกแทนเหงือก ทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด แม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็รู้สึกอึดอัดนิดๆ เหมือนกำลังห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วยอะไรสักอย่าง
อีธานยื่นเสื้อคลุมให้ “หนาวมั้ย ใส่นี่ไว้นะ ลมแรงนิดนึง” “ขอบใจนะ” นาง รับไปใส่อย่างเก้ๆ กังๆ เขายิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าจะพาเดินดูรอบเมือง เจ้าจะได้รู้จักผู้คน เเละเมืองของข้ามากขึ้น” นางพยักหน้ารับรู้ แล้วรีบก้าวเท้าตามหลังเขาไป เมืองบนพื้นดินไม่เหมือนอะไรที่ข้าเคยเห็นมาก่อน ตึกเรียงรายสองข้างถนน สีสันสดใส ผู้คนเดินสวนกันไปมา บ้างก็หัวเราะ บ้างก็อุ้มเด็กเล็กไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมของขนมปังลอยมากับลม ข้าเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านเบเกอรี่ที่อีธานบอกว่า อร่อยที่สุดในเมือง ชักอยากชิมเเล้วสิ มันจะมีรสชาติเหมือนไข่เม่นที่ข้าเคยกินหรือเปล่านะ “ตรงนี้เป็นร้านขนมปัง ข้าชอบมาซื้อเวลาท้องว่าง” เขาชี้ไปที่ร้านเพิงขนมปังริมทาง ที่มีควันพวยพุ่งจากขนมที่อบขึ้นใหม่ “กลิ่นมันช่างหอม” ข้าพูดอย่างตื่นเต้น สายตายังไม่ละไปจากขนมที่วางขายเรียงราย “ไว้วันหลังเราค่อยลองด้วยกัน”เขาว่า แล้วเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่เรากำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่ง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากอีกฟาก “อีธาน! เจ้ามากับใครน่ะ?” ชายหนุ่มรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินข้ามฝั่งมาอย่างรวดเร็ว ผมยุ่งๆ เหมือนไม่ได้หวีมาหลายวัน แต่ใบหน้ากลับยิ้มทะเล้นอย่างเป็นมิตร “นีร่า นี่ไคล์ เพื่อนข้าเอง” อีธานแนะนำ “สวัสดีจ้ะ” ข้ายิ้มให้เขาอย่างเก้อๆ “ว้าว…หน้าตาเจ้าเหมือนหลุดมาจากเทพนิยายเลยนะ” ไคล์เอ่ยเเซวพลางหัวเราะเบาๆ ”เจ้ามาจากไหนเหรอ?” “ไกลมากเลยจ้ะ” ข้าตอบแบบคนที่คิดคำพูดไม่ทัน แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง “แล้วมาอยู่กับอีธานได้ยังไงล่ะเนี่ย?” อีธานตอบแทน “ฉันแค่ช่วยดูแลนางชั่วคราว นางยังไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่เท่าไหร่ นางย้ายมาต่างถิ่น” เขาเเก้ตัวเเทนข้าได้อย่างเเนบเนียน ไคล์พยักหน้าช้ารับรู้ มองข้าสลับกับอีธาน ก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน “อ๋อ…งั้นฝากเจ้าดูแลนางดีๆ เเล้วกัน เเละเอ่อ…นายดูอารมณ์ดีผิดปกตินะตอนอยู่กับนาง”” เขาพูดต่ออย่างไม่หายสงสัย ข้าหลบสายตาเล็กน้อย ส่วนอีธานทำเป็นไม่สนใจ แต่ข้าเห็นหูเขาแดงเเปร้ด… “ข้าว่าเราไปเดินเล่นต่อดีกว่า” เขาพูดพร้อมกับตัดบทสนทนากับเพื่อน “ไปเลย เดี๋ยวข้าไปหาอะไรเย็นๆ กินดีกว่า”ไคล์ยกมือบ๊ายบายแล้วเดินจากไปเเบบรู้ตัว เมื่อกลับมาเดินกันสองคนอีกครั้ง อีธานหันมาถามเสียงเบา “เจ้าเหนื่อยมั้ย?” ฉันส่ายหน้าแล้วเงยมองท้องฟ้าสีคราม“ไม่เลย…แค่รู้สึกเหมือนได้เจอโลกอีกใบ” “แล้วเจ้าชอบมั้ย เมืองนี้” ข้านิ่งไปนิด ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ชอบ…เพราะมีคนเเบบเจ้าอยู่ด้วย” หลังจากเดินเล่นกันสักพัก ข้าก็เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นหอมบางอย่างลอยมาเตะจมูกอีกครั้ง มันช่างหอมหวานละมุนจนทำให้ท้องร้องออกมา แบบที่ข้าไม่เคยเป็นมาก่อน อีธานหัวเราะ พลางเอ่ยขึ้น “หิวแล้วสินะ เสียงท้องเจ้าไม่โกหกเลย” ข้าหน้าแดงนิดๆ รีบหลบตาอย่างเขินอาย“มันหอมจนอดไม่ได้น่ะ…” “งั้นไปลองขนมที่ร้านนั่นกันเลยดีกว่า รับรองว่าเจ้าจะติดใจ” เขาพาข้าเดินเข้าไปในร้านขนาดเล็กที่เต็มด้วยกลิ่นขนมปังและเสียงเพลงคลอเบาๆ โต๊ะไม้ขนาดเล็กตั้งอยู่ในร้าน กับแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกใสทำให้รู้สึกเหมือตกอยู่ในโลกนิทาน “รับอะไรดีคะ?”หญิงสาวเจ้าของร้านถามพร้อมรอยยิ้ม “ขอขนมปังก้อน กับนมอุ่นหนึ่งเเก้วครับ” อีธานหันมาถาม “เจ้าจะกินอะไร” “ข้าขอแบบเดียวกับเจ้าก็ได้ ข้าไม่รู้อะไรเลย…” ไม่นาน ขนมหอมๆ ก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ข้าจ้องมันประหนึ่งว่าเป็นสิ่งประหลาด ก่อนจะหยิบขึ้นมากัดคำเล็กๆ แล้วต้องเบิกตากว้าง “อร่อยมากเลย!” อีธานยิ้ม “ข้าบอกแล้ว ว่าเจ้าต้องชอบ” ข้ายิ้มกว้าง พลางยกชามนมอุ่นๆขึ้นดื่ม รู้สึกแปลกดีที่ร่างกายอบอุ่นขึ้นจากข้างใน ระหว่างที่ข้ากำลังเพลิดเพลินกับรสชาติที่เเปลกใหม่ เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น “ไคล์?” อีธานหันไปมองก่อนจะถอนใจ “ไม่คิดว่าจะตามมาถึงนี่นะ” ไคล์เดินมานั่งที่โต๊ะใกล้ๆ พร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าไม่ได้ตามหรอก แค่หิวเหมือนกัน พอเห็นพวกเจ้าเดินเข้าร้านนี้ก็เลย…นึกอยากจะกินขนมปังขึ้นมา” เขาหันมาทางข้า “แล้วเป็นไงบ้าง เจ้าเที่ยวสนุกไหม” “มีแต่ของแปลกตาเต็มไปหมด” “นั่นสินะ”ไคล์พยักหน้าเหมือนกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง “เจ้านี่แปลกดี เหมือนคนที่พึ่งเคยเห็นสิ่งพวกนี้” ข้าชะงักนิดหนึ่ง แต่ยังคงยิ้มลบเกลื่อน “อาจจะใช่ก็ได้เพราะข้าพึ่งเคยมาที่เมืองนี้…” ไคล์หรี่ตาเล็กน้อย เหมือนเริ่มสงสัยบางอย่างในใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไรต่อ อีธานก็ขัดขึ้นเบาๆ “นางยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ไคล์ เจ้าอย่าเพิ่งถามอะไรนางมากนัก นางพึ่งจะพบเจอเรื่องเลวร้ายมา” ข้าหันไปมองอีธาน เขามองกลับมาด้วยสายตาอ่อนโยน แบบที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหวอย่างไม่มีเหตุผล หลังจากอิ่มอร่อยกับขนมตรงหน้า และนมอุ่น ข้ากับอีธานก็เดินออกจากร้านมาแบบอิ่มจนท้องเเทบปริ ลมยามบ่ายพัดผ่านใบไม้หน้าร้าน เสียงกริ่งประตูดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ นางหันไปมองน้ำพุบ่อเล็กๆ กลางลาน เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมมือแตะหยดน้ำใสๆ ที่กระเด็นขึ้นมา เย็นเเละ...ใส...และมันทำให้ข้าอดที่จะนึกถึงบ้านไม่ได้ “นีร่า...” เจ้า….กำลังทำอะไร เสียงของอีธาน ทำให้นีร่าตื่นจากภวังค์ทันที ข้ารีบชักมือกลับ ไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่เขาก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ “ไม่เป็นไรหรอก แค่น้ำเอง” เขายิ้ม ข้าพยักหน้า รับผ้ามาเช็ดมือที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ “เจ้าเคยสงสัยมั้ย...” นีร่าเอ่ยขึ้น ขณะมองสายน้ำที่ไหลลงบ่อ “ว่าคนบางคนอาจมาจากที่ที่เราไม่เคยรู้จัก” อีธานนิ่งไปนิด ก่อนตอบ “เคยนะ แต่ถ้ามาจากไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าข้าเเล้ว” นีร่าหันไปสบตาเขาโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นเองนางก็ต้องชะงักกับเสียงที่ดังขึ้น “โอ๊ย!” เสียงร้องลั่นจากอีกมุมทำให้ทั้งคู่หันไปมอง ไคล์สะดุดขอบกระถางต้นไม้เข้าอย่างจัง จนล้มลงกองกับพื้น “ข้าแค่จะเดินตามดูเพราะเป็นห่วงนาง ไม่ได้แอบฟังสักหน่อย!”เขารีบพูดเเก้ตัวอย่างร้อนรน พลางลุกปัดฝุ่นจากออกเสื้อผ้า “เจ้าตามพวกข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” อีธานขมวดคิ้ว “ก็...ไม่ได้นานนัก” ไคล์หัวเราะแห้งๆ แล้วหันมามองทางข้า “เจ้า...เคยว่ายน้ำมั้ยนีร่า?” ข้าชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที “เอ่อ...เคยสิ” ข้าตอบเเบบขอไปทีเพื่อเบนความสนใจของไคล์ที่เริ่มถามเซ้าซี้มากขึ้นกว่าเดิม “รู้สึกว่าเจ้าชอบน้ำมากเลยนะ ข้าเห็นเจ้ามองมันนานมาก…” นีร่าไม่ตอบอะไร นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ไคล์เเสยะยิ้มให้ อย่างคนเริ่มจับจุดได้ “แปลกดีนะ เจ้าไม่คุ้นกับพื้นดินเเละสิ่งเเวดล้อมพวกนี้ แต่ดูชอบน้ำมากกว่าซะอีก” อีธานพูดแทรกขึ้นมาทันที “พอเลยไคล์ อย่าเล่นอะไรแปลกๆ กับนางแบบนั้น” “แค่สงสัยนิดหน่อย” ไคล์ยกมือยอมแพ้ “แต่ถ้านางมีความลับจริงๆ...ข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ ข้าเป็นพวกเก็บความลับเก่งจะตาย” “ข้าไม่ได้มีความลับอะไร...” นีร่ารีบพูดสวนขึ้นทันควัน แต่ใจกลับสั่นระรัวเหมือนคนโกหกไม่เก่งยังไงยังงั้น เเม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่สายตาของไคล์กลับบอกว่า...เขาเริ่มรู้แล้ว ว่าข้าผิดปกติเเละมีพิรุธออกมา หลังจากเเยกย้ายจากไคล์ อีธานก็บอกข้าว่า ไคล์เป็นพวกคลั่งนางเงือก เขามักจะตามติดหญิงสาวที่มาจากต่างเมือง หรือ หญิงสาวที่มีท่าทีเเปลก เพราะเขาคิดว่าพวกเธอคือเงือกที่ปลอมตัวมาใช้ชีวิตบนเมืองมนุษย์ อีกทั้งเขามีปมเรื่องพ่อที่ถูกนางเงือกทำร้ายเมื่ออดีตเวลาผ่านไปหลายเดือน อีธานเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่บนชายฝั่ง เขาได้สร้างมุมเล็ก ๆ บนเรือไม้ที่ไม่ใช้ล่องทะเลแล้ว เป็นบ้านชั่วคราวสำหรับเขาและลูก ผนังไม้ถูกแขวนเปลือกหอยและดอกไม้ทะเล เงือกตัวน้อยหัวเราะร่าเล่นน้ำในอ่างไม้กว้าง ขณะที่อีธานค่อย ๆ ช่วยเธอสอนว่ายน้ำ ฝึกหายใจ และทำความเข้าใจกับโลกบนบก“พ่อ… ข้าทำได้แล้วนะ!” เสียงเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอีธานยิ้มกว้าง มือเรียวจับมือเด็กไว้แน่น “ดีมาก! เจ้าทำได้จริง ๆ ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย” น้ำเสียงเขาอบอุ่น ราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้ทะเลกำลังโอบล้อมพวกเขาไว้ช่วงบ่ายที่เงียบสงบ คลื่นซัดเบา ๆ ผิวทะเลสะท้อนแสงตะวัน ทันใดนั้น คลื่นสูงขึ้นเล็กน้อยเหนือท้องน้ำ และร่างคุ้นเคยก็โผล่พ้นผิวน้ำ ดวงตาสีครามเจิดจ้า ยิ้มอ่อนโยน นีร่า—ราชินีแห่งท้องทะเล—ปรากฏอยู่ตรงหน้า“สวัสดี… ข้าแค่ผ่านมาแวะเยี่ยมสองพ่อลูกของข้า” เธอกระซิบ ราวกับเสียงคลื่นซัดเข้ามาเบา ๆลูกเงือกตัวน้อยตาเบิกกว้าง “แม่!?” แม้ยังเล็ก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจอีธานตาเบิกกว้าง ใจเต้นแรง มือยังกุมเด็กไว้แน่น เขายิ้มออกมา น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว “นีร่า… ข้า… ข้าคิดถึงเจ้า
คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินที่ยื่นออกไปกลางอ่าว อีธานนั่งอยู่คนเดียว มือกำสร้อย ที่นีร่าเคยให้เขาไว้แน่น สร้อยสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลม และทุกครั้งที่ดวงตาของเขาสบกับมัน ความทรงจำก็กลับมา รอยยิ้มของนีร่า เสียงหัวเราะในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว การต่อสู้ใต้ทะเลลึก และคำสัญญาที่ยังคงอยู่ในใจ“นีร่า… ข้า… ข้าอยากเจอเจ้า…” เสียงอีธานพึมพำเบาๆ มือของเขากำสร้อยแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแหลมใส ๆ ดังขึ้นจากน้ำ อีธานหันมอง เงาร่างเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ ผมสีทองฟุ้งราวกับเส้นแสง ดวงตาใสเหมือนมุกมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความไว้วางใจ“พ่อ…” เสียงนั้นเรียบง่าย แต่ชัดเจน ท่วงทำนองนั้นเจือความอบอุ่นและความคุ้นเคยที่ลึกซึ้งอีธานตาเบิกกว้าง มือที่กำสร้อยไว้เกือบหลุด ร่างเขาสั่นด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อสายตา “เฮ้… เจ้าคือ....เด็กเงือกตัวน้อยยิ้มกว้าง โบกมือ “ข้าคือ… ลูกของพ่อ เเม่ส่งข้าขึ้นมาอีธานแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาก้มลง กำมือทั้งสองของเด็กไว้แน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นและชีวิตที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง“นี่… จริงหรือ… ข้า… ข้าต้องดูแลเจ้า… ใช่ไหม?” เสียงเขาสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยควา
เสียงดนตรีเบาลง ดวงไฟระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำรอบ ๆ พระราชวัง เป็นฉากที่เหมาะกับความสงบ แต่ในใจของนีร่าเต็มไปด้วยความว้าวุ่นอีธานยืนอยู่ข้างเธอ มองออกไปยังผืนน้ำทะเลมืดกว่าปกติ “คืนนี้… ทุกอย่างเหมือนฝันเลยนะ” เขาพูดเบา ๆ ราวกับกลัวคำพูดจะทำให้มันแตกสลายนีร่ายิ้มบาง ๆ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ใช่… เหมือนฝัน… แต่ข้ากลับรู้สึกว่าฝันนี้กำลังจะจบลง”อีธานเงยหน้ามองนีร่า ดวงตาของเขาสื่อถึงความสงสัยและความเจ็บปวด “เจ้าหมายความว่าอะไร? นีร่า… อย่าบอกว่าข้าต้องเสียเจ้าไปอีกครั้งนะ”นีร่าเงียบไปสักครู่ สูดหายใจลึก ๆ ก่อนเอ่ยเสียงสั่น ๆ “ข้า… ต้องกลับไปยังทะเล… ข้าต้องกลับไปเป็นราชินีอีกครั้ง”อีธานชะงัก มือของเขาข้างหนึ่งจับข้อมือเธอแน่น “แต่…คืนนี้เจ้ากำลังอยู่ที่นี่กับข้า… เราเพิ่งรอดมา…เพิ่งเฉลิมฉลอง…เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรอกนะ”นีร่าหันหน้าหนี น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่สามารถอยู่ต่อได้…ทะเลต้องการข้า… ข้าต้องปกป้องมัน… และถ้าข้าไม่ไป… จะมีอีกหลายชีวิตที่ถูกคุกคาม… ข้าไม่สามารถเห็นใครต้องตายเพราะข้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง”อีธานสูดลึก พลางเอื้อมมือลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบ
พระราชวัง ถูกแปลงเป็นสวนแห่งแสงไฟ โคมไฟกระจกน้ำมันแขวนเรียงรายเหนือสวนล้อมด้วยต้นปาล์มทะเล แสงสีทองสะท้อนลงบนผิวน้ำบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลด้านนอกผสมกับเสียงดนตรีสดที่เล่นท่วงทำนองโจรสลัดปนหวานโต๊ะยาวจากไม้โอ๊กวางเรียงซ้อนด้วยจานเงิน จานทอง และชามมุก ภายในเต็มไปด้วยอาหาร—กุ้งย่างราดซอสไวน์ขาว ปูทะเลนึ่งเสิร์ฟคู่เนยสมุนไพร หอยนางรมสดวางบนก้อนน้ำแข็ง กุหลาบทอดคลุกเกลือทะเล และขนมปังอบใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลฟรอเรสในชุดเจ้าชายโจรสลัดเต็มยศเดินถือแก้วไวน์แดง ผ่านแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เขายืนคุยกับดรานที่กำลังหั่นเนื้อกวางป่า"บอกข้ามาตรง ๆ ดราน—เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะลงเอยแต่งงานแบบราชพิธี?"ดรานเหลือบมองแล้วยักไหล่ "ข้าคิดว่าเจ้าคงลงเอยในคุกมากกว่า"เสียงหัวเราะจากโต๊ะดังขึ้นทันทีที่ฟรอเรสหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า! ดีที่วันนี้ไม่ใช่คุก แต่ถ้าเป็นคุกที่มีไอล่าอยู่ด้วย ข้าก็ยอม”อีกมุมหนึ่งของงาน นีร่ากำลังสอนเด็ก ๆ ในเมืองเต้นรำแบบโจรสลัด เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะที่พยายามหมุนตัวและกระทืบเท้าตามจังหวะกลองอีธานกับซารีนกำลังเล่นพนันเล็ก ๆ ด้วยลูกเต๋า—แต่แ
เรือไม้ของฟรอเรสแล่นฝ่าคลื่นออกจากเขตน้ำวนได้ในที่สุด ทะเลกลับมาสงบลงทีละน้อย กลิ่นเกลือคละเคล้ากับกลิ่นไม้เก่า ๆ ของดาดฟ้าให้ความรู้สึกโล่งใจหลังผ่านพายุ “ฟู่… ข้าว่าเราสมควรหาที่นั่งดื่มสักเจ็ดแปดขวดเพื่อฉลองที่ยังมีชีวิต” ฟรอเรสเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองยิ้มกว้าง “ถ้าดื่มแล้วเรือไม่ถึงฝั่ง ก็ไม่ต้องฉลองหรอก” “เชื่อมือข้าเถอะ กัปตันเรือผู้นี้ไม่เคยชนโขดหิน… เอ่อ ก็มีครั้งเดียว แต่ นั่นเพราะหินมันขยับเข้ามาหาข้า” ฟรอเรสว่าพลางหัวเราะเสียงดัง ในที่สุด เส้นขอบฟ้าก็เผยให้เห็นเงาของวังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเกาะกลางทะเล ตัวปราสาทเป็นหินสีทองปนส้ม หลังคามุงกระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแดดจนแสบตา รอบ ๆ มีท่าเรือหินอ่อนและสวนปาล์มไหวเอนตามลม เมื่อเรือเทียบท่า บรรดาคนรับใช้สวมเสื้อผ้าสีสดพากันออกมาต้อนรับ ทั้งยกผลไม้ เหล้า และผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทุกคน ฟรอเรสยิ้มร่าแล้วหันไปหาไอล่า ซึ่งกำลังยืนมองวิวรอบ ๆ อย่างสงบ “นี่… เอ่อ…” เขาเกาท้ายคออย่างเก้อ ๆ ไอล่าเลิกคิ้ว “อะไรหรือ?” “คือ… ข้าเคยพาใครมาที่นี่ไม่กี่ครั้งนะ ส่วนใหญ่ก็แค่พวก… เอ่อ… ลูกเรือขี้เมา หรือไม่ก็พวกนักล่าค่าหัวที่มาขอที่ซุกหั
เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อยนีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.."นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติเธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ"คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย"เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก"ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ"เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน!เสียงไม้ครา