เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี
หมอกบางลอยคลุมผืนน้ำ เงียบ...จนได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ที่ท่าเรือเก่า เรือไม้ลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่ลูกเรือเตรียมของกันวุ่นวาย แต่เรนยังยืนนิ่งอยู่ข้างขอบเรือ มองลงไปในทะเลนิ่ง ๆ ราวกับรออะไรบางอย่าง แล้ว...นีร่าก็โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ ผมสีทองเปียกหมาด ปลายผมแนบแก้มนางยิ้มจาง ๆ ให้เขา — ยิ้มที่เหมือนจะบอกว่า “ข้ารู้แล้ว...วันนี้ต้องมาถึง” เรนก้มลง ยื่นมือให้นางเหมือนทุกครั้งแต่มือนั้นสั่นน้อย ๆ > “ข้าต้องออกเรือน่ะ...มีของที่ต้องไปส่งอีกฟากเกาะ คงไม่กลับมาเร็วๆ นี้” “ก็ไม่ไกลมาก...แต่ก็คงไม่เจอกันสักพัก” นีร่ายังยิ้มอยู่แต่แววตานางหม่นลง > “ข้าเข้าใจ...โลกของเจ้ากว้างกว่าแค่ตรงนี้นี่นา” “แค่ข้าได้เห็นหน้าเจ้าก่อนออกเรือ...ก็ดีใจแล้ว” เรนเงียบไปนิดแล้วค่อยๆ ยื่นเเหวนวงหนึ่งให้เธอ > “เก็บไว้นะ... ถ้าเจ้าหลงทาง หรือคิดถึงบ้าน จะรู้ว่า...เจ้าเคยมีคนที่รอฟังเสียงทะเลเหมือนกัน” นีร่าเอื้อมมือไปรับไว้แน่นน้ำเค็มซึมที่ขอบตา แต่เธอฝืนยิ้ม > “แล้วข้าล่ะ… ถ้าข้าคิดถึงเจ้าล่ะ?” เรนหัวเราะในลำคอเบา ๆก่อนจะก้มลงแตะแก้มนางเบาๆ > “แค่เจ้าเงยหน้ามองพระจันทร์… ข้าก็จะอยู่ตรงนั้นแล้ว” คลื่นซัดกระทบขอบเรือเบาๆนีร่าว่ายถอยออกช้า ๆ มองเรือที่เริ่มขยับออกจากท่า ใบหน้านางยังยิ้ม...แต่น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงกับทะเล --- เสียงเรือแล่นห่างออกไปทุกที... แต่เสียงหัวใจของนาง ยังอยู่ตรงนั้น — ที่ขอบเรือไม้ และมือที่เคยกุมกันแน่น > “เรน…เจ้าจะต้องกลับมาหาข้านะ” นีร่าว่ายน้ำช้า ๆ กลับมาที่อ่าวมูนไวท์แต่ใจของนาง..ยังลอยอยู่กับเสียงเรือที่จากไป นางไม่รู้ว่าทำไมแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่เรนออกเรือ นางรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป... คืนนั้น นางไม่หลับ เงยหน้ามองจันทร์กลมๆ เหมือนที่เรนบอกไว้ > “แค่เจ้าเงยหน้ามองพระจันทร์… ข้าก็จะอยู่ตรงนั้นแล้ว” แต่พระจันทร์คืนนี้…ไม่อบอุ่นเหมือนคำพูดของเขาเลยสักนิด นีร่าว่ายขึ้นมาใกล้ผิวน้ำมองฝั่งที่เคยมีเรือไม้ลำเดิมจอดอยู่ทุกวัน > “เรน...ตอนนี้เจ้าอยู่ตรงไหนนะ” “จะกินข้าวบ้างรึเปล่า...นอนหลับดีไหม...” น้ำตาหยดเล็ก ๆ ไหลลงกับผืนน้ำแต่คลื่นก็พัดมันหายไป เหมือนไม่มีใครเคยเห็น คืนต่อมา... นีร่าว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำอีกครั้งแต่ครั้งนี้ นางว่ายออกไปไกลกว่าทุกวัน มุ่งหน้าไปทางเดียวกับที่เรือของเรนแล่นไปเมื่อวาน นางไม่รู้หรอกว่าจะว่ายไปถึงหรือเปล่าแต่แค่ใจมันบอกว่า... > “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้แล้ว” --- กลางทะเลลึก ท่ามกลางคลื่นลมยามค่ำนีร่าโผล่หน้าขึ้นจากผิวน้ำ ไม่มีเรือ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแม้แต่เสียงคนแต่แล้ว..นางก็สังเกตเห็นบางอย่างกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ลอยอยู่กลางทะเลถูกพันไว้กับขวดแก้วใส ในนั้น...มีอะไรบางอย่างนีร่าว่ายเข้าไปหยิบขึ้นมาเปิดขวดออก...แล้วหยิบกระดาษออกมาอย่างระวังเป็นลายมือของเรน > “ถึงนีร่าหญิงผู้เป็นที่รักของข้า ถ้าเจ้าเจอขวดนี้ แสดงว่าข้ายังคืดถึงเจ้าอยู่...” > “คืนนี้ข้านอนไม่หลับเลย เพราะใจข้าลอยอยู่กลางทะเล เหมือนเจ้ากำลังว่ายตามข้ามา” > “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะได้อ่านมันเมื่อไหร่แต่ขอแค่เจ้ารู้...ข้าคิดถึงเจ้าทุกลมหายใจ” นีร่ากำขวดไว้แน่น น้ำตาไหลเงียบ ๆแสงจันทร์ตกกระทบหยดน้ำบนแก้มนาง เหมือนเกลือทะเลมีแสงในตัว > “ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน...เรน” หลายวันผ่านไป หลายคลื่นพัดเข้าหาฝั่ง แล้วก็พัดออกไปแต่ไม่มีเรือไม้ลำนั้นกลับมาอีกเลยนีร่ายังว่ายขึ้นมาที่อ่าวมูนไวท์เหมือนเช่นเคยตรงจุดที่นางเคยนั่งคุยกับเขาตรงจุดที่มือของเขาเคยยื่นให้นางตรงที่ที่หัวใจเคยเต้นพร้อมกันเงียบ ๆนางนั่งเฝ้าอยู่แบบนั้นทุกเย็นมองออกไปไกลจนสุดขอบฟ้าเงียบ...เหมือนคลื่นก็อ่อนแรงตามหัวใจของนาง > “เรน… เจ้าหายไปไหนนะ” “รู้มั้ย…ข้ารอตรงนี้ทุกวันเลยนะ” บางวัน…นางเอาขวดใส่จดหมายโยนลงทะเลเขียนคำเดิมซ้ำ ๆ ว่า > ข้ายังอยู่ตรงนี้ แต่ไม่มีคำตอบกลับมาไม่มีขวดไหนลอยกลับไม่มีแม้แต่เสียงเรือในยามเช้าอีกเลย --- ฤดูเปลี่ยนไป ฝนโปรยลงทะเลลมแรงขึ้นแต่หัวใจของนีร่ายังคงอยู่ที่เดิมแม้ผิวน้ำจะเปลี่ยนสีแม้คลื่นจะกลืนทุกเศษความทรงจำแต่มีอย่างหนึ่งที่ยังอยู่... > “ความหวังเล็กๆ ว่าสักวัน…เขาจะกลับมา” --- กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะพระจันทร์เต็มดวงส่องลงผิวน้ำนีร่ายังว่ายมานั่งพิงโขดหินเหมือนเคยนางหลับตา สูดลมหายใจลึกในเงียบงัน นางพูดเบาๆ ราวกระซิบให้คลื่นฟัง > “ถ้าเจ้าไม่ได้หายไป...แต่เลือกจะไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรนะเรนข้าเข้าใจ” > “แค่นี้...มันก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจของข้า” น้ำทะเลเย็นเฉียบแต่ดวงตานางอุ่นด้วยน้ำตา --- และในห้วงลึกของมหาสมุทรที่ไม่มีใครรู้ มีขวดแก้วลอยนิ่งอยู่ใต้ซอกหินในนั้นมีจดหมายจากเขา... > “ถ้าวันใดที่ข้าไม่กลับไป >ไม่ใช่เพราะข้าไม่รักเจ้า แต่เพราะข้ารักเจ้าเกินกว่าจะพาเจ้ามาร่วมทางที่อันตรายเช่นนี้...”เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร