เสียงลมทะเลคำรามปะทะเรือซีฟินิกซ์ที่ถูกดึงออกจากท่า เจ้าชายฟลอเรสยืนตรงกลางลานกว้างของเมืองอควาเรียส ดวงตาของเขาเปล่งประกายความเด็ดเดี่ยวท่ามกลางแสงวาบวับของสายฟ้าที่กระชาก
“ทุกคน! ฟังข้าให้ดี!” ฟลอเรสตะโกนเสียงก้องจนคำสั่งของเขาตัดผ่านเสียงคลื่นและพายุ “พายุใหญ่กำลังซัดเข้าใกล้เมืองของเรา!” เสียงตะโกนจากผู้คนแตกตื่น ชายหญิงและเด็กต่างหยุดสิ่งที่ทำอยู่ หันมาจ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัวและรอคำสั่ง “อควาเรียสต้องไม่พังทลาย! พวกเจ้าทุกคนต้องเตรียมอพยพทันที!” ฟลอเรสเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง มือยกขึ้นสั่งการ “ย้ายไปยังเขตปลอดภัยทางตะวันตก หลีกเลี่ยงชายฝั่งและพายุที่จะโหมกระหน่ำ” เสียงระฆังเตือนภัยดังกึกก้องทั่วเมือง ทหารและผู้รักษาความปลอดภัยรีบเข้าควบคุมสถานการณ์ ขณะที่ชาวเมืองรีบเก็บข้าวของจำเป็น พากันขึ้นเรือเล็กและแพไม้ไผ่ เพื่อไปยังที่มั่นปลอดภัยที่เจ้าชายสั่งไว้ “อย่าลืม! ทุกคนที่อาจช่วยกันได้ จงอยู่เป็นกลุ่ม! ช่วยเหลือกันและกัน!” ฟลอเรสสั่ง พร้อมหันมองฟ้าครึ้มที่เริ่มปกคลุมไปด้วยเมฆดำทมิฬ เสียงคำรามของพายุและคลื่นยักษ์ก่อตัวเป็นสัญญาณเตือนภัยสุดอันตราย “คืนนี้…เราจะไม่ปล่อยให้อควาเรียสจมลงในทะเลแห่งความมืด!” เขาส่งเสียงกึกก้อง พลางมองไปยังท้องทะเลที่เรืองแสงสีมรกตใต้ผืนน้ำ เหมือนสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังรอคอยคำสั่ง ฟลอเรสยกมือขึ้นครั้งสุดท้าย ตะโกนให้ทุกคนได้ยินชัดเจน “สู้เพื่อชีวิต…สู้เพื่อบ้านของเรา!” เสียงกลองเตือนภัยผสานกับเสียงคลื่นที่พัดกระหน่ำ ราวกับโลกกำลังสั่นสะเทือนด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ลมทะเลกัดฟันกระหน่ำเข้าใส่บ้านเรือนริมฝั่งเมืองอควาเรียส เสียงคลื่นซัดโครมครามชนเข้ากับโขดหินดังสนั่นหวั่นไหว ทุกสายตาจับจ้องไปยังฟากฟ้าที่ครึ้มเต็มไปด้วยเมฆดำหนาทึบ เสียงคำรามของพายุทะเลใกล้เข้ามาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เจ้าชายฟลอเรสยืนอยู่บนยอดหอคอยสูงสุดของพระราชวัง มองออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่กำลังปั่นป่วนอย่างรุนแรง ใบหน้าคมเข้มส่องประกายด้วยความตั้งใจและความวิตกกังวล เขายกมือขึ้นสั่งการเสียงดังจนทะลุผ่านเสียงพายุ “อพยพ! ทุกชีวิตต้องรีบออกจากชายฝั่ง! ไม่มีข้อยกเว้น!” เสียงของเขาแข็งแกร่ง ดุดัน และแฝงด้วยความหวัง “เตรียมเรือ! เตรียมอาวุธ! ผู้ใดไม่พร้อมจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!” เด็กน้อยบางคนร้องไห้สะอึกสะอื้น หญิงชราหยิบจับตุ๊กตาเก่าแก่ด้วยมือสั่นเทา ชายหนุ่มลุยน้ำขึ้นเรือ ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ไม่ยอมแพ้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ความหวัง และความหวาดกลัวที่ท่วมท้น เสียงตะโกนของผู้บังคับบัญชาส่งคำสั่งอย่างต่อเนื่อง “เรือเล็กไปทางนั้น! ทีมอาวุธตั้งแนวที่ปากอ่าว! อย่าปล่อยให้คลื่นซัดเรือแตก!” เสียงเท้าผ่านพื้นไม้ ผสมกับเสียงฝีเท้าของชาวบ้านที่วิ่งหนีตาย กระเป๋า เสื้อผ้า อาวุธ และสิ่งของจำเป็นถูกขนขึ้นเรืออย่างรีบร้อน ฝูงเรือเล็กและแพไม้ไผ่ลอยไปตามกระแสน้ำที่เต็มไปด้วยคลื่นสูงและโหมกระหน่ำ ฟลอเรสยืนอยู่ตรงกลาง สายลมพัดผ้าคลุมของเขาปลิวพลิ้ว เขาไม่เคยละสายตาจากทะเลแม้แต่วินาทีเดียว มือประคองด้ามดาบยาวแน่นราวกับจับโอกาสสุดท้ายไว้ “อีธาน!” เขาตะโกนเรียกผู้ช่วยใกล้ตัว “ตรวจสอบแนวป้องกัน! อย่าให้มีช่องโหว่แม้แต่น้อย! ถ้าเราทำพลาด…” ฟลอเรสเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาเหี้ยมเกรียม “ไม่มีใครจะเหลืออยู่” อีธานก้มหัวรับคำสั่งทันที เดินจากไปด้วยความมั่นใจแต่แฝงด้วยความวิตกกังวล เขารู้ดีว่าชะตากรรมของเมืองนี้ขึ้นอยู่กับการวางแผนและความกล้าหาญของทุกคนในคืนนี้ ในขณะที่ชาวเมืองอพยพเร่งรีบขึ้นเรือ เรือซีฟินิกซ์ลำใหญ่ตั้งลำอยู่กลางอ่าว รอพร้อมออกล่าครั้งสำคัญ ฝีพายและนักรบเตรียมอาวุธอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเสียงกลองที่ดังระรัวใจ ทันใดนั้น คลื่นยักษ์ลูกแรกก็พุ่งเข้าชนฝั่ง น้ำทะเลถล่มทลายเหมือนภูเขาสีฟ้าที่สั่นสะเทือน พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ฟลอเรสจับดาบแน่น กลั้นหายใจ สายตาจับจ้องไปยังจุดที่คลื่นจะพัดพาทุกอย่างให้จมลง “นี่คือการทดสอบครั้งสุดท้าย…” เขาพูดเบา ๆ กับตัวเอง “และข้า…จะไม่ปล่อยให้มันกลืนเมืองนี้ไป” เสียงกรีดร้องของชาวบ้าน ความโกลาหลของการอพยพ เสียงคำรามของทะเล และเสียงคำสั่งของเจ้าชาย รวมกันเป็นสัญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อชีวิตที่ไม่มีใครลืมได้ คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำเข้ามาทั้งจากซ้ายและขวา เรือเล็กหลายลำที่ลอยตามกระแสน้ำสีน้ำเงินเข้มต้องโต้คลื่นอย่างยากลำบาก เสียงฝีพายตะโกนสั่งการปะปนกับเสียงกรีดร้องของเด็กและผู้หญิงที่กลัวตาย บนเรือลำหนึ่ง ใกล้กับกองข้าวของจำเป็นและผ้าห่ม มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งคลายใจแรง มือของสามีกำลังกุมแน่นพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนคราบเหงื่อและน้ำเค็ม “แม่… แม่เจ็บมากแล้ว!” เสียงผู้หญิงท้องแก่เรียกสามีเสียงสั่น เธอเกร็งตัวจนใบหน้าขาวซีด คลื่นลูกใหญ่กำลังซัดเข้ามาใกล้เรือทุกขณะ “อดทนนะ เอ็มม่า! เราใกล้ถึงฝั่งแล้ว!” สามีตอบด้วยเสียงมั่นคง แต่ในใจลึก ๆ เขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่แพ้กัน คลื่นลูกใหม่ถาโถมจนเรือโยกไปมาอย่างรุนแรง น้ำทะเลกระเด็นเข้ามาในลำเรือ ผู้คนบนเรือต่างโหยหวนกับความหวาดกลัวและความเจ็บปวด เอ็มม่ากำหมัดแน่น น้ำตาไหลลงแก้ม น้ำเสียงเริ่มแผ่วเบา “มันมาแล้ว… ฉันไม่ไหวแล้ว…” สามีร้องเรียก “ใครก็ได้! ช่วยด้วย! มีคนคลอดลูกบนเรือ!” เสียงตะโกนดังขึ้นทันทีจากผู้คนรอบข้าง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสับสนและความตื่นตระหนก แต่ก็เต็มไปด้วยความช่วยเหลือที่รีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว นักรบคนหนึ่งรีบดึงผ้าคลุมออกมา หยิบขวดน้ำสะอาดและผ้าสะอาดจากกระสอบ “เราต้องช่วยกัน! ใครก็ได้หาผู้รู้เรื่องคลอดบุตรมาด่วน!” เสียงคลื่นพัดแรงจนลมแทบจะพัดคนล้ม เรือโคลงเคลงไปมาราวกับจะคว่ำทุกวินาที แต่เอ็มม่ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้ามา “แรงอีกนิด!” นักรบตะโกน “ลูกน้อยกำลังจะออกมาแล้ว!” ฟลอเรสที่ยืนอยู่บนเรือซีฟินิกซ์ได้ยินเสียงโกลาหล เขากวาดสายตามองไปยังเรือลำเล็กที่มีไฟสลัวๆ สายลมพัดผ้าคลุมของเขาราวกับพายุกำลังซัดฝั่ง “อีธาน!” เขาตะโกน “ส่งคนไปช่วยทันที! ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!” อีธานรีบออกคำสั่งผ่านเสียงตะโกนและส่งนักรบสองคนวิ่งเร่งไปยังเรือลำนั้น พร้อมกับผ้าผืนสะอาดและยารักษาเบื้องต้น บนเรือเล็กนั้น เอ็มม่าร้องครวญเสียงดังจนแทบขาดใจ คลื่นยังคงถาโถมไม่มีหยุด นักรบทั้งสองวิ่งเข้ามา จับมือและพูดปลอบใจอย่างใจเย็น “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน เอ็มม่า จงสู้เพื่อชีวิตลูกของเจ้า!” ในวินาทีนั้น เรือโคลงเคลงจนเกือบจะพลิกคว่ำ คลื่นลูกใหญ่ซัดพัดเข้าเต็มแรงเหมือนพายุจะกลืนทั้งลำเรือ เสียงหัวใจของเอ็มม่าสั่นสะเทือน เธอส่งเสียงกรีดร้องสุดแรงกล้า ก่อนที่เสียงทารกแรกเกิดจะดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของพายุ ทุกคนที่อยู่รอบข้างหยุดหายใจในวินาทีนั้น — ชีวิตใหม่กำเนิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหล ความหวาดกลัว และความมืดมิดของทะเลน้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้