[ บทที่ 10 ]
“คุณหญิงเนตรศิตางศุ์”
รถเบนซ์สีดำคันหรูแล่นเข้ามาจอดในบริเวณลานจอดรถ เสียงของเครื่องยนต์ดังอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งก็ดับลง และในวินาทีต่อมา ร่างสูงกำยำของบอสเหนือก็ค่อยๆก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์คันเดิม สองขายาวก้าวเดินไปตามทางเดินที่มีบรรดาลูกน้องในชุดสูทสีดำยืนก้มหัวให้ตลอดทาง ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูแปลกไปจากทุกวัน และความสงสัยนั้นก็ทำให้บอสเหนือเอ่ยปากถามบอดี้การ์ดที่เดินตามหลังอยู่ไม่ห่างทันที
“มีแขกมาบ้านอย่างนั้นเหรอ โชน” เสียงทุ้มเข้มทรงอำนาจเอ่ยปากถามบอดี้การ์ดหนุ่มที่เดินตามหลังอยู่ไม่ห่างกาย
“ครับ พี่โรมโทรมาบอกผมแล้วว่าจะมีแขกมาหาบอสที่บ้าน” โชนตอบกลับคำถามนั้นแทบจะทันที ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายน้อยๆเพราะรู้ว่าแขกที่ว่านั้นคือใคร และถ้าหากบอสของเขาได้เจอกับแขกที่มาเยือนในวันนี้ แค่คิดมันก็ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
“ดูเหมือนว่าแขกคนนี้... กูจะเลี่ยงไม่ได้เลยสินะ” บอสเหนือหันไปมองรถยนต์คันหรูอีกหนึ่งคันที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไหนจะลูกน้องที่แขกคนนั้นพกติดตัวมาด้วยก็ดูจะเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าแขกคนนั้นคือใคร
“ครับ” โชนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเหือดแห้งบนใบหน้า ดวงตาคู่คมทอดมองแผ่นหลังกว้างของเจ้านายที่เดินเข้าไปภายในตัวบ้าน สองขายาวก้าวตรงไปยังห้องรับแขกที่มีร่างระหงส์ของใครบางคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่เห็นแผ่นหลังก็เรียกรอยยิ้มมุมปากจากนายเหนือหัวของบ้านในตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
พรึ่บ!
“ผมค่อนข้างตกใจนะที่เห็นแม่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในตอนนี้” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นกับผู้ให้กำเนิดที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงหน้า มือเรียวสวยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวเตี้ยช้าๆ พร้อมเงยหน้าขึ้นมามองลูกชายสุดที่รักที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันเสียนาน
“ฉันก็ไม่คิดว่าแกจะต้อนรับแม่ของแกด้วยการให้บอดี้การ์ดออกมาต้อนรับแทนที่จะเป็นลูกชายอย่างแก”
คุณหญิงเนตรศิตางศุ์ คือนายเหนือหัวอีกคนของบ้านหลังนี้ เป็นคนที่คอยจัดการทุกๆอย่างภายในบ้าน ไม่ว่าจะเรื่องชื่อเสียงเงินทอง เรื่องอำนาจ เรื่องธุรกิจต่างๆภายในบ้านล้วนต้องผ่านมือเธอมาทั้งนั้น รวมถึงชีวิตของลูกชายเพียงคนเดียวเองก็เช่นเดียวกัน เพราะมีลูกชายเพียงคนเดียว เธอจึงค่อนข้างคาดหวังกับลูกชายคนนี้เอาไว้มาก และเธอก็หวังว่าลูกชายของเธอจะมีคู่ครองที่ดี คอยเกื้อหนุนกันและกัน เธอรู้ดีว่าถ้ารอให้ลูกชายของเธอหาคู่ครองดีๆมาให้เธอสักคนคงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะแบบนั้นเธอจึงได้ตัดสินใจค้นหาคู่ครองที่เหมาะสมและคู่ควรมาให้กับลูกชายของเธอด้วยตนเอง
และตอนนี้เธอก็หาคู่ครองที่ดีให้กับลูกชายของเธอพบแล้ว...
“ผมไม่คิดว่าแม่จะบินกลับมาวันนี้ก็เลยไม่ได้รีบกลับมาต้อนรับแม่ด้วยตนเอง”
“ช่างเถอะ ใช่ว่าฉันจะไม่รู้จักนิสัยของแก” คุณหญิงเนตรศิตางศุ์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เธอเหลือบสายตามองไปรอบๆตัวของลูกชายแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อเห็นว่ามีบอดี้การ์ดที่ดูเหมือนว่าลูกชายของเธอจะให้ความสำคัญเสียเหลือเกินคอยวนเวียนอยู่รอบกาย
สงสัยเธอคงจะต้องจับตามองบอดี้การ์ดพวกนี้เป็นพิเศษแล้วสินะ
“แม่พูดธุระของแม่มาเลยดีกว่าครับ ผมกลับมาเหนื่อยก็อยากจะขึ้นไปพักผ่อนแล้ว” บอสเหนือรีบเอ่ยเข้าเรื่องทันทีที่เห็นสีหน้าและแววตาของมารดาที่จ้องมองไปยัง ‘คนของเขา’
แม่ของเขาเป็นคนฉลาด หากมีอะไรผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียวก็คงจะเดาออกได้ในทันที
“ไม่คิดจะเชิญแม่ของแกทานข้าวเย็นด้วยกันสักหน่อยเหรอ”
“ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้มาที่นี่เพราะอยากจะทานอาหารเย็นกับลูกชายคนนี้หรอกใช่มั้ยครับ”
“สมกับเป็นแกจริงๆ” หญิงสาววัยกลางคนหัวเราะออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องพูดเข้าเรื่องที่ทำให้เธอต้องดั้นดนบินกลับมาหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้แล้วสินะ
“แกก็อายุไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ เหนือ” คำพูดนั้นจากมารดา ทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย รู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่แม่ของตนเองต้องการจะพูดในวันนี้คือเรื่องอะไร
“จะนัดคู่ดูตัวให้ผมอีกแล้วหรือไงครับ”
“ไม่หรอก แกก็รู้ว่าแม่เจอคนที่เหมาะสมกับแกมากที่สุดแล้ว” บอสเหนือรู้ได้ในทันทีว่าคนที่มารดาเอ่ยถึงนั้นคือใคร
คงไม่มีใครที่ทำให้แม่ของเขาต้องตาต้องใจอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้นักหนาได้เท่ากับแก้วกานดาอีกแล้ว
“แม่กำลังหมายถึงแก้วกานดาอย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช่ แกก็รู้จักกับน้องมาหลายเดือนแล้ว ไปมาหาสู่กันก็บ่อย น้องเองก็ใช่ว่าจะไม่ดี แกไม่รู้สึกอะไรกับน้องบ้างเลยหรือไง” บอสเหนืออยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้กับคำถามนั้น เขารู้ดีว่าแม่พยายามยัดเยียดแก้วกานดาให้กับเขามากแค่ไหน คอยกรอกหูเช้าเย็นแทบทุกวันเรื่องแก้วกานดา เขาไม่ปฏิเสธว่าแก้วกานดาเป็นผู้หญิงที่ดีและเหมาะสมกับเขา แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าต่อให้เธอจะแสนดีมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันรู้สึกอะไรมากไปกว่าน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
คนมันไม่ใช่... พยายามให้ตายยังไงก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
“เหนือ!”
“ครับ”
“แกฟังแม่อยู่หรือเปล่าเนี่ย” คุณหญิงเนตรศิตางศุ์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าคำพูดของเธอดูจะไม่เข้าหูลูกชายเลยแม้แต่น้อย
“ฟังอยู่ครับ”
“แกต้องเลิกนิสัยแบบนี้ของแกสักทีนะ ที่ผ่านมาไม่ใช่แม่ไม่รู้เรื่องที่แกชอบไปนอนกับใครต่อใคร ควงกับใครต่อใครให้เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่เพราะแม่รู้ว่าแกไม่เคยคิดจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้น แม่ถึงไม่เคยว่าหรือห้ามปรามแกแบบจริงจังเลยสักครั้ง แต่แม่ก็ยังหวังให้แกเลิกนิสัยแบบนี้ของแก หวังให้แกคิดจริงจังและอยากสร้างชีวิตคู่กับใครสักคนจริงๆสักที” บอสเหนือยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่มารดาพูด ทว่าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ตั้งใจฟังในสิ่งที่มารดาพูด ดูเหมือนว่าบอดี้การ์ดรอบกายก็ดูจะตั้งใจฟังในสิ่งที่มารดาของเขาพูดอยู่เช่นเดียวกัน
“แม่ต้องการอะไร บอกผมมาตรงๆเลยดีกว่ามั้ยครับ” บอสเหนือตัดสินใจเอ่ยตัดบทในที่สุด หลังจากทนนั่งฟังในสิ่งที่มารดาพูดมาเกือบจะครึ่งชั่วโมง
“แม่ต้องการให้แกแต่งงาน”
“กับใคร”
“คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากหนูแก้วกานดา” คำตอบนั้นไม่ผิดไปจากที่บอสเหนือคิดสักเท่าไหร่ เขารู้อยู่แล้วว่าคำตอบของแม่เขามันเป็นแก้วกานดามาตั้งแต่แรก
และมันไม่เคยมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ตำแหน่งสะใภ้คนโปรดได้เลยสักคน
“แล้วถ้าผมไม่แต่งล่ะ”
“ฉันอดทนกับนิสัยเสเพลนอนกับคนอื่นเขาไปทั่วแบบแกมามากพอแล้ว และถ้าหากแกยังรั้นไม่ยอมแต่งงานกับหนูแก้วกานดาอีกก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับแกก็แล้วกัน”
“ใจร้ายอย่างนั้นเหรอ...” บอสเหนือเอ่ยพึมพำขึ้นมาเบาๆ ทว่าน้ำเสียงพึมพำของเขากลับทำให้ผู้เป็นมารดาจ้องมองมาด้วยแววตาที่แปลกไปจากเดิม ไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งและความถือดีอยู่ในแววตาคู่นั้นอีก
แต่บอสเหนือก็ไม่อาจคาดเดาและอ่านแววตาคู่นั้นของมารดาออกได้เลย เขาไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น
“ไม่ใช่ว่าแม่ใจร้ายกับผมมาโดยตลอดอยู่แล้วเหรอ” สิ้นประโยคนั้น ร่างระหงส์ของนายหญิงสินธวานนท์ก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวที่นั่งอยู่ทันที
“ฉันมาที่นี่เพื่อบอกให้แกรู้ว่าอีกสองวัน แกจะต้องไปลองชุดแต่งงานกับหนูแก้วกานดา”
“ถ้าผมไม่ไปล่ะ”
“แกน่าจะรู้น่ะว่านี่ไม่ใช่ประโยคขอร้องหรือประโยคบอกเล่า แต่มันคือประโยคคำสั่งต่างหาก” คุณหญิงเนตรศิตางศุ์ทอดมองร่างสูงใหญ่ของลูกชายที่นั่งก้มหน้าไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองตนเองด้วยซ้ำ
ใครจะหาว่าเธอใจร้ายหรือไม่รักลูกตัวเองก็ช่าง แต่เธอย่อมรู้ดีกว่าใครว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำก็เพื่อลูกชายเพียงคนเดียวของเธอทั้งนั้น
ไม่มีใครเหมาะสมและคู่ควรกับเหนือไปมากกว่าแก้วกานดาอีกแล้ว
ไม่มีแม้แต่คนเดียว!
“ในเมื่อแม่ว่ามาแบบนั้น แล้วลูกชายสุดที่รักคนนี้จะไปกล้าขัดคำสั่งได้ยังไงกันล่ะครับ”
“ก็ดี อีกสองวัน... ฉันก็หวังว่าฉันจะได้เจอแกที่ร้านลองชุดนะ” ทันทีที่พูดจนจบประโยค ร่างระหงส์ของนายหญิงสินธวานนท์ก็เดินจากไป เสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นจากที่ไกลๆจนกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด
แม้ว่าคุณหญิงเนตรศิตางศุ์จะออกจากบ้านไปแล้ว ทว่าร่างสูงกำยำของบอสเหนือยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าคมเข้มก้มมองแก้วสีใสที่บรรจุของเหลวสีใสที่ไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ความใสของมันสะท้อนภาพใบหน้าของเขาที่ดูไร้ชีวิตชีวา ราวกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเจ้านายของมันเพียงเท่านั้น
และใช่... ชีวิตของบอสเหนือก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ตัวนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
บอสเหนือมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำตามคำสั่งของคุณหญิงเนตรศิตางศุ์ เฉกเช่นเดียวกับหุ่นยนต์หนึ่งตัวที่มีชีวิตขึ้นมาได้เพื่อทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
“บอสครับ” เสียงเรียกชื่อในระยะใกล้ ทำให้ชายหนุ่มพลันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิด หันไปมองรอบๆก็พบว่าตอนนี้นอกจากตนเองและพฤกษ์แล้วก็ไม่มีใครอยู่ในนี้อีก
“พฤกษ์... แล้วคนอื่นล่ะ หายไปไหนกันหมด”
“พวกนั้นไม่อยากรบกวนบอสน่ะครับ บอสในตอนนี้เหมือนต้องการจะอยู่คนเดียว” พฤกษ์เอ่ยตอบคำถามนั้น เพราะทุกคนรู้ดีว่าสีหน้าและแววตาของบอสในตอนนี้มันกำลังฟ้องว่าต้องการจะอยู่คนเดียว แต่ตัวเขาที่ทำหน้าที่ปลอบโยนและคอยอยู่เคียงข้างบอสได้ดีที่สุดจะปล่อยให้บอสอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไง
“แล้วทำไมมึงถึงยังอยู่ล่ะ”
“เพราะผมไม่อยากปล่อยบอสไว้คนเดียวครับ อย่างน้อยให้ผมคอยอยู่ข้างๆบอสในตอนนี้ ให้บอสได้รู้ว่าบอสไม่ได้ไม่เหลือใคร แต่บอสยังมีผม ยังมีบอดี้การ์ดคนโปรดที่บอสเลือกมาเองกับมือคอยอยู่ข้างๆนะครับ” คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากผู้เป็นนายได้อย่างง่ายดาย เขาไม่รู้สึกโกรธที่พฤกษ์มักจะชอบทำอะไรเกินหน้าที่ของตนเองอยู่เสมอ
ไม่ใช่แค่พฤกษ์ แต่บอดี้การ์ดคนโปรดที่เหลือเองก็เช่นเดียวกัน
พวกมันกำลังทำให้เขาเคยชินกับชีวิตที่ต้องมีพวกมันอยู่ข้างกายเสมอ และพวกมันก็กำลังทำให้เขาเคยชินกับชีวิตแบบนี้
ชีวิตที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มักจะเห็นพวกมันยืนอยู่ไม่ไปไหน แล้วจากนี้เขาจะใช้ชีวิตที่ไม่มีพวกมันได้ยังไง
เขานึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ
“พวกมึงกำลังทำให้กูเคยชินกับชีวิตที่ต้องมีพวกมึงอยู่เคียงข้างกายนะ เคยคิดบ้างมั้ยว่ากูจะใช้ชีวิตที่ไม่มีพวกมึงได้ยังไง” บอสเหนือเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ทำให้ไม่ทันได้เห็นสีหน้าและแววตาของใครอีกคนยามเอ่ยคำพูดประโยคถัดมาออกมา
“นั่นแหละครับคือสิ่งที่พวกผมทุกคนต่างการจากบอส”
_
เสียงเปิดประตูร้านลองเสื้อดังขึ้น พร้อมๆกับที่ร่างสูงใหญ่ของนายเหนือหัวสินธวานนท์เหยียบย่างเข้ามาภายในร้าน การปรากฏตัวของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้มาใหม่พร้อมกับรอยยิ้มหวานหยด
“เหนือ! คุณมาแล้ว” แก้วกานดายิ้มหวานมาแต่ไกล ร่องรอยของความดีใจปรากฏอยู่บนใบหน้าสะสวยของเธออย่างไม่คิดปิดบัง แม้สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจะมีเพียงความเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลาของบอสเหนือก็ตาม
“ดูเหมือนคุณจะมารออยู่นานแล้วนะ” เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้น
“พอดีฉันตื่นเต้นน่ะค่ะก็เลยรีบมาก่อนเวลามากไปหน่อย” แก้วกานดาเอ่ยตอบคำถามนั้นด้วยท่าทีเขินอาย แน่นอนว่าคนอย่างบอสเหนือไม่คิดจะสนใจปฏิกิริยาแบบนั้นของเธออยู่แล้ว
แก้วกานดาเม้มริมฝีปากแน่นกับปฏิกิริยาแบบนั้นของชายหนุ่ม แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนอย่างบอสเหนือไม่มีวันยินยอมมาลองชุดแต่งงานกับเธอ หากไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับมา และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือคุณหญิงเนตรศิตางศุ์ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังหวังให้เขาแสดงสีหน้าแบบอื่นนอกจากความเย็นชาให้กับเธอบ้าง
แค่เพียงสักนิดก็ยังดี
“แล้วนี่คุณมาคนเดียวอย่างนั้นเหรอคะ” แก้วกานดาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อมองไปรอบกายชายหนุ่มแล้วไม่เห็นคนอื่นนอกจากตัวของบอสเหนือเอง
“คุณอยากให้ผมมากับใครอีกอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่แปลกใจที่ไม่เห็นบอดี้การ์ดมากับคุณด้วย”
“ผมให้รออยู่ในรถ แค่มาลองชุดแปบเดียวคงไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมาด้วยหรอก” สิ้นคำพูดนั้น ชายหนุ่มก็หันไปหาพนักงานสาวที่ยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่นานแล้ว
“ชุดที่จะให้ฉันลองอยู่ที่ไหนล่ะ”
“อยู่ทางนี้ค่ะ คุณเหนือตามดิฉันมาเลยค่ะ”
“แล้วของคุณแก้วกานดาล่ะ”
“เอ่อ คือ...” บอสเหนือขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีอึกอักของพนักงานสาวในตอนที่เขาถามหาชุดของแก้วกานดา
“ฉันลองไปก่อนแล้วค่ะ เหลือแต่ของคุณ” สิ้นคำพูดนั้นของแก้วกานดา ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับคำเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามพนักงานสาวเข้าไปด้านในเพื่อไปลองชุดแต่งงาน
“ชุดที่คุณหญิงเนตรศิตางศุ์เลือกเอาไว้ให้อยู่ในห้องทางด้านในสุดแล้วนะคะ คุณเหนือเข้าไปลองชุดได้เลยค่ะ”
“อืม” บอสเหนือพยักหน้ารับ ก่อนที่พนักงานสาวคนเดิมจะค่อยๆเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อให้เขาได้เข้าไปลองชุดแต่งงานที่แม่ของเขาเป็นคนเลือกสรรเอาไว้ให้
ขนาดชุดแต่งงานของเขา ตัวเขายังไม่มีสิทธิ์ได้เลือกมันด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำไป
ชีวิตของเขาคงไม่พ้นต้องเดินอยู่ในกรอบที่มารดาเป็นคนสร้างเอาไว้ให้ไปตลอดชีวิตอย่างนั้นสินะ
บอสเหนือใช้เวลาอยู่ในห้องลองชุดพักใหญ่เลยทีเดียว ดวงตาคมเข้มทอดมองเงาในกระจกที่ปรากฏภาพของตนเองในชุดของเจ้าบ่าวด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่นอกจากเจ้าตัวเพียงคนเดียว
“เหนือคะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ทว่าเสียงเรียกจากทางด้านนอกก็ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวหลุดออกจากภวังค์ของตนเอง
ดูเหมือนเขาจะเผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อย จนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองอยู่ในห้องลองชุดมานานแค่ไหนแล้ว
คงจะนานมาก... แก้วกานดาถึงได้มาตามเขาด้วยตนเองถึงในห้องลองชุดแบบนี้
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” เหนือเอ่ยถามคำถามนั้นกลับไป
“ฉันนึกว่าคุณเป็นอะไรไปเสียอีก เห็นคุณหายเข้ามาในนี้นานมากก็เลยเป็นห่วง ฉันเลยถือวิสาสะเข้ามาในบริเวณนี้ค่ะ” บอสเหนือสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงจากใจจริงของแก้วกานดา และเพราะแบบนั้น ชายหนุ่มจึงค่อยๆเปิดม่านที่กั้นระหว่างเขากับอีกฝ่ายอยู่ออก
“ผมโอเคดี ขอบคุณที่เป็นห่วง” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ทว่าแก้วกานดาก็ยังคงยืนนิ่งไร้ซึ่งการตอบสนองใด จนชายหนุ่มต้องขยับเข้าไปใกล้และยกมือขึ้นแตะไหล่ของเธอเบาๆ
“แก้วกานดา”
“ค่ะ! ขะขอโทษทีค่ะ เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ” แก้วกานดาสะดุ้งเฮือกกับเสียงที่เอ่ยเรียกในระยะประชิดและสัมผัสบางเบาบริเวณลาดไหล่บาง
“ผมบอกว่าผมโอเคดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“มะไม่เป็นไรเลยค่ะ ยังไงเราก็กำลังจะกลายมาเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้วนี่คะ” คำพูดนั้นของแก้วกานดา ทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ท่าทีที่แปลกใจของว่าที่สามี ทำให้เธอรู้ว่าเธอคงจะเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูเข้าเสียแล้ว
“คุณในชุดนี้ดูดีมากเลยนะคะ คุณหญิงเนตรศิตางศุ์เก่งจริงๆที่เลือกชุดได้เข้ากับคุณขนาดนี้”
“ครับ แม่ของผมเก่งจริงๆนั่นแหละ” บอสเหนือยิ้มรับคำชมนั้นแทนมารดาของตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มารดาของเขาก็เก่งกาจอยู่เสมอ
ไม่อย่างนั้นพ่อของเขาคงไม่หลงหัวปักหัวปำจนยอมตายแทนมารดาของเขาหรอก
“แม่ของผมคงจะดีใจมากที่คุณเองก็ชอบชุดนี้”
“ชุดนี้เข้ากับคุณมากจริงๆนั่นแหละค่ะ”
“คุณออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ผมขอเข้าไปเปลี่ยนชุดคืนก่อน”
“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปรอข้างนอกนะคะ”
“ครับ”
ร่างบอบบางของแก้วกานดาเดินกลับออกไป บอสเหนือเองก็มองตามแผ่นหลังบอบบางของเธอไปจนสุดสายตาด้วยแววตาที่ผ่านไม่ออก ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องลองเสื้อเพื่อเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นชุดเดิมก่อนหน้านี้
ครั้งนี้บอสเหนือใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นในการเปลี่ยนชุด ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับชุดเจ้าบ่าวในมือ พนักงานสาวที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วก็ยื่นมือมารับมันไปอย่างรู้หน้าที่
“ตกลงว่าฉันเอาชุดนี้”
“รับทราบค่ะ แล้วดิฉันจะให้คนไปส่งที่บ้านของคุณเหนือนะคะ”
“อืม แล้วเรื่องราคา...”
“คุณหญิงเนตรศิตางศุ์จัดการให้ผมแล้วค่ะ” สิ้นประโยคนั้น บอสเหนือก็พยักหน้ารับเล็กน้อย รู้อยู่แล้วว่าแม่ของเขาคงจะจัดการให้ทั้งหมด เพราะคนที่ต้องการให้เขาแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาก็คือมารดาของเขาเอง ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะจัดการทุกอย่างให้เขาจนหมดด้วยความรวดเร็วขนาดนี้
“อืม งั้นก็จัดการตามที่แม่บอกเลยก็แล้วกัน”
“ดิฉันจะรีบจัดการให้ค่ะ” พนักงานสาวก้มหัวรับคำสั่งนั้น ก่อนจะรีบไปจัดการตามที่ได้รับคำสั่งมาจากคุณหญิงเนตรศิตางศุ์อีกทีหนึ่ง ทำให้ในบริเวณนั้นเหลือเพียงบอสเหนือและแก้วกานดาสองคนเท่านั้น
“คุณจะไปไหนต่อรึเปล่าคะ เหนือ” แก้วกานดาเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เหลือเพียงเธอกับชายหนุ่มที่เธอหมายปองเพียงสองคน
“คุณมีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะชวนคุณไปทานข้าวด้วยกันเท่านั้นเอง” แก้วกานดาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าบอสเหนือกลับจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาเย็นชาเพียงเท่านั้น
“ผมมีธุระต้องไปจัดการต่อ”
“มีธุระต้องไปจัดการ หรือแค่ไม่อยากไปทานข้าวกับฉันกันแน่คะ” แก้วกานดาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แค่ต้องการจะหลีกเลี่ยงการอยู่กับเธอสองคนเพียงเท่านั้น
“จะคิดยังไงก็เรื่องของคุณ แต่วันนี้ผมคงไปทานข้าวกับคุณไม่ได้” สิ้นคำพูดนั้น ร่างสูงก็เดินออกจากร้านลองเสื้อเพื่อกลับไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทว่าคำพูดถัดมาของแก้วกานดากลับทำให้ช่วงขายาวทั้งสองข้างหยุดลงอย่างง่ายดาย
“ฉันไม่อยากจะใช้วิธีนี้กับคุณหรอกนะคะ แต่แม่ของคุณเป็นคนสั่งเอาไว้ค่ะว่าต้องพาคุณไปทานข้าวด้วยกันให้ได้” คนฟังถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่เจ้าสาวอีกครั้งหนึ่ง
“น่าแปลกใจนะที่คุณดูจะเชื่อฟังแม่ของผมขนาดนี้”
“เลือกเอาแล้วกันนะคะว่าจะยอมไปทานข้าวด้วยกันดีๆ หรือจะต้องให้ฉันต่อสายหาแม่ของคุณก่อน” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเป็นการขู่ว่าหากเขายังดื้อด้านไม่ยอมไปกับเธอดีๆ เธอจะต่อสายหามารดาของเขาอย่างแน่นอน
“ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดที่แม่ดูจะเข้ากับคุณได้ดีขนาดนี้” บอสเหนือพูดพร้อมหัวเราะเบาๆในลำคอ ลักษณะท่าทางและนิสัยที่เหมือนกันราวกับถอดแบบกันออกมา เขาไม่นึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเพราะอะไรถึงต้องเป็นแก้วกานดา
“คำตอบล่ะคะ” แก้วกานดาไม่คิดจะสนใจคำพูดราวกับรังเกียจเธอนักหนาของบอสเหนือ เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายเกลียดเธอมากแค่ไหน
แต่บอสเหนือไม่มีวันหนีเธอพ้นหรอก ตราบใดที่เธอยังมีคุณหญิงเนตรศิตางศุ์ อีกฝ่ายก็จะไม่มีวันหนีไปจากเธอพ้น
เกลียดแล้วยังไง ? สุดท้ายเขาก็จะต้องเป็นของเธออยู่ดี!
บอสเหนือขบกรามแน่น ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องไปยังคนตรงหน้าด้วยความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด ทว่าในตอนที่กำลังจะอ้าปากให้คำตอบที่เธอต้องการ ร่างของเขาก็ถูกดึงไปด้านหลังด้วยแรงมหาศาลที่ทำให้เขาเซถอยหลังไปได้อย่างง่ายดาย
และเขาก็รู้ดีว่าเจ้าของแผ่นหลังที่บดบังทัศนียภาพทั้งหมดของเขาในตอนนี้นั้นคือใคร
“ขอโทษด้วยนะครับคุณแก้วกานดา แต่บอสคงไปกับคุณไม่ได้หรอกครับ”
“ราม” บอสเหนือเอ่ยเรียกชื่อบอดี้การ์ดคนโปรดที่เขาหลงลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายนั่งรอเขาอยู่ในรถ และคงจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแก้วกานดาทั้งหมด
“นายเป็นใคร”
“ผมเป็นบอดี้การ์ดของบอสเหนือครับ”
“ก็แค่ลูกน้องคนหนึ่ง ไม่รู้หรือไงว่าฉันคือใคร” แก้วกานดาเชิดหน้าขึ้น พร้อมกับจ้องมองคนมาใหม่ตรงหน้าด้วยแววตาหยามเหยียดอย่างเห็นได้ชัด
“รู้ครับ คุณคือคุณแก้วกานดา คนที่กำลังจะเข้ามาเป็นนายหญิงอีกคนหนึ่งของบ้าน”
“รู้ไว้ก็ดี เพราะฉะนั้นนายก็ควรจะรู้ว่าไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องของฉันกับบอสของนาย”
“คุณแค่คนที่กำลังจะเข้ามาเป็นนายหญิง แต่คุณยังไม่ใช่นายหญิงของบ้านสินธวานนท์ครับ”
“นี่นาย!” แก้วกานดาโกรธจนตัวสั่น เธอยกนิ้วขึ้นชี้หน้ารามทันที
“ผมกับบอสคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คงต้องขอเสียมารยาทกับคุณแล้วครับ” สิ้นประโยคนั้น รามก็รีบดึงแขนเจ้านายให้เดินตามตนเองไปที่รถ โดยไม่คิดจะสนใจเสียงกรีดร้องหรือเสียงเรียกของแก้วกานดาอีก
ปัง!
“ราม... อือออออ!” ประตูรถยนต์ถูกปิดลง พร้อมกับร่างสูงของบอสเหนือที่ถูกผลักให้นอนราบลงบนเบาะหลังรถ โดยมีร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันของรามคร่อมทับอยู่ด้านบน ริมฝีปากสีคล้ำอ้าขึ้นหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกปิดกั้นด้วยอวัยวะเดียวกันของคนบนร่างที่บดเบียดลงมาอย่างร้อนแรงและดิบเถื่อนราวกับต้องการจะระบายอารมณ์หงุดหงิดทั้งหมดลงมากับจูบนี้
“ราม- อึก! เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!” บอสเหนือเบิกตากว้าง เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวผละจูบออกไปซุกไซร้ลำคอของตนเองแทน มือแกร่งทั้งสองข้างไม่อยู่เฉย เอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อด้วยความรวดเร็ว จนคนเป็นบอสคว้ามือไว้ พร้อมส่งเสียงห้ามปรามออกไปแทบไม่ทัน
“ไม่ครับ ผมจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าบอสเป็นของใคร”
“แต่นี่มันบนรถ!”
“ครับ เอากันหนึ่งรอบบนรถก่อนแล้วค่อยไปต่อที่บ้านก็ยังไม่สาย”
“ไอ้ราม!” บอสเหนือตาลีตาเหลือกรีบปัดมือที่พยายามถอดเสื้อกับกางเกงของเขาอยู่ออก อีกทั้งยังต้องหันหน้าหนีจากริมฝีปากที่พรมจูบไปทั่วอีกต่างหาก
พรึ่บ!
“อย่าให้ผมต้องมัดมือบอสนะครับ” รามเอ่ยบอกเสียงเข้ม มือข้างหนึ่งกดข้อมือทั้งสองข้างของเจ้านายไว้เหนือหัวได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
“หงุดหงิดอะไร” บอสเหนือรู้ดีว่าอาการแบบนี้ของลูกน้องคงจะไปหงุดหงิดอะไรมา ถึงได้เอาความโกรธมาลงที่ตนเองแบบนี้
“ผู้หญิงคนนั้น”
“แก้วกานดา ?”
“ผมจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นได้รู้ว่าที่เขาจะได้ไปก็แค่สถานะนายหญิง แต่ร่างกายของบอส ทุกอย่างของบอสมันเป็นของพวกผม... เป็นของพวกผมทั้งหมด!” ร่างกำยำของเจ้านายถูกรวบไปกอดไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของบอดี้การ์ดคนโปรด ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบลงบนลาดไหล่กว้าง พร้อมเอ่ยประโยคขอร้องที่บอสเหนือไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมันจากปากของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
คนที่ไม่เคยร้องขออะไร ไม่เคยแสดงออกว่าต้องการอะไร แต่ตอนนี้กำลังขอร้องเขาอยู่อย่างนั้นเหรอ
“ผมขอร้องบอส... อย่าแต่งงานกับเขา อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเลยได้มั้ยครับ”