ログイン“ท่านพ่อท่านอยากจะขายเนื้อพวกนี้หรือว่าเก็บเอาไว้กินเจ้าคะ”
เจิ้งซูอี้ถามหลิวตงจวิ้นที่ยังไม่หลุดออกจากภวังค์ของตนเอง เขาหันมามองบุตรสาวเมื่อได้ยินนางเรียก
“ขะ..ขายพรุ่งนี้พ่อจะเป็นคนนำเนื้อพวกนี้กับไก่ป่าไปขายเอง”
เจิ้งซูอี้นิ่งคิดเล็กน้อย นางอยากจะเข้าไปในอำเภอเช่นเดียวกัน เพื่อหาข่าวเกี่ยวกับตระกูลเจิ้ง
“ท่านพ่อพรุ่งนี้ให้ข้าตามท่านไปด้วยได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างที่อยากได้เจ้าค่ะ”
เจิ้งซูอี้หาข้ออ้างเพื่อตามหลิวตงจวิ้นเข้าไปในอำเภอ ทั้งที่ความจริงนางไม่ได้อยากได้อะไรเลย
“นั่นสิ อันอันของเราก็โตเป็นสาวแล้วนี่นา เนอะ”
ประโยคสุดท้ายหลิวตงจวิ้นหันมาพูดกับภรรยาของตน ทั้งสองคนยิ้มให้กันท่าทางดูมีความสุข หลิวซีฮันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านข้างเขาดึงแขนเสื้อของเจิ้งซูอี้เบาๆ
“ท่านพี่ข้าก็อยากไปเที่ยวอำเภอเหมือนกัน”
เจิ้งซูอี้ก้มมองร่างเล็กของน้องชาย
“ได้สิ”
นางรับปากเด็กชายที่ตัวสูงเลยเข่าของนางมาไม่มาก เพราะตลอดห้าปีพวกเขาไม่เคยได้ทานอาหารดีๆ เลยสักมื้อ ร่างกายของหลิวซีฮันจึงโตช้ากว่าเด็กทั่วไปที่อายุเท่ากัน
“ชะ..เช่นนั้นข้าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”
เจิ้งซูอี้เลิกคิ้วมองเด็กชายที่มีท่าทางดีใจเหมือนกำลังทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ที่หลิวซีฮันได้เข้าไปในอำเภอ
“เลิกตื่นเต้นได้แล้วมาทานข้าวกันเถอะ”
หวังเจียอี๋ดันหลังบุตรชายคนเล็กให้เดินเข้าไปในเรือน เจิ้งซูอี้มองตามทั้งสองจากนั้นนางจึงหัวเราะออกมาอย่างจนใจ
“หัวเราะทำไมหรือ หรือว่าลูกไม่ตื่นเต้นนี่ก็เป็นครั้งแรกของลูกที่ได้เข้าไปในอำเภอเหมือนกันนะ”
หลิวตงจวิ้นพูดทิ้งเอาไว้เพียงเท่านั้นเขาก็เดินตามสองแม่ลูกเข้าไปในเรือนปล่อยให้เจิ้งซูอี้ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกตามลำพัง หลิวอันอันอายุเท่าไหร่กันสิบสี่หรือสิบห้า เหตุใดนางถึงไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย ที่เจิ้งซูอี้สงสัยเช่นนั้นก็ไม่แปลกเพราะแม่เฒ่าจางกดขี่คนในบ้านหลิวตงจวิ่นให้ทำงานตลอด อย่าว่าแต่ออกจากเรือนเลยแค่หายไปเวลานางเรียกหาก็ต้องถูกตีแล้ว เจิ้งซูอี้ส่ายหัวเลิกคิดถึงเรื่องนั้น
วันต่อมาในช่วงเช้ามืดหลิวตงจวิ้นและเจิ้งซูอี้ได้เตรียมเนื้อกวางและไก่ป่าที่พวกเขาจับมาเมื่อวานใส่ในรถลากที่หลิวตงจวิ้นยืมมาจากสหายของเขา หลิวซีฮันยังคงสะลึมสะลือเพราะตอนนี้ยังไม่สว่างดี หวังเจียอี๋ท่านแม่ของเขาต้มน้ำให้เด็กชายล้างหน้าจากนั้น ทำเจียนปิ่งไส้เนื้อให้พวกเขาทั้งสามคนนำติดตัวไปกินระหว่างทาง
อำเภอหลิงจือห่างจากหมู่บ้านตระกูลสือราวยี่สิบลี้ พวกเขาออกเดินตั้งแต่เช้ามืดใช้เวลาลาราวหนึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว เมื่อฟ้าสางหลิวตงจวิ้นและเจิ้งซูอี้ก็เดินมาถึงทางเข้าอำเภอ พวกเขาเข็นรถลากตรงไปที่เหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอหลิงจือที่มีชื่อว่าเหลาอาหาร ฮุ่ยเหอ ด้านข้างมีชาวบ้านหลายคนที่นำวัตถุดิบมาขายให้ที่นี่ หลิวตงจวิ้นเองก็เป็นขาประจำเช่นกัน
“อ้าวหลิวตงจวิ้นมาแล้วหรือหายไปหลายวันเลยนะวันนี้มีอะไรมาเล่า”
ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีทักทายหลิวตงจวิ้นด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“พอดีมีธุระนิดหน่อยเลยไม่ได้ขึ้นเขาขอรับ ผู้ดูแลหม่าวันนี้ข้ามีเนื้อกวางมาด้วยชำแหละเรียบร้อยไม่ทราบว่าท่านจะรับซื้อหรือไม่”
หลิวตงจวิ้นคุยกับผู้ดูแลกหม่าด้วยท่าทางนอบน้อม เจิ้งซูอี้มองภาพนั้นแล้วนางได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เหตุใดเขาต้องทำถึงเพียงนี้หากที่นี่ไม่รับซื้อก็แค่ไปที่อื่น จำเป็นต้องทำตนเองให้ดูต่ำต้อยขนาดนี้เลยหรือก็แค่ผู้ดูแลเหลาอาหารเล็กๆ เท่านั้น
เพราะนางอยู่ที่สูงมาตลอดนางเลยไม่เคยเข้าใจชาวบ้านธรรมดาที่ต้องหาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำตัวเย่อหยิ่งเพราะสำหรับผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือแล้วนั้นเพียงแค่โบกมือเบาๆ พวกเขาก็ย่อยยับแล้ว สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ความนอบน้อมเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้
“อันเอ๋อวันนี้เราขายเนื้อกวางกับไก่ป่าได้ตั้งห้าตำลึงเชียว ลูกบอกมาเลยว่าอยากได้อะไร พ่อจะซื้อให้ทั้งนั้น”
หลังจากขายเนื้อกวางและไก่ป่าเสร็จพวกเขาก็เดินย้อนกลับมาทางตลาด เผื่อว่าบุตรสาวและบุตรชายจะอยากซื้ออะไรบ้าง หลิวซีฮันที่นั่งอยู่ในรถลากจ้องมองสิ่งต่างๆ ที่ดูแปลกใหม่เต็มไปหมด เขาไม่เคยเห็นคนมากมายเพียงนี้ ท่าทางตื่นเต้นจนเกินเหตุของเขาทำให้เจิ้งซูอี้หัวเราะออกมาอย่างจนใจ
“ข้าอยากกินถังหูลู่”
สายตาวิบวับของหลิวซีฮันเรียกรอยยิ้มของสองพ่อลูกได้เป็นอย่างดี เจิ้งซูอี้เดินไปซื้อถังหูลู่ที่เด็กชายอยากกินมาให้เขาสองไม้ แต่นางยังไม่ทันที่จะได้ยื่นถังหูลู่ให้เด็กชายก็ถูกคนเดินกระแทกจนถังหูลู่สองไม้หล่นจากมือนาง
เจิ้งซูอี้มองตามชายที่เดินชนนางด้วยสายตามครุ่นคิด จากนั้นนางจึงคลำไปที่ถุงเงินที่นางเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อจึงพบว่ามันหายไปแล้ว
“ท่านพ่อรออยู่ที่นี่ก่อนนะเจ้าคะ”
พูดเพียงเท่านั้นเจิ้งซูอี้ก็วิ่งตามชายผู้นั้นไปทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
นางตะโกนตามหลัง ชายผู้นั้นหันกลับมามองเจิ้งซูอี้เล็กน้อยจากนั้นจึงเริ่มออกวิ่ง เจิ้งซูอี้วิ่งตามไปไม่นานเขาก็เลี้ยวเข้าไปในตรอก เมื่อนางตามไปจึงเห็นว่าที่นั่นมีชายฉกรรจ์อีกสามคนคอยอยู่
“โอ๊ะ!! ดูซิว่ามีใครตามมาด้วย ทำงานของเจ้าอย่างไรถึงได้ทำให้เหยื่อรู้ตัว”
ชายหน้าบากท่าทางกักขฬะมองมาที่เจิ้งซูอี้ไม่วางตา ถึงนางจะอายุเพียงสิบสี่สิบห้าแต่ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มที่ได้มาจากมารดาก็ทำให้นางดูงดงามตั้งแต่ยังไม่ทันได้ปักปิ่น ชายหน้าบากย่างสามขุมมาที่เจิ้งซูอี้ด้วยความย่ามใจ
“แม่นางน้อยเจ้าไล่ตามสิ่งนี้มาหรือ”
ชายหน้าบากโยนถุงเงินในมือขึ้นลงแสดงท่าทางยียวน เจิ้งซูอี้จำได้ว่ามันเป็นถุงเงินของท่านแม่ที่ทำให้หลิวอันอันบนนั้นยังมีชื่อของนางปักอยู่
“คืนถุงเงินนั่นมาซะแล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
เจิ้งซูอี้เอ่ยเสียงเย็นอย่างอดทน นางไม่อยากต้องมาเสียเวลาวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ตอนนี้น้องชายของนางรอทานถังหูลู่อยู่
“อยากได้ถุงเงินอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องยอมเป็นเมียพวกข้าซะก่อน ต่อให้เงินมากกว่านี้ข้าก็หาให้เจ้าได้”
ชายหน้าบากเลียริมฝีปากแสดงท่าทางกักขฬะออกมา เพราะคิดว่าเจิ้งซูอี้เป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไร้พิษสงเท่านั้น จึงไม่กลัวว่านางจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้ เจิ้งซูอี้ถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ นางสะกิดก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าพุ่งเข้าใส่หัวของชายหน้าบาก เขาตกใจจนปล่อยถุงเงินนางจึงรีบคว้ามันเอาไว้
“โอ๊ย!!นางบ้า”
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







