บทที่ 57
การตัดสินใจของลู่ซินฟาง
รุ่งสางของวันถัดมา ลู่ซินฟางลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนชุด ก่อนจะสาวเท้าตรงมายังห้องครัว
เหนียงซิ่นจุดไฟเตาเรียบร้อย ตอนนี้ก็กำลังนั่งหั่นผักเตรียมผัดน้ำมัน
“เหนียงซิ่น”
“เจ้าคะนายหญิง?”
“ต้องให้เจ้าลุกมาเตรียมอาหารให้กับทุกคนตั้งแต่เช้า เหนื่อยหรือไม่” ลู่ซินฟางถามขณะเดินไปล้างมือ
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” เหนียงซิ่นตอบแบบไม่ต้องคิด
นั่นสินะ เหนียงซิ่นชอบทำอาหารเหมือนกับหลางไป๋ ยิ่งเห็นคนกินอาหารที่ตนทำอย่างเอร็ดอร่อยและแสดงสีหน้าว่ามีความสุข คนทำก็ยิ่งมีความสุขตาม
“อีกอย่าง…” เหนียงซิ่นกล่าวต่อ “นี่เป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่ ข้าไม่คิดว่าเหนื่อยเจ้าค่ะ”
ลู่ซินฟางยิ้มตอบ “เข้าใจเลย”
หากเป็นเรื่องของลูกแล้ว นางไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อย
หลังจากกวาดตามองวัตถุดิบบนโต๊ะ ลู่ซินฟางก็เอ่ยถาม
“วันนี้ทำเกี๊ยวไส้ผักหรือ มา ข้าช่วย”
เหนียงซิ่นเป็นคนคล่องแคล่ว หลังจากตอบว่า “เจ้าค่ะ” นางก็ขยับชามที่ผสมไส้ทำเกี๊ยวมาใกล้ๆ ลู่ซินฟาง
ทั้งสองช่วยกันห่อเกี๊ยว ต้มชุปกระดูกหมูใส่รากบัว และผัดผักจานใหญ่ พอเตรียมทั้งหมดเสร็จแล้วก็ยกออกมาวางบนโต๊ะอาหาร
ทุกคนทยอยเข้ามาในห้องอาหารทีละคนสองคน พวกเขาทักทายและขอบคุณลู่ซินฟางกับเหนียงซิ่นที่ช่วยเตรียมอาหารเช้าให้ทุกวัน
เมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว ลู่ซินฟางยืนขึ้น กล่าวเปิดประเด็น
“ทุกคน ช่วยฟังข้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
สายตาทุกคนต่างมองลู่ซินฟางอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวเล็กทั้งสอง
หญิงสาวยิ้มอย่างเกรงใจ หลังจากใคร่ครวญดีแล้ว นางก็กล่าวขึ้นว่า “ก่อนอื่น ข้าต้องขอโทษทุกคน”
ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้น ต่างแสดงสีหน้าร้อนรนกังวลใจ
เหนียงซิ่นร้องถาม “มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ นายหญิง”
ลู่ซินฟางส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วทำไมนายหญิงต้องขอโทษพวกเราด้วยหรือเจ้าคะ” ชุนถาม
“พวกเจ้าฟังก่อน ข้าแค่จะบอกว่าเพราะความเอาแต่ใจของข้า อยากสร้างฐานะให้มั่นคงเร็วๆ หลายเดือนที่ผ่านมา ต้องทำให้พวกเจ้าฝืนทำงานหนักกันทุกวัน”
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” หู่จือเหมยโพลงออกมาเป็นคนแรก
“ข้าเองก็เหมือนกับเสี่ยวเหมย ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” หู่จืออวิ๋นผู้เป็นพี่ชายกล่าวเสริม
“ถ้าให้พูดตรงๆ พวกเราต่างได้รับประโยชน์จากนายหญิงขอรับ เพราะมีนายหญิง พวกเราถึงได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ วิถีการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ถึงนิสัยของบางคนจะซับซ้อนจนน่ากลัว แต่ข้าคิดว่า แบบนี้ก็ไม่เลวเลยขอรับ อีกอย่าง หลายสิ่งอย่างของโลกทางนี้ ทำให้พวกเรานำไปพัฒนาต่อยอดที่โลกทางนั้นได้ตั้งเยอะแยะ นั่นก็เพราะนายหญิงนะขอรับ”
พอหลางไป๋กล่าวจบ ทุกคนมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าเห็นด้วย
“หลางไป๋พูดถูกเพ็ง เพราะได้มาที่นี่ ข้าถึงมีเพื่อนใหม่ ตอนว่าง เถี่ยฮ่าวซือสอนข้าทำงานของช่างไม้ด้วย ข้ายังตั้งใจว่าพอกลับไปทางนั้นจะเผยแพร่วิธีสร้างบ้านให้กับพี่น้อง” สยงจวินพูดเสียงดังฟังชัดเหมือนเดิม
“ใช่เจ้าค่ะ ทุกคนพูดถูก!” ชุนรีบเห็นด้วย
“พวกเราสนุกมากจริงๆ ขอรับ” สยงเหยาบอก
ลู่ซินฟางยิ้ม จากนั้นเลื่อนสายตามองเด็กแฝดชายหญิงตรงหน้า “แล้วพวกเจ้าล่ะ คิดอย่างไร ตั้งแต่เปิดร้าน แม่ก็ไม่มีเวลาอยู่กับพวกเจ้าเลย คงทำให้พวกเจ้าต้องเหงาสินะ”
เป่าเอ๋อร์เงียบเหมือนกับกำลังคิด ต่อมา รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเด็กหญิง “ถึงจะเหงา แต่พวกเรามีพี่สาวกับพี่ชายเล่นเป็นเพื่อนทุกวัน”
เทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่มีเพื่อนเล่น ตอนนี้นางสนุกกับพวกพี่ๆ ทุกวันเลย
“เป่าเอ๋อร์ชอบพวกพี่ชายกับพี่สาวสินะจ๊ะ”
“อื้อ ได้สนิทกับพี่เม่ยเม่ยด้วย”
“อย่างนั้นหรือ”
ลู่ซินฟางมองไปทางเฉิงเอ๋อร์ต่อ
เด็กชายตอบว่า “ท่านแม่พยายามเพื่อพวกเรา พวกเราเองก็ต้องพยายามเพื่อท่านแม่”
“พวกเจ้าเฉลียวฉลาดกันจริงๆ”
ลู่ซินฟางภูมิใจในตัวเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก ทั้งที่อายุแค่นี้ กลับรู้ประสาและเข้าใจสิ่งต่างๆ
สายตาคู่สวยกวาดมองคนอื่นๆ ต่อ พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็พร้อมให้กำลังใจนาง
หญิงสาวพยักหน้าแรงๆ ทีหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นราวกับตัดสินใจบางอย่างได้
“ดีละ ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเรามาหาเงินไปพร้อมๆ กับใช้ชีวิตให้มีความสุขกันดีกว่า”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ” ชุนถามเพราะไม่เข้าใจ
“จริงอยู่ ทุกวันนี้พวกเจ้ามีชีวิตสุขสบายมากกว่าแต่ก่อน ได้กินอิ่มท้อง ได้นอนบนที่นอนอุ่นๆ แต่ว่า พวกเจ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ แน่หรือ ถ้าตอนนี้คิดไม่ออกไม่เป็นไร หากว่าสักวันหนึ่ง พวกเจ้ามีสิ่งที่อยากทำจริงๆ และไม่เป็นที่เดือดร้อนของใคร พวกเจ้าก็สามารถทำได้ ข้าจะช่วยสนับสนุนเอง”
“แล้วนายหญิงล่ะเจ้าคะ” หู่จือเหมยถาม
นางหันไปยิ้มให้กับเด็กสาวกระต่าย “จากนี้ข้าเองก็จะใช้เวลาอยู่ร่วมกับทุกคนให้มากกว่านี้”
ทุกคนฟังจบ ต่างก็พยักหน้าน้อยๆ
ในชีวิตที่แล้ว ลู่ซินฟางอยู่ในบริษัทที่มีนายจ้างชอบเอาเปรียบพนักงาน
ไม่ว่าจะเป็นเวลาพักเที่ยง ช่วงเลิกงาน หรือวันหยุด นายจ้างจะใช้งานเสียคุ้ม ตอนนั้นลู่ซินฟางสามารถลาออกและใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ได้ เพราะหลินสามารถเสกทุกอย่างขึ้นมาได้ ไม่เว้นแม้แต่เงิน
แต่ที่ลู่ซินฟางไม่ทำแบบนั้น เพราะคิดว่าเป็นการเอาเปรียบหลิน
พอนึกย้อนถึงอดีต นางไม่อยากให้ทุกคนต้องมาสละเวลาส่วนตัวเพื่อนางคนเดียว
คิดจบ ลู่ซินฟางกล่าวต่อ “สิ่งที่อยากพูดก็พูดหมดแล้ว กินข้าวเช้ากันเถอะ”
เมื่อทุกคนหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินอาหารเช้าต่อ บรรยายรอบโต๊ะก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย
พอกินข้าวเช้าอิ่มแล้ว เก็บจานชามเสร็จ ทุกคนก็ออกไปทำงานของตนเอง แม้แต่เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
เฉิงเอ๋อร์ตามติดหลางไป๋ เรียนรู้การเป็นนายน้อย
เป่าเอ๋อร์ไปดูแลสวนผักเล็กๆ ของนางโดยมีชุนคอยดูแล
เห็นแบบนี้ลู่ซินฟางก็วางใจ ฝากร้านให้กับทุกคนช่วยดูแล ก่อนหลบสายตาของพวกเด็กๆ แล้วข้ามประตูมิติมาที่โลกอีกฝั่งหนึ่ง
ทันทีที่ข้ามมายังต่างมิติ ลู่ซินฟางสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ฟาร์มของนางกว้างขึ้น กว้างจนมองเห็นว่าภูเขาสูงที่เคยอยู่ใกล้ บัดนี้ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา
ไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่…
ลู่ซินฟางขยี้ตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ยังเหมือนเดิม
มิติขยายตัวได้หรือเนี่ย!
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ