Masukไป๋เหม่ยหลานยืนประจันหน้ากับสามีไม่นาน ประตูไม้เปิดอ้าออกกว้างพร้อมการปรากฏตัวของชาวนากลุ่มใหญ่ ซึ่งทำให้นางแปลกใจ
“ท่านอ๋อง!”
ใบหน้าชายวัยกลางคนซาบซึ้งใจ กระทั่งว่าหญิงสาวผู้หนึ่งเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ร้องไห้อยู่บนพื้นโรงครัวเมื่อได้พบผู้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ มิได้รู้ว่าชะตาตนจะเป็นอย่างไร ชาวนาที่นี่จำหน้าเฉียนฟานอ๋องได้ ตั้งแต่เมื่อปีก่อนซึ่งเขายังไม่ได้เป็นแม่ทัพ ได้เข้าไปร่วมรบสู้สงคราม ติดตามพ่อค้าเกลือเข้าเมืองมาให้ความช่วยเหลือผู้ลำบากยากไร้ ขับไล่ชนเผ่าเร่ร่อน
“ผลไม้จากในสวนพวกข้าขอรับ ได้โปรดรับไว้เถิด”
“ครั้งหนึ่งท่านอ๋องและสหายท่านได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้จากพวกโจร พวกเร่ร่อนมาปล้นสะดมไร่นา พวกมันข่มเหงภรรยาและลูกสาวข้า”
“ข้าชอบให้ความช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหงรังแก ขอบใจพวกเจ้าเช่นกัน ผลไม้น่ากิน...” ปลายเสียงว่า ‘น่ากิน’ มองไปทางภรรยาคนงาม ใบหน้าสดสวยกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ขณะที่เขารับตะกร้า หอบผลไม้ทั้งเมล็ดข้าว ผลส้ม และผลไม้ชนิดอื่น ชาวนาชาวไร่นำมาวางไว้เต็มโต๊ะ นั่งลงกับพื้นก้มหมอบขอบคุณท่านอ๋องเป็นใหญ่โต
กว่าชาวนานับสิบคนจะยอมลุกขึ้นแล้วจากไปทำงานของตน ปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องครัว ไป๋เหม่ยหลานคงนึกซาบซึ้งในบุญคุณของเฉียนฟานอ๋อง ผู้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งที่ตัวเขาเองก็ลำบากยากเข็ญ นางหันไปมองใบหน้าอ่อนโยนของชายผู้มีเมตตากรุณาไม่เปลี่ยนจากอาจารย์ยินเฟิงคนเดิม ก่อนที่นางจะนึกขึ้นได้
“อ๊ะ... จะว่าไป... ข้าไม่เคยพบสหายท่านสักคน?”
“เดี๋ยวก็ได้พบ อีกไม่นาน” น้ำเสียงราบเรียบบอกภรรยา หน้าตาตื่นตระหนก
‘ปีศาจรึ!?’ นางคิดในใจ ทว่าไม่ได้พูดไป พลันโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ๆ ท่านตามสบายเถอะ ข้าไม่อยากทำตัวจุ้นจ้านเรื่องของสามี”
“ข้าก็ยังไม่ได้บอกเจ้าเสียหน่อยว่ามีสหายเป็นปีศาจ แต่ถ้าศิษยานุศิษย์ละก็ไม่แน่ นับหลายพันหลายหมื่นตนเชียวล่ะ” ยินเฟิงยิ้มอ่อนมองศิษย์ไป๋ หน้าตาเป็นกระต่ายตื่นตูม เดินจ้ำอ้าวหนีเขาออกจากโรงครัวไป
-------------------
สองวันก่อนเฉียนฟานอ๋องพาภรรยาขึ้นเกวียนเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนบิดาแล้วจึงพานางไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับชิ้นใหม่ในตลาดเมืองหลวง ทั้งที่นางเองก็มีข้าวของมากมายก่ายกองเท่ากรุสมบัติสนมเอกในวัง
ไป๋เหม่ยหลานมิใช่หญิงสาวผู้ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อร่ำรวย นางพึงตระหนักถึงการละวางต่อสังขาร ความงามย่อมสูญสลายหายไปเป็นเถ้าธุลีในสักวันหนึ่ง การที่นางแต่งตัวสวยงาม ล้วนเป็นหน้าที่บนโลกมนุษย์
เป็นบุตรสาวที่ดี เป็นภรรยาที่เพียบพร้อม เป็นกุลสตรีตามลัทธิประหลาดเช่นสามีว่าเขาไม่เห็นด้วย ไยสตรีต้องเชื่อฟังบุรุษโดยไม่สามารถมีคำโต้แย้งใด ๆ ต่อหน้าบิดาของนาง เฉียนฟานอ๋องขอเชื่อฟังภรรยา อ่อนน้อมต่อนาง เฉกเช่นในเทวโลกเป็นอย่างไร ขอให้เป็นไปเช่นนั้น
ฉางผิงโหวประหลาดใจกับคำพูดของบุตรเขย เมื่อไม่มีชายใดในบ้านเมืองมีความคิดนอกกรอบลัทธิขงจื๊อ ก่อนขอตัวกลับเรือนไป มิได้เป็นกังวลเรื่องบุตรสาว ในเมื่อสามีโอนอ่อนยอมตามใจนางไปเสียทุกสิ่ง
“ท่านพ่อมีมิตรสหายมากมาย ล้วนเป็นบัณฑิตผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ตัวท่านพ่อเองก็ฉลาดเฉลียว ระวังท่านจะรู้ความจริงนะเจ้าคะ” นางเตือนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ลุกไปเรียกบ่าวให้นำสุรามาเพิ่ม หลังชะโงกคอมองบิดาก้าวขึ้นเกวียน สามีเดินตามนางไปติด ๆ เพื่อทำหน้าที่ส่งแขก
“ข้าไม่อยากโกหกท่านพ่อของเจ้า แล้วข้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร เรื่องสตรีจำต้องเชื่อฟังบุรุษ”
“ท่านเคยพูดว่าหญิงชายไร้ความเท่าเทียม ข้าจำต้องเชื่อฟังสามี”
“ข้าเพียงหยอกล้อเจ้า เพราะว่าข้าอยากกอดเจ้า” พูดจบ ยินเฟิงดึงร่างบางเข้ามากอด ล้อมเอวนางไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่นใต้ผ้าสีนิล พานางกลับเข้าเรือนเมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็นในเหมันต์ฤดู ทุกแห่งหนประดับด้วยสีขาวโพลน หยาดน้ำค้างร่วงหล่นลงมาไม่ขาดจนแก้มเย็นเฉียบของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
บนหน้าตักแกร่งมีผ้าแพรต่วนนุ่มลื่นซึ่งนางสัมผัสได้ว่าสามีเกิดอารมณ์หมกมุ่นในราคะไม่ห่างหายไปสักวัน เขาคลุมเรือนกายของเขาและนางไว้ด้วยผ้าห่มหนา ให้นางนั่งบนตักเพื่อโอบกอดนาง ซุกคางเป็นสันลงบนบ่ามนด้วยท่าทางออดอ้อน
“ข้ายังรอคำตอบจากเจ้า”
ตอนพิเศษ : เศษใบชาในถ้วยกระเบื้องที่มีควันลอยฉุยสลายไปในเวหา อาภรณ์สีนิลสะบัด ยินเฟิงปัดมือเบา ๆ ร่ายเวทปีศาจอย่างระวัง หลังปัดชาใบเล็กไม่ให้ระคายคอภรรยา ขณะก้มหน้ามองนางชักชวนเขาสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในฝั่งตรงกันข้าม ชาบนโต๊ะไม้ไม่พร่องไป นางไม่ดื่มมันเสียที“ไยเจ้าไม่รีบดื่มชาให้หมดถ้วยเสีย เย็นหน่อยก็จะไม่อร่อยแล้ว”“เจ้าค่ะ” นางยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปาก เหลือบตามองสามีที่ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกท้องนทีมืดสนิท บิดาสงสัยว่าบุตรชายของเขาออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน ไม่ทันสังเกตเห็นน้ำในถ้วยหายไป“เจ้าไม่ควรลืมดื่มชาเป็นอันขาด”“ข้าอาจลืมก็ได้”“ไม่ได้”ยินเฟิงได้คำตอบจากภรรยาในรอยยิ้มมีเลศนัย“ข้าจะลืมแน่...”หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าอธิบายเหตุผลของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยากตามใจนาง ซึ่งไม่เป็นผล เมื่อได้พูดคุยเรื่องบุตรกันทีไร ยากจะหาข้อสรุป...ไป๋เหม่ยหลานมิได้เชื่อฟังสามี นางกำลังนึกถึงช่วงเวลาสำคัญ ร้อยกว่าปีที่ผ่านพ้นมา ความเจ็บปวดทรมานจากการคลอดบุตรเพียงครั้ง ไม่เทียมเท่าความสุขล้นในอกมารดาบุตรชายตัวน้อย ‘อี้เฉิน’ เป็นบุตรชายที่น่ารักใคร่ นางเฝ้ามองเจ้าตัวน้อยนอนหลับใหล ในร่างของทารกและเ
หลังผ่านพ้นงานวิวาห์ในภพภูมิปีศาจ ร่างอรชรในอาภรณ์สีชาดงดงามพลันหายไปพร้อมกลุ่มไอหยินไป๋เหม่ยหลานตั้งใจไปนำของวิเศษมาให้สามี เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน นางใส่ใจกับการเป็นปีศาจและปรมาจารย์ปีศาจ สามีของนักเป็นอย่างมากทว่าระหว่างทางมีปีศาจจิ้งจอกฝีมือเก่งฉกาจเข้ามาขวางทาง ยื้อแย่งก้อนหินน่าอัศจรรย์ไป นางตบะไม่ถึงปีศาจตนนั้น ไม่ได้ของวิเศษจากถ้ำประหลาดที่ได้ยินมาว่ามันเพิ่มกำลังวังชา ทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนนานไปอีกนับหมื่นปี นางกลับเมืองเหยียนมือเปล่า พร้อมความเศร้าหมองจนนางเกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างผู้อ่อนแอ ขณะปลายเท้าล่องลอยในเวหา หยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง“วันนี้ข้าไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ไปทำเรื่องสำคัญก็คว้าน้ำเหลว ข้าควรมีวันหยุดเสียบ้าง” เสียงหวานบ่นพึมพำ กรงเล็บสีนิลสะอาดกรีดกรายผ่านริมฝีปากสีชาด การผัดหน้างดงามของนางจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย นางหันไปกล่าวกับสามีที่เหยียบยืนบนพสุธาตามหลังนางมาไม่นาน“ปีศาจควรมีวันหยุดพักผ่อน”“ปีศาจไม่มีวันหยุด”“แล้วจะต้องเหน็ดเหนื่อยไปตลอดกาลเลยหรือ? แค่เฉพาะการบำรุงบำเรอใจสามีอสรพิษในภพภูมิปีศาจ ร่างของข้าแทบป่นเป็นเถ้าธุลี”“นับตั้งแต่เราส
“ย่อมได้ เมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น เราจะไปเยี่ยมบิดาของเจ้าด้วยกัน เราสาม...” รับปากแล้วมือหนาพลันปลดเปลื้องอาภรณ์ กองหล่นบนพื้นไม้เป็นเงามัน เลื่อนสายตามองไปทั่วทุกอณูกายขาวผ่องงาม หน้าท้องแบนราบปรากฏกลุ่มอายสีดำวนเวียนอยู่เหนือสะดือสวยยินเฟิงเข้าใจภรรยาว่าคงไม่คุ้นชินกับร่างกายซึ่งค่อย ๆ กลายเป็นอสรพิษร้าย ที่มีความอิจฉาริษยาเช่นปีศาจสตรี นางใจร้อน ไม่โอนอ่อนตาม นางกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวนไม่น้อยขณะมือเรียวลูบบ่ากว้างของบุรุษร่างกำยำ สตรีในอาภรณ์งดงามสีนิลปักทอด้วยลวดลายอสรพิษ เผยอริมฝีปากรับจูบอ่อนหวานของสามีจูบของนางกลับกลายเป็นเร่าร้อนเมื่อเขาเป็นฝ่ายริเริ่ม หลังมื้ออาหารในทุกเช้าค่ำ นางคืบคลานเข้าหา หากสามีไม่เป็นฝ่ายเปิดศึกสู้รับกับนางบนฟูกนอนยับเยิน พร่ำบอกคำรักด้วยการสานราคะ จนกว่าจันทราสีชาดจะลับคล้อยไปในความมืดของเมืองเหยียนในภพภูมิปีศาจ ซึ่งไม่เคยพบแสงตะวันเมื่อสะโพกกลมกลึงยกขึ้น บุรุษร่างกำยำถูกผลักติดกับหัวเตียงไม้สนแดง นางใช้พลังเวททั้งหมดบังคับให้เขาอยู่ใต้อาณัติ ลวดลายที่สลักอย่างงดงามเหล่านั้นกลายเป็นอสรพิษที่มีชีวิต เลื้อยไหลผ่านฟูกนอนและสองเรือนร่างที่สอดประสาน
“ท่านจะไม่สูญเสียข้าไป ส่วนข้าก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามท่าน ข้ามีความคิดว่า...” สองมือเรียวผลักอกสามีให้ออกห่างนาง นัยน์ตาสีชาดเบิดกว้างทอประกายชิงชัง “ทำลายใบหน้าหล่อเหลาของท่านเสีย น่าจะสิ้นเรื่องกระมัง”ไม่พูดเปล่า กรงเล็บสีนิลผงาดกางขึ้น ขณะดวงตาคู่สวยสีชาดสั่นไหวลังเล แม้ใจนางปรารถนาจะกรีดใบหน้าหล่อเหลาให้เสียโฉมนัก ด้วยความโง่เง่าของนาง ยังคิดว่าสมควรตัดเจ้ามังกรร้ายทิ้งไปให้หมดทั้งยวง เพราะคงมิใช่เพียงใบหน้าคมคาย บุรุษผู้นี้สามารถสรรค์สร้างความสำราญใจให้สตรีสามีเพียงจับข้อมือเล็ก ๆ ของนางไว้ จูบกรงเล็กและเขี้ยวขาวคมตรงมุมปากสีชาด“เก็บเขี้ยวเล็บของเจ้าไว้ขบกัดสามีจะดีกว่าไหมเล่า? ข้ายังมิได้ต้อนรับการกลับมาของเจ้าเลย ศิษย์ไป๋”แววตารุ่มร้อนทอประกาย จ้องมองแก้มแดงซ่านของภรรยา หลบเลี่ยงสายตาของเขาไปไป๋เหม่ยหลานอดกลั้นจิตใจ มองผ่านหน้าตาบานกว้างสลักลายอสรพิษและปีศาจ สุดสารพัดจะจินตนาการ ท้องนภาปรากฏดวงดาราทอแสงระยิบระยับ ไม่ต่างไปจากยามราตรีโลกมนุษย์ ทว่ากลางนภากว้างมีจันทราสีชาด ส่องสว่างงดงาม สะท้อนลงบนผืนน้ำสีนิลสะอาด------------บทสุดท้าย终章สามียินยอมพร้อมรับการจิกข่วนจากก
ในน้ำเสียงเศร้าหมองนั้น มือหนาเฝ้าลูบไล้ผิวกายนุ่มเนียน ละเอียดไปทั่วทุกอณู ซึ่งถูกหยุดอายุขัยไว้เพียงสิบเก้าปี ถึงแม้ว่าอารมณ์ราคะกำหนัดจะรุมเร้าอย่างหนัก เขาขยับอ้อมแขนกระชับกอดนางให้รู้สึกอุ่นปลายจมูกโด่งเป็นสันคมเฝ้าซุกไซ้หาความสำราญจากเรือนร่างนุ่มหอม ราวกับว่านางเป็นปั้นดิน แตกต่างที่นางยังคงเป็นนาง เป็นกลิ่นของนางยินเฟิงมีความเชื่อว่านางเพียงหลับใหลในนิทรา อันจะนำพาสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่พบเห็นว่านางพักผ่อนมากขึ้นเมื่อจำต้องต่อสู้กับพลังอาฆาตแค้นและราคะของปีศาจ นับตั้งแต่ปลูกถ่ายกระดูกเซียนให้นางบนโลกมนุษย์มาเจ็ดเดือนกว่า ครั้งสุดท้ายนั้นเป็นลูกแก้วอสรพิษนางควรลืมตาขึ้นในอีกไม่ช้า เขาจำต้องเฝ้ารอนางอย่างใจเย็น‘หากข้าเศร้าหมองใจ เจ้าคงเป็นทุกข์ไปด้วย เมื่อใดเจ้าลืมตาตื่น ก็ควรจะเป็นวันที่ดีของเจ้า ไป่ไป๋...’สตรีในอ้อมแขนเป็นผู้เดียวในทั่วทุกพรหมโลกที่ทำให้บุรุษร่างกำยำโศกศัลย์อาลัย เขาจ้องมองใบหน้างดงามนิ่งสงบเช่นเดิม มือหนาสะบัดไปมาในอากาศ ปรากฏผ้าผืนใหญ่สีนิลสนิท ห่มคลุมเรือนกายอรชรมิดชิด ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวเหมันต์ ผ่อนลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา“อื้อ...”
เมื่อมองอีกครั้งหนึ่งงูเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีนิลสนิท ในห้วงฝันนางพบสตรีในอาภรณ์งดงามหัวเราะร่าเริง นางมีใบหน้างดงามอ่อนหวาน‘โอ้... ไป๋เหม่ยหลาน... ศิษย์ไป๋ของท่านเหลือเพียงโครงกระดูก’‘ท่านอาจารย์จะยอมลืมเลือนเรื่องราวระหว่างท่านและนางหรือ?’สตรีอสรพิษคลับคล้ายคลับคลาที่นางเคยพบจากโถดึงความทรงจำ แลเห็นอาจารย์ยินเฟิงในสภาพน่าอดสู ร่างกายผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น ทำร้ายหัวใจดวงน้อย ๆ ของนางนักนางได้ยินทั้งสองยื่นข้อเสนอต่อรอง ซึ่งสำหรับอาจารย์ยินเฟิงขอเพียงจดจำนางไว้ในห้วงความทรงจำ หากเป็นไปได้ก็จะออกตามหานางสุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่เข้าใจ...ไยท่านอาจารย์ไม่ลืมนางไปเสีย เมื่อมีวาสนาต่อกันย่อมได้กลับมาพบกันอีกในภพหน้า เขากลับยอมกลายเป็นอสรพิษ เพื่อเก็บความทรงจำระหว่างอาจารย์-ศิษย์ เพื่อให้ได้กลับมาครองคู่นางอย่างสามีภรรยา...---------------ยินเฟิงคงไม่อยู่รอพบหมอหลวงจากราชสำนัก เพียงรอท่านโหวผู้มาเยี่ยมเยียนบุตรสาว ก่อนที่จะหันหลังกำมือแน่นแล้วเดินจากไปฉางผิงโหวรู้แก่ใจดีว่าวันนี้จะมาถึงในสักวัน ไม่สามารถรั้งบุตรสาวซึ่งไม่ใช่บุคคลบนโลกมนุษย์เอาไว้ได้ นาง







