เมื่อแม่ทัพมาถึงชายแดนเมืองเมฆาบุรี ก็เริ่มตั้งค่ายทันทีโดยมีจอมผู้เชี่ยวเป็นคนออกแบบ และวางผังทุกอย่างตามท่านแม่ทัพวิศรุฒออกคำสั่งมาก่อนหน้านี้ โดยหาไม้ไผ่มาทำเป็นที่หลับนอน และกิ่งไม่ขนาดใหญ่เป็นรั้วรอบบริเวณ กว่าจะเสร็จจนเกือบมืดค่ำแต่เพราะเป็นความร่วมมือร่วมใจเขาของเหล่าบรรดาทหาร ทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดีไม่มีข้อตกบกพร่องแต่อย่างใด
แม่ทัพวิศรุฒยืนมองพระจันทร์คืนเต็มดวง สายตาของเขาได้มองพระจันทร์แต่ความคิดนั้นมีหลากหลายกว่านั้น การมาครั้งนี้มีแผนใจอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความเป็นมาของแม่ทัพหนุ่มนั้นคลุมเครือ ขนาดพ่อแม่บุญธรรมอย่างอำมาตย์วิษณุกับนางแม้นยังไม่ทราบที่มาเลย
มืออันหยาบกร้านหยิบแหวนทองอันล่ำค่า ที่สลักชื่อเมษาไว้ในวงแหวน ทำให้แม่ทัพวิศรุฒสงสัยว่าตัวเองเป็นลูกใครกัน เท่าที่จำความได้ ก็โตมาในครอบครัวของท่านอำมาตย์วิษณุ เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แม่ทัพวิศรุฒไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวเองเป็นใคร
ความเศร้าความเหงาเริ่มเข้ามาเกาะกินใจ เพราะแม่ทัพวิศรุฒอดคิดถึงโสภณชายหนุ่มที่เขาอยากได้เป็นเมีย แต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มีเพียงความคิดเท่านั้น นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องแก้ไข แต่ยังไม่หนักเท่ากับยกทัพบุกเมืองเมฆา ในช่วงเวลานี้แม่ทัพวิศรุฒที่กำลังคิดถึงหลายๆ เหตุการณ์ แต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงทันดังอยู่ข้างหลัง
“ท่านแม่ทัพข้านำข่าวจะมาบอกขอรับ” ทันทีตอนนี้ได้เป็นรองแม่ทัพเดินเข้ามาใกล้ๆ
“เอ็งมีอะไรรึ ถึงมาจนดึกป่านนี้”
“ข้าได้ข่าวมาว่า ในวันพรุ่งองค์ชายเมธีจะออกมาทำสงครามกับเรา”
“องค์ชายเมธี ทำไมถึงยังเป็นองค์ชายอยู่ ในเมื่อราชาเมฆาได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”
“เป็นเพราะแม่ทัพวิหคและเหล่าขุนนางอยากให้องค์ชายเมธี พิสูจน์ความสามารถตัวเองว่าจะเหมาะเป็นราชาไหม”
“ผู้คนเมืองนี้ก็แปลก องค์ชายศิธาของเรายังไม่ต้องทำศึกสงครามเลย” แม่ทัพวิศรุฒไม่เข้าใจอย่างมากกับความคิดของเหล่าขุนนางเมืองเมฆาบุรี
“องค์ชายศิธาของเรายังเป็นแค่รัชทายาทอยู่นี่ขอรับ และอีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างขุนเมืองนี้”
“ก็จริง แล้วฝีมือองค์ชายเป็นอย่างไงบ้าง เอ็งได้ข่าวมาว่ากะไร” แม่ทัพวิศรุฒจ้องหน้าทันอย่างใคร่รู้
ตามคำเล่าลือเป็นองค์ชายที่งามอย่างกับอิสตรี คงประมาณโสภณของท่านแม่ทัพกระมั้ง ส่วนฝีมือการต่อสู้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์” ทันอมยิ้มนิดๆ
“ไอ้ทัน” แม่ทัพวิศรุฒมองตาขวางใส่ด้วยอารมณ์โกรธ
“ข้าพูดตามจริงขอรับ”
“อือ ยิ่งกว่าองค์ชายศิธาของเมืองเราสิท่า”
“คงจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากไปกว่านี้”
“ขอรับ ข้าขอตัวกลับกันนะขอรับ”
“อือ”
แม่ทัพวิศรุฒพยักหน้าให้ทัน ต่อจากนั้นมองพระจันทร์อยู่ชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปน้องซุ้มของตัวเอง เมื่อได้เข้าไปก็พบเห็นจอมกำลังจัดแจงพื้นที่ เพื่อให้เขาได้หลับนอนยามค่ำคืนในเพลานี้
“มาพอดีเลยท่านแม่ทัพ ข้ากำลังจะออกไปตามท่านอยู่เหมือนกันขอรับ” จอมนั่งลงกับพื้นเมื่อจัดที่นอนให้แม่ทัพวิศรุฒเรียบร้อย
แม่ทัพวิศรุฒมองจอมอย่างใคร่สงสัยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างโสภณและตัวจอมเอง ก่อนที่จะถามแม่ทัพหนุ่มต้องคิดอย่างหนัก เพราะการถามครั้งนี้เจาะลึกถึงแก่นใจอย่างแน่นอน
“ข้ามีอะไรจะถามเอ็งบอกข้ามาตามตรง ข้าจะไม่ว่าอะไรเอ็งสักคำ แต่ถ้าเอ็งโกหกแม้แต่คำเดียว เอ็งจะไม่ได้มีวันกลับบ้านอย่างแน่นอน”
“ถามมาได้เลยขอรับ”
“เอ็งบอกว่าเป็นญาติกับโสภี แต่ทำไมหน้าตาไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย” แม่ทัพวิศรุฒที่กำลังยืนอยู่ ก้มมองลงไปยังใบหน้าของจอม ที่ดูคมเข้มดุดันถ้าบอกว่าเป็นน้องของเขายังมีความน่าเชื่อมากกว่าอีก
“ความจริงข้ากับโสภณไม่ได้เป็นอะไรกันหรอก แค่เจอกันในขบวนหนีภัย ข้าได้ยินโสภณพูดถึงท่านแม่ทัพ ข้าก็เลยอยากที่จะมาเป็นทหารอยู่กับท่าน”
“เอ็งก็รู้สิว่าโสภณไม่ใช่ผู้ชาย” แม่ทัพวิศรุฒพยายามเก็บสีหน้าอาการไว้อย่างมิดชิด
“ขอรับ”
“เอ็งกล้าบอกข้า ไม่กลัวหัวขาดหรือกะไร”
“ข้ามีความจริงใจกับท่าน เห็นท่านเป็นนายข้าจึงไม่อยากจะปดท่านแม่ทัพ”
“ดีมาก และเอ็งไม่สงสัยเหรอว่าข้ากับโสภณเป็นอะไรกัน”
“ไม่หรอก ข้าคิดโสภณแค่เอาตัวรอดมากกว่า เพราะถ้าเข้ามาในเมืองแบบชายทั่วไป คงจะลำบากอย่างแน่นอน โสภณเลยปลอมเป็นหญิงมาหาท่าน ข้าไม่ได้คิดอะไรมากกว่านี้”
แม่ทัพวิศรุฒไม่ค่อยเชื่อคำพูดของจอมเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเคลือบแคลงสงสัยมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรจอมก็ยอมรับความจริงและพูดอย่างตรงมาตรงไป ไม่ปิดบังความลับที่ซ่อนอยู่ ด้วยไม่กลัวจะได้รับอันตราย ส่วนนี้แม่ทัพวิศรุฒจึงค่อนข้างพอใจอยู่มาก
“เอาล่ะ เอ็งออกไปข้างนอกได้แล้ว ข้าจะนอนพรุ่งนี้เราจะได้มาว่างแผนบุกเมืองเมฆาบุรีกัน”
“ขอรับ”
สายตาของแม่ทัพวิศรุฒมองจอมเดินออกจากซุ้มไปอย่างเงียบๆ ส่วนในจิตใจก็ยังวนเวียนคิดถึงแต่โสภณ ในห้วงเวลานี้แม่ทัพวิศรุฒค่อนข้างสับสนตัวเองพอสมควร เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ต้องคบคิด โดยเฉพาะความเป็นมาของตัวเขาเอง เท่าที่จำได้อำมาตย์วิษณุผู้เป็นพ่อบุญธรรมได้เล่าไว้อยู่ครั้งหนึ่ง
ในค่ำคืนหนึ่งเมื่อร่วมยี่สิบปี อำมาตย์วิษณุได้เดินทางกลับมายังเรือนของตัวเอง ระหว่างทางได้ยินเสียงเรียกขานอย่างอ่อนแรง
“ท่าน ท่าน ท่าน” สาลินีนางกำนัลแห่งเมืองเมฆาบุรีนอนจมกองเลืออยู่ข้างทาง
อำมาตย์วิษณุหันซ้ายหันขวาตามเสียงที่ได้ยิน พลันได้เห็นหญิงสาวนอนซมอยู่ข้างๆ เด็กน้อย ที่กำลังเริ่มร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงสั่งการให้ทหารที่ร่วมเดินทางไปดู ซึ่งทหารรายหนึ่งอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาดู ส่วนท่านอำมาตย์วิษณุจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างของหญิงสาว
“เอ็งเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงโดนทำร้ายร่างกายขนาดนี้”
“ข้าโดนโจรป่าทำร้าย” ความจริงแล้วสาลินีโดนทหารของอนุชาเมฆาทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่ด้วยไหวพริบของเธอจึงรอดมาได้
“ทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะพาเอ็งไปเรือนของข้าและให้หมอหลวงมาทำการักษาเอ็ง”
“ไม่ต้องหรอก ข้าขอแค่ดูแลเด็กนั่นก็พอ ท่านรับปากข้าได้ไหม” ถึงสาลินีจะรู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นโอรสของอนุชาเมฆา แต่ด้วยความเป็นเด็กเธอไม่สามารถที่จะทำร้ายได้ หรือปล่อยให้ตายอย่างไม่ใยดี เมื่อสบโอกาสเธอจึงอยากฝากฝั่งชายหนุ่มผู้นี้เลี้ยงดู
“ข้ารับปาก ข้าต้องดูแลเอ็งทั้งสองคนนั่นแหละ เดี่ยวข้าจะให้ทหารพาเอ็งไปด้วยกับข้า”
“ขอบใจท่านมาก แต่ข้าไม่ไหวแล้ว ข้า ข้า เอ่อ” สิ้นเสียงของสาลินีพร้อมกับลมหายใจดับสูญไปในคราเดียวกัน
อำมาตย์วิษณุในเวลานั้นรู้สึกเสียใจ จึงออกคำสั่งให้ทหารจัดการศพของสาลินีที่กลางป่า ส่วนตัวเขาก็อุ้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู เพราะตั้งแต่สมรสกับนางแม้นมาเป็นเวลาหลายปี ยังไม่มีทีท่าจะได้บุตร ความคิดของอำมาตย์วิษณุจึงจะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นบุตร และอีกสิ่งหนึ่งอำมาตย์วิษณุคิดว่าเด็กคนนี้นี่แหละ ที่สวรรค์ประทานแก่เขาและนางแม้นผู้เป็นภรรยา
แม่ทัพวิศรุฒนอนก่ายหน้าผากคิดถึงคำพูดอำมาตย์วิษณุ แม่ทัพวิศรุฒอยากรู้ใจจะขาดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ทำไมหญิงสาวผู้นั้นต้องหนีระหกระเหินมาพร้อมกับเขา ยิ่งมีแหวนอันเป็นปริศนา ความแคลงใจจึงไม่มีวันดับสูญได้เลย วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา
มีสิ่งหนึ่งที่แม่ทัพวิศรุฒมั่นใจ ว่าตัวเขาต้องมาจากเมืองเมฆาบุรีอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นใครในจิตใจของแม่ทัพหนุ่ม ยังต้องหาคำตอบให้ได้ ในช่วงเวลาที่ทำสงครามกับเมืองเมฆาบุรี เพราะเขาคิดว่าแหวนวงนี้น่าจะมีคนรับรู้ได้ว่า เป็นแหวนของใครกันแน่ ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นไรแม่ทัพวิศรุฒพร้อมทำใจไว้นานแล้ว
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว