พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน
ตอนที่ 1
01.30 น.
ไม่อยากจะเชื่อ…
ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าฉันจะต้องมายืนรอเพื่อนมารับตรงซอยเปลี่ยวในเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ แบบนี้ โอเค… มันก็เป็นย่านที่คนพลุกพล่านนั่นแหละ แต่ทีนี้เพราะซอยอื่นรถมันเยอะฉันเลยโดนสั่งให้มายืนรอตรงซอยนี้แทน
ไม่มีใคร… ไม่มีรถผ่าน… มีก็แต่…
ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังมุดหัวออกมาจากประตูเลื่อนที่ปิดลงมาครึ่งหนึ่งของอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ มันดูเหมือนจะเลยเวลาทำการมานานแล้วทว่าแสงไฟจากในอู่เพิ่งจะดับลงเมื่อครู่นี้เอง เพราะความหวาดระแวงฉันเลยลอบสังเกตผู้ชายคนนั้นเงียบ ๆ ร่างสูงดูทะมัดทะแมง แข็งแรง และที่สำคัญ… ขนาดมองจากตรงนี้ยังเห็นได้ชัดว่าเขาโคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยจริง ๆ
ใบหน้าติดจะหงุดหงิดชำเลืองมามองฉันที่ยืนอยู่ชิดฟุตพาทฝั่งตรงข้ามเงียบ ๆ ฉันเลยพลอยได้จ้องเขาถนัดขึ้น นัยน์ตาสีอ่อนดูแปลกใจที่มีผู้หญิงที่แต่งตัวจัดเต็มมายืนแกร่วอยู่แถวนี้
แต่แล้วจมูกโด่งก็พ่นลมหายใจหนักจนได้ยินเสียงดังฟังชัด เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทำให้มองเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในเสื้อช็อปสีกรม เหมือนจะเรียนวิทยาลัยช่างในละแวกนี้ เขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นก่อนมือสองข้างจะลดลงมาเท้าสะเอว และพุ่งสายตามองมาที่ฉันอย่างชัดเจน สายตาเขาดู…
ค่อนข้างจะรำคาญ…
“บอกแล้วไงว่าไม่ซื้อ” เสียงดุ ๆ ดังขึ้น เหมือนเป็นการเริ่มต้นบทสนทนากับฉัน นั่นทำให้ฉันตกใจมากจนเผลอร้องออกมา
“ซื้อ? ซื้ออะไร?”
“ก็ขายอะไรละเจ๊?” ท่าทางกวนประสาทรวมถึงคำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้รู้ได้ในทันทีว่าคนที่ยืนอยู่อีกฟากของถนนหมายถึงอะไร
“ฉันไม่ใช่คุณตัวนะ!” เสียงแหลมขึ้นสิบระดับของฉันตะโกนกลับไปอย่างมีน้ำโห โอ้โห!หน้าตาหล่อโคตรแต่ปากคือแบบ…
“ก็เห็นมายืนอ่อย แถวนี้มีใครที่ไหน? ไปซอยเจ็ดนู่นเจ๊” ว่าแล้วก็โบกมือไล่ ท่าทางไม่แยแส
พระเจ้า!!!
“ฉันมายืนรอเพื่อนต่างหาก! ไม่ได้มาขาย!” เสียงลุกลี้ลุกลนของฉันดูเหมือนจะยิ่งทำให้คู่สนทนาได้ใจ เขาขยับปากยิ้มพร้อมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม
“เอาเหอะ” ว่าแล้วก็พยักหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจกัน… คือมันยังไงวะเนี่ย…
วินาทีนี้ฉันถึงกับต้องก้มหน้าลงมองการแต่งกายของตัวเอง มันเหมือนมาขายตรงไหนกัน? ก็แค่ใส่เดรสเกาะอกที่สั้นขึ้นมาจากขาอ่อนแค่คืบ รองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว… ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกปล่อยให้ยาวสยายคลอเคลียช่วงต้นแขน นอกนั้นก็ปกติออก…
สภาพคนออกจากผับก็อย่างงี้ทั้งนั้นแหละไอ้บ้า! ฉันตะโกนด่าคนที่กำลังเลื่อนมอเตอร์ไซค์ที่ดูเหมือนเศษซากอารยธรรมรุ่นดึกดำบรรพ์ออกมาจากซองจอด
เออ!! รีบไปเลย! ยิ่งโมโหอยู่!
แน่นอนแหละว่าพูดได้แค่ในใจ… ถึงเขาจะหล่อมาก แต่ดูจากทรงก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่… ขืนไปตะโกนใส่อาจจะเจอวิ่งเข้ามาต่อยก็ได้ สมัยนี้ไว้ใจใครได้ที่ไหน…
ฉันพยายามจะไม่สนใจ แต่ไอ้บ้านั่นกลับควักบุหรี่ออกมาจุดสูบเฉยเลย… ทั้งที่เมื่อครู่ทำท่าเหมือนจะไปแล้วแท้ ๆ สายตานิ่งสนิท ชำเลืองมองมาเป็นระยะ ระหว่างที่อีกมือกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ ปากก็พ่นควันไปด้วย…
บรรยากาศอึดอัดพิกล ทั้งที่เรายืนห่างกันหลายเมตรซ้ำยังมีถนนเส้นเล็กตัดผ่านซอยคั่นระหว่างกลาง แต่จิตใจของฉันก็อยู่ไม่สุขเอาเสียเลย อยากจะเดินหนีไปไกล ๆ เหมือนกัน ติดตรงที่มันจะยิ่งต้องเดินลึกเข้าไปนี่สิ… ตรงนี้ดูมีแสงสว่างที่สุดแล้วด้วย…
“ฮัลโหล… แกอยู่ไหนแล้วเนี่ย?” ฉันหมุนตัวหันหลังให้ไอ้หล่อคนนั้นเพื่อจะคุยโทรศัพท์
‘รถติดมากเลย น่าจะอีกยี่สิบนาที ข้างหน้ามีด่านด้วย’ เสียงเบื่อหน่ายของยิมเพื่อนสนิทคนสวยที่ต้องไปวนรถมาไกลกว่าปกติเอ่ยตอบกลับมาในทันที
“ยี่สิบ?”
‘อืม… ไม่ต้องออกมานะ เดี๋ยววนเข้าซอยแล้วออกทางลัดเลย’
“แต่ซอยนี่มันเปลี่ยวมากเลยนะแก” ฉันพยายามพูดเสียงเบาที่สุด มีหันไปมองผู้ชายคนนั้นบ้างเพราะสัญชาตญาณระวังภัย และร่างสูงก็ยังยืนอยู่ที่เดิม พ่นควันเหมือนเดิม
‘เอออดทนนิดนะแก แค่นี้นะเดี๋ยวจะรีบไป’
“ยิม!”
เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว พร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดซึมขึ้นตามกรอบหน้าของฉัน ความเงียบรอบตัวทำให้จิตใจเริ่มจะตื่นกลัวขึ้นมา… ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้เอาแต่ยืนสูบบุหรี่อยู่ได้ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมไม่รีบไป ๆ สักที
แต่วินาทีหลังจากนั้นฉันก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ขยับใกล้เข้ามา แสงไฟจากหน้ารถมองเห็นได้จากระยะไกล มีรถผ่านไปมาสักคันสองคันก็ยังดีละวะ!
ก็เหมือนคิดผิด…
เมื่อกลุ่มแก๊งมอเตอร์ไซค์หลายคันเริ่มบิดเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันพยายามเดินหลบเข้าข้างทางให้ได้มากที่สุด เพราะบนมอเตอร์ไซค์เหล่านั้นมีพวกผู้ชายหลายคนพากันหันมามองยังจุดที่ฉันยืนอยู่ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตะโกนแซว
“เท่าไหร่คร้าบ?”
“!!”
ฉันตกใจมาก ไม่ใช่เพราะไอ้พวกนี้มันแซว แต่เป็นเพราะพวกมันค่อย ๆ ชะลอรถลงตรงหน้าต่างหาก!! มองดูน่าจะเป็นสิบคนได้เห็นจะได้… แถมท่าทางแต่ละคนก็คือ…
เอาเป็นว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“พันห้า?” หัวโจกที่เอ่ยถามราคาฉันในตอนแรก เลิกคิ้วถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เพื่อน ๆ ของมันพากันหัวเราะเกรียว
“…” สวยอย่างฉันได้แค่พันห้าเองเหรอ? พระเจ้า!
“หรือสองพัน?”
ไอ้พวกบ้านี่พากันหัวเราะเสียงดังในขณะที่ฉันหน้าเสียสุด ๆ ทั้งกลัวทั้งอาย อยากจะด่าพวกมันสักยก แต่ก็กลัว… อีกทั้งพวกมันก็ตั้งท่าจะหยุดคุยจริงจังไม่คิดจะผ่านไปง่าย ๆ
สายตาเป็นต้องชำเลืองมองไปยังร่างสูงของคนหล่อคนเดิมที่กำลังมองมาด้วยสายตานิ่งสนิท ท่าทางของเขานิ่งมาก และดูเหมือนไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกันเลย เอาแต่ยืนเต๊ะท่าอยู่ได้! เมื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเองไม่สำเร็จ ฉันเลยจำใจต้องรีบวิ่งไปหาเขาเอง…
และใช่… ผู้ชายคนนี้ดูปลอดภัยที่สุดแล้วในเวลานี้…
“เฮ้ย… อะไรวะ?”
กลุ่มไอ้พวกบ้านั่นพากันหันมองตามมา รวมถึงร่างสูงข้าง ๆ ฉันเองก็ด้วย เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะสื่อสารว่าฉันต้องการอะไร…
เขาโง่หรือยังไงเนี่ย?
ฉันขยับตัวไปหลบอยู่ข้าง ๆ ไอ้เศษเหล็กซังกะบ๊วยที่ถูกเลื่อนออกจากซองจอดเมื่อครู่นี้ โดยใช้ร่างสูงของคนตรงหน้าเป็นโล่กำบัง คนไม่รู้จักกันมาก่อนเลียริมฝีปากค้างไว้ทำหน้าชั่งใจ ก่อนจะตวัดสายตากลับไปมองแก๊งนั้น พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“นี่เมียกู…”
“!!!”
ฉันเบิกตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่ถึงงั้นก็ไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรขึ้นมาในสถานการณ์นรกนี้ ไอ้แก๊งนั้นหยุดเสียงหัวเราะลงแค่นั้น แล้วเริ่มตีหน้านิ่งเหมือนกัน และบอกเลยว่าวินาทีนี้ฉันกลัวจนฉี่แทบเล็ดเพราะพวกมันดูเหมือนจะไม่พอใจ…
แต่แล้วโชคยังดีที่หนึ่งในนั้นส่งเสียงเตือนเพื่อนขึ้นมา
“ไปเหอะว่ะ ดึกแล้วกูอยากนอน”
“เออไปเหอะลูกพี่ คงเป็นเมียมันจริงมั้ง”
“เออ… อย่าให้เจอนะมึง!”
ไอ้หัวโจกที่ให้ราคาฉันแค่พันห้ายกนิ้วชี้หน้าคนหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง เจ้าตัวไม่ได้ต่อปากต่อคำด้วยแต่ก็ไม่ยอมละสายตากลับมาเหมือนกัน เอาเป็นว่าไม่มีใครยอมใคร! และก็โชคดีอีกครั้งที่คนขี้ง่วงคนเดิมตะโกนบอกให้เพื่อนรีบบิดรถออกไปสักที
ถึงแม้บรรยากาศเมื่อครู่นี้จะโคตรมาคุ แต่ท้ายที่สุดแก๊งมอเตอร์ไซค์แก๊งนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป ฉันตบอกตัวเองอย่างโล่งอก เมื่อเสียงเครื่องยนต์ทิ้งห่างออกไปแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือเราแค่สองคนเหมือนเดิม แต่ที่ต่างคือฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเลย!
ร่างสูงโปร่งที่พอได้อยู่ในระยะใกล้ถึงได้รู้ว่าเขาสูงกว่ากันมากพอสมควรเหลือบสายตามามองกันนิด ๆ แต่ก็ไม่ยักพูดด้วย ซ้ำทำท่าเหมือนจะคร่อมมอเตอร์ไซค์หนีไปอีกคน ฉันกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอพยายามส่งสายตาสื่อความหมาย อยากจะขอให้เขาอยู่ต่ออีกหน่อยเพราะเหตุการณ์น่าหวาดเสียวเมื่อครู่ทำให้อกสั่นขวัญหายไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไปตรง ๆ ทำให้ได้แค่มองขายาว ๆ สตาร์ตเครื่องเตรียมตัวเคลื่อนรถออกไป
และแล้วก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนลินคนนี้อยู่บ้าง...
เมื่อผู้ชายคนเดิมตรงหน้าเหมือนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของฉันขึ้นมา เสียงพ่นลมหายใจแผ่วเบาทว่าได้ยินชัดในความเงียบของเขาดูหงุดหงิดกว่าตอนแรกที่เจอกันเสียอีก แต่กระนั้นก็ดับเครื่องลงดื้อ ๆ
เบ้าหน้าหล่อโคตรแบบลูกรักพระเจ้าหันมามองกันตรง ๆ เรียวคิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียวปากสวยทำเสียงจิ๊จ๊ะกับตัวเองก่อนจะเอาขาตั้งมอเตอร์ไซค์ลง
“เมื่อไหร่เพื่อนจะมา?”
“แค่อีกแป๊บเดียว” ฉันยิ้มอย่างดีใจ เข้าใจความหมายที่เขาสื่อโดยที่ไม่ต้องเอ่ยขยายความใด ๆ
“ให้แค่ห้านาที” เสียงเรียบ ๆ บอกโดยไม่หันมามอง
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพยายามจะไม่หลุดยิ้มออกมา ในขณะที่รีบเลื่อนโทรศัพท์เข้าแชตไลน์ทักไปบอกให้ยิมรีบมาก็ลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อไปด้วย เขากำลังเลื่อนมือถือเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
และถึงจะดูเป็นคนธรรมดา แต่เพราะหน้าตาหล่อจัดบวกกับหุ่นแข็งแรง ขายาว ๆ ท่าทางทะมัดทะแมงแบบนั้น ทำให้ดูน่าสนใจไม่น้อย และยิ่งได้รับความช่วยเหลือเรื่องเมื่อกี้นี้ก็อีก… ก็ยิ่งดูหล่อขึ้นเป็นกอง…
ดูเหมือนจะเป็นพวกปากไม่ดีแต่ใจดีไม่เบา…
และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ยิมก็ยังไม่โผล่มาสักที! แถมคนตรงหน้าก็ไม่ได้หนีกันไปเหมือนที่บอกตอนแรก แต่ดูท่าทางหงุดหงิดหนักขึ้นทุกทีเพราะฉันเห็นเขาขยับตัวลุกขึ้นเดินไปเดินมาพร้อมมองหน้าฉันไปด้วย จนในที่สุดขายาวก็หยุดเดินแล้วกลอกตามองบน
“จะรอถึงเช้าเลยไหม?” น้ำเสียงหงุดหงิดเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ระหว่างเรามีแต่ความเงียบอยู่นาน
“พอดีมีด่าน รถก็เลยติดนิดนึง” ฉันพยายามแก้ตัว ก็เกรงใจเขาอยู่เหมือนกันหรอกแต่ทำยังไงได้ล่ะ?
“บ้านอยู่ไหน?”
“ซอยยี่สิบ” ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันไว้ใจคนแปลกหน้าแล้วบอกออกไปได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็พูดไปแล้ว
“ขึ้นมา… จะไปส่ง”
ไม่พูดเปล่าคนเสนอตัวไปส่งกำลังทิ้งตัวนั่งคร่อมลงบนมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง พร้อมพยักหน้าเรียกเหมือนมัดมือชกยังไงยังงั้น แต่ฉันก็ไม่ได้ไว้ใจเขาขนาดนั้นสักหน่อย…
“…” สีหน้าเหนื่อยใจเริ่มฉายชัดเมื่อเห็นอาการของฉันว่าไม่ไปด้วยแน่ ๆ ริมฝีปากสวยเอ่ยต่ออย่างหงุดหงิด “งั้นก็รอคนเดียวละกัน ง่วง”
“…” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นี่มันดึกมากแล้วนะ หมอนี่จะทิ้งฉันไว้คนเดียวจริงเหรอ?
“ไม่งั้นก็ขึ้นมา… ไม่ข่มขืนหรอก ถ้าจะทำลากเข้าร้านไปนานแล้ว…”
ไอ้หล่อเริ่มกระชากเสียงใส่ เขาคงง่วงมากจริง ๆ เพราะเอาแต่หาวไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฉันคว้ามือถือขึ้นมาดูอีกครั้งก็ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ จากยิมเลยแม้แต่ประโยคเดียว และวินาทีที่เสียงติดเครื่องรถดังขึ้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาไอ้เศษเหล็กซังกะบ๊วยนี่อย่างจำใจ
อย่างน้อยคน ๆ นี้ก็ดูไม่ได้พิศวาสกันสักนิด และมันก็จริงอย่างเขาบอกถ้าจะทำอะไรกันคงจะลากเข้าร้านไปนานแล้ว ขนาดของตัวเราต่างกันออกอย่างนี้
“นั่งยังไง?” ฉันอึกอักถาม เพราะไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์มาก่อนไม่ได้กวนประสาทเลยจริง ๆ ใบหน้าหล่อหันมามอง ถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะอธิบายช้า ๆ ทีละคำ
“ยกก้นขึ้นมาแล้วเอาขาเหยียบอันนี้เอาไว้”
“แบบนี้?”
ฉันขึ้นมอเตอร์ไซค์อย่างทุลักทุเลเพราะกระโปรงมันสั้นมากจนต้องเอามือมาปิดไว้ ซ้ำยังไอ้รองเท้าส้นสูงเฮงซวยนี่ก็ด้วย เหยียบยากชะมัด และยังไม่ทันนั่งได้ถนัดนักคนขับก็บิดเครื่องออกไปซะแล้ว ฉันตกใจจนต้องรีบคว้าตัวเขาเอาไว้อย่างลืมตัว เกาะเอวคนไม่รู้จักกันไว้อย่างนั้นเพื่อกันร่วง
แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ติดอะไร ไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ เป็นฉันเองที่อึดอัดจนต้องแอบมองใบหน้าหล่อราวเทพปั้นผ่านกระจกมองข้างแทน
สิบนาทีต่อมา…
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉันมาถึงหน้าบ้านตัวเองโดยสวัสดิภาพ บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบไม่มีแสงไฟสักดวงเล็ดลอดออกมา คนมาส่งมองกันเงียบ ๆ ฉันเองก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงเลยมัวแต่ยืนอึกอักอยู่เกือบนาที จนเขาพยักหน้ากับตัวเองอย่างไร้ความหมายก่อนจะประชดออกมา
“เออ… ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“…”
วินาทีที่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ดูเหมือนอะไหล่จะหลุดได้ทุกเมื่อทำท่าจะเร่งเครื่องออกไปฉันก็ส่งเสียงออกไปในที่สุด
“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง”
“อือฮึ” เสี้ยวหน้าหล่อหันมามองกันอีกครั้ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“และก็เรื่องที่อยู่เป็นเพื่อนด้วย”
“แค่นั้นแหละ”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็หันกลับไปพร้อมกันรถคันนั้นก็เคลื่อนตัวห่างออกไป ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรู้สึกตื้นตันใจที่ยังมีคนหล่อที่จิตใจประเสริฐขนาดนี้อยู่บนโลก ถึงจะรู้จักกันแค่ชั่วโมงเดียวก็เถอะ…
เดี๋ยวไม่สิ… ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาชื่ออะไร…
Comments