ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในใจของทุกคน เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในบ้านตระกูลหลินแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ทุกคนจะยังคงตื่นขึ้นมาทำงานตามวิถีชีวิตเดิม แต่ในแววตาของพวกเขากลับมีประกายบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันคือประกายแห่งความหวังระคนความเคลือบแคลงสงสัย
คำประกาศของหลินเยว่ซินเมื่อคืนนี้เป็นดั่งก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำนิ่ง ๆ แม้จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าระลอกคลื่นนั้นจะนำพาพวกเขาไปในทิศทางใด
หลังอาหารเช้าอันเรียบง่าย ขณะที่พ่อหลินและต้าเฉียงกำลังจะคว้าจอบเสียมเพื่อออกไปทำไร่ เยว่ซินก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจัง
“พ่อคะ พี่ต้าเฉียง... เดี๋ยวก่อนค่ะ หนูมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับทุกคน”
การกระทำของเธอทำให้ทุกคนชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่เยว่ซินผู้ซึ่งเคยเป็นเพียงผู้ตามมาโดยตลอด กลับแสดงบทบาทเป็นผู้นำและร้องขอให้มีการประชุมครอบครัวอย่างเป็นทางการ
หลินเจี้ยนกั๋ววางจอบลงแล้วหันมามองลูกสาวด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องอะไรเหรอลูก?”
เยว่ซินรอให้ทุกคนนั่งลงพร้อมหน้ากันบนม้านั่งยาว ก่อนจะเปิดประเด็นที่เธอครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน “เมื่อคืนที่หนูบอกว่าจะทำให้ครอบครัวเราสุขสบายขึ้น หนูไม่ได้พูดเล่น ๆ นะคะ”
เธอหยุดเว้นจังหวะ กวาดสายตามองทุกคน “หนูมีแผนแล้วค่ะ และก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเราก็คือความรู้”
คำว่าความรู้ทำให้ทุกคนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
เยว่ซินอธิบายต่อ “ตราบใดที่เรายังไร้การศึกษา เราก็จะถูกกดขี่ข่มเหงและต้องใช้แรงงานแลกเงินไปตลอดชีวิต พลังที่แท้จริงที่จะทำให้เรายืนหยัดได้อย่างทัดเทียมคนอื่น คือความรู้และสติปัญญา ดังนั้น...”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะประกาศแผนการที่อาจจะสั่นสะเทือนรากฐานของครอบครัว “หนูตัดสินใจแล้วค่ะ หนูจะไม่กลับไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมในอำเภออีกแล้ว แต่หนูจะสอบเทียบข้ามชั้นเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด!”
“อะไรนะ!” แม่หลินเป็นคนแรกที่อุทานออกมาด้วยความตกใจ “สอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยเลยเหรอลูก! มันจะไปเป็นไปได้ยังไง การสอบแข่งขันระดับประเทศมันยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรซะอีกนะ!”
“ใช่แล้วลูก” พ่อหลินกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คนที่เขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต้องอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำกันเป็นปี ๆ แล้วนี่ลูกมีเวลาเตรียมตัวอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงวันสอบแล้วนะ ไหนจะค่าสมัครสอบอีก มันไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยสำหรับบ้านเรา”
ค่าสมัครสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในยุค 80 นั้นถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับครอบครัวชาวนาอย่างตระกูลหลิน มันเป็นเงินที่สามารถซื้อข้าวสารประทังชีวิตไปได้หลายเดือน หากล้มเหลวขึ้นมาก็เท่ากับว่านำเงินก้อนนั้นไปโยนทิ้งแม่น้ำ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่พ่อหลินกำลังหวาดหวั่น
“หนูรู้ค่ะว่ามันยากและเสี่ยงมาก” เยว่ซินยอมรับอย่างตรงไปตรงมา แต่แววตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ “แต่เวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ค่ะพ่อ เราจะเสียเวลาอีกสองปีในโรงเรียนมัธยมไม่ได้ หนูเชื่อว่าหนูทำได้ หนูอ่านหนังสือล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว”
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถบอกความจริงได้ว่าความรู้ที่เธอมีนั้นมาจากอนาคตอีกเกือบยี่สิบปีข้างหน้า เธอจึงต้องหาทางพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น
“พี่ต้าเฉียงคะ” เธอหันไปหาพี่ชาย “หนังสือเรียนคณิตศาสตร์ม.ปลายของพี่ยังอยู่ไหมคะ?”
ต้าเฉียงพยักหน้างง ๆ ก่อนจะลุกไปหยิบหนังสือเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งออกมาจากหีบไม้ฝุ่นเขรอะ เขาสอบตกมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อนและไม่เคยคิดจะแตะต้องมันอีกเลย
เยว่ซินรับหนังสือมาแล้วเปิดไปที่บทท้าย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแคลคูลัสที่ซับซ้อนที่สุด เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วชี้ไปที่โจทย์ปัญหาข้อหนึ่ง
“พี่ดูข้อนี้นะคะ ถ้าใช้วิธีแก้สมการตามที่โรงเรียนสอน เราจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้านาที”
จากนั้นเธอก็หยิบเศษถ่านไม้ขึ้นมา แล้วบรรจงเขียนสูตรและวิธีคำนวณแบบใหม่ลงบนพื้นกระดานเก่า ๆ อย่างคล่องแคล่ว
“แต่ถ้าเราใช้วิธีนี้...” เธออธิบายขั้นตอนการแก้โจทย์ที่รวบรัดและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยังไม่มีการสอนในยุคนี้ “เราจะหาคำตอบได้ภายในไม่ถึงสามนาที”
ภาพที่เด็กสาวอายุสิบเจ็ดกำลังแก้โจทย์คณิตศาสตร์ระดับสูงด้วยวิธีที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ทำให้ทุกคนในบ้านอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ต้าเฉียงหยิบหนังสือมาเทียบคำตอบแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะมันถูกต้องทุกประการ!
“เยว่ซิน ลูกไปเรียนรู้วิธีนี้มาจากไหนกัน?” พ่อหลินถามด้วยความประหลาดใจ
“หนู... หนูอ่านเจอในหนังสือเก่า ๆ ที่ห้องสมุดอำเภอน่ะค่ะ” เธอตอบอย่างแนบเนียน “หนูใช้เวลาศึกษาด้วยตัวเองมานานแล้วค่ะพ่อ นี่คือเหตุผลที่หนูมั่นใจว่าจะสอบได้”
การแสดงความสามารถในครั้งนี้เปรียบเสมือนยาชั้นดีที่ช่วยคลายความกังวลของทุกคนลงไปได้มากโข พวกเขาเริ่มมองเห็นแสงริบหรี่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่เยว่ซินยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เธอมองไปยังพี่ชายและพี่สาว “พี่ต้าเฉียง พี่ซิวอิง ความรู้ไม่ใช่ของหนูคนเดียว แต่มันเป็นของพวกเราทุกคน”
“พี่ชายแข็งแรงและมีความมุ่งมั่น พี่สาวก็ละเอียดรอบคอบและหัวไว ศักยภาพของพวกพี่มีค่าเกินกว่าจะถูกทิ้งไว้ในไร่นาหรือโรงงานทอผ้า” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต่อจากนี้ไปเรามาอ่านหนังสือด้วยกันนะคะ ถึงพวกพี่จะไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมหนู แต่ความรู้จะทำให้พวกพี่มองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น และมันจะเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา”
คำพูดของเธอปลุกบางสิ่งบางอย่างในใจของสองพี่น้อง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาพวกเขาถูกปลูกฝังว่าเกิดมาเพื่อใช้แรงงาน แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าพวกเขาก็สามารถมีความรู้ได้เช่นกัน
***
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา กิจวัตรประจำวันของบ้านตระกูลหลินก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า แทนที่ทุกคนจะเหนื่อยอ่อนแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเคย พวกเขากลับมารวมตัวกันรอบตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้มาเพื่อกินข้าว แต่มาเพื่อเรียนหนังสือ
ภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้กลายเป็นกิจวัตรประจำคืน ภาพของหลินเยว่ซินในบทบาทของคุณครูตัวน้อย คอยอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย ภาพของหลินต้าเฉียง ชายหนุ่มร่างกำยำที่เคยจับแต่จอบเสียม บัดนี้กลับพยายามจับปากกาเขียนหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ลายมือจะโย้เย้ไปบ้างก็ตาม และภาพของหลินซิวอิง หญิงสาวผู้เงียบขรึมที่บัดนี้ดวงตากลับทอประกายใฝ่รู้ขณะท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ
เสียงท่องตำราเบา ๆ ที่ดังคลอไปกับเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมอยู่ภายนอก ได้เข้ามาแทนที่ความเงียบเหงาในยามค่ำคืน กลิ่นอายของดินโคลนที่เคยเป็นกลิ่นประจำบ้านเริ่มเจือจางลงด้วยกลิ่นหมึกและกระดาษจาง ๆ มันคือกลิ่นอายแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
วันสุดท้ายของการรับสมัครสอบเทียบใกล้เข้ามาทุกที แม้เยว่ซินจะมั่นใจในความรู้ของตัวเอง แต่ปัญหาใหญ่ที่เป็นรูปธรรมที่สุดก็ยังคงอยู่นั่นคือเงินค่าสมัคร
เย็นวันนั้น หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จ แม่หลินก็หยิบห่อผ้าเก่า ๆ ที่ซ่อนไว้ใต้เตียงออกมาอย่างลังเล เธอคลี่ผ้าออกอย่างเบามือเผยให้เห็นธนบัตรใบละหนึ่งหยวนและห้าหยวนเก่า ๆ ปึกหนึ่ง พร้อมกับเศษเหมาอีกจำนวนหนึ่ง
“นี่คือเงินเก็บทั้งหมดที่บ้านเรามี” เธอกล่าวเสียงแผ่ว “มันมีอยู่สิบห้าหยวน น่าจะพอค่าสมัครสอบของลูกพอดี แต่ถ้าเราใช้เงินก้อนนี้ไป เราก็จะไม่เหลือเงินติดบ้านไว้ซื้อข้าวสารเลยนะลูก”
ทุกคนเงียบกริบ สิบห้าหยวนคือเงินทั้งหมดที่พวกเขาหามาได้จากการทำงานหนักและอดออมมาเกือบทั้งปี เพราะการนำเงินก้อนนี้ไปใช้จึงไม่ต่างอะไรกับการเดิมพันครั้งใหญ่ที่มีชีวิตของทุกคนเป็นประกัน
เยว่ซินมองเงินในห่อผ้าแล้วส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ได้ค่ะแม่ เงินก้อนนี้ต้องเก็บไว้เป็นเงินสำรองของครอบครัว”
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้น เดินไปที่มุมห้องของตัวเองแล้วหยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ซ่อนไว้ใต้ฟูกนอนออกมา เธอเปิดมันออกจนเห็นข้างในที่มีธนบัตรและเศษเหรียญจำนวนหนึ่งอัดแน่นอยู่
“นี่คือเงินที่หนูเก็บออมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ค่ะ ทั้งเงินแต๊ะเอียวันตรุษจีน แล้วก็เงินที่ได้จากการช่วยป้าข้างบ้านสานตะกร้าขาย” เธอเทเงินทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเริ่มนับอย่างคล่องแคล่ว “สิบหยวน สิบเอ็ดหยวน... สิบสองหยวนกับอีกห้าเหมา พอดีเป๊ะเลยค่ะ!”
แม่หลินเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาห้าม “ไม่ได้นะเยว่ซิน นั่นมันเป็นเงินเก็บของลูกนะ ลูกเก็บมันไว้เถอะ เกิดสอบไม่ได้ขึ้นมาอย่างน้อยลูกก็ยังมีเงินก้อนนี้ติดตัว”
นี่คือความรักของผู้เป็นแม่ที่คิดถึงความปลอดภัยของลูกก่อนเสมอ แม้จะขัดกับความฝันอันยิ่งใหญ่ก็ตาม
เยว่ซินจับมือที่เหี่ยวย่นของมารดาขึ้นมากุมไว้แน่น ดวงตาของเธอฉายแววเด็ดเดี่ยวแต่ก็อ่อนโยน “แม่คะ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน หนูเชื่อว่าความพยายามของหนูจะไม่สูญเปล่า”
“การเก็บเงินก้อนนี้ไว้โดยไม่ทำอะไรเลยต่างหากคือความเสี่ยงที่สุด เพราะมันหมายความว่าชีวิตของพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” เธอกล่าวอย่างหนักแน่น “แต่การนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนกับอนาคต คือความหวังค่ะแม่”
เธอรวบเงินสิบสองหยวนห้าเหมานั้นใส่กระเป๋าเสื้ออย่างเรียบร้อย แล้วหันไปโค้งคำนับให้พ่อกับแม่
“พ่อคะ แม่คะ หนูจะไปที่อำเภอเพื่อสมัครสอบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“เดี๋ยว! จะไปตอนนี้เลยเหรอลูก” แม่หลินร้องทักด้วยความเป็นห่วง “นี่มันก็จะย่ำค่ำแล้วนะ เดินทางคนเดียวมันอันตราย”
“ผมจะไปกับน้องเล็กเองครับ!” ต้าเฉียงลุกขึ้นยืนทันที “ผมจะไปส่งเยว่ซินเองครับแม่ ไม่ต้องห่วง”
เยว่ซินยิ้มให้พี่ชายอย่างขอบคุณ แล้วหันกลับมามองครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย
“รอฟังข่าวดีจากหนูนะคะ”
ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกจากประตูไปอย่างไม่ลังเล ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของพ่อแม่และพี่สาว แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งการตัดสินใจของเธอในครั้งนี้ได้อีกแล้ว
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ