Share

๐๓ ความอบอุ่น

last update Last Updated: 2025-10-17 22:13:50

เมื่อรถยนต์คันหรูลับหายไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันที่ค่อย ๆ จางลงในอากาศ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็พลันสลายหายไป เหลือไว้เพียงความเงียบอันหนักอึ้งที่เข้าปกคลุมทุกอณู ราวกับมีผ้าห่มผืนหนาที่มองไม่เห็นคลุมทับบ้านหลังเล็กเอาไว้ ชาวบ้านที่เคยยืนมุงดูต่างแยกย้ายกันกลับไป แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นยังคงชำเลืองมองมาเป็นระยะ ๆ

ครอบครัวหลินทั้งสี่ยืนนิ่งแข็งทื่อราวกับรูปสลัก แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป หลินเจี้ยนกั๋วผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและเป็นกังวล ต้าเฉียงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคืองที่ยังคุกรุ่น ส่วนซิวอิงนั้นมีน้ำตาคลอหน่วยด้วยความสงสารน้องสาวจับใจ

แต่คนที่อาการหนักที่สุดคือแม่หลิน เธอมองแผ่นหลังเล็ก ๆ ของลูกสาวที่ยืนกำกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น แล้วหัวใจก็พลันบีบรัดราวกับถูกคีมเหล็กขย้ำ เธอไม่สนใจเรื่องสายเลือด ไม่สนใจความยากดีมีจน สิ่งเดียวที่เธอรับรู้ได้คือความเจ็บปวดที่ลูกสาวสุดที่รักต้องเผชิญ

ในที่สุดจ้าวซู่เฟินก็เป็นฝ่ายทลายความเงียบลง เธอก้าวเข้าไปหาหลินเยว่ซินอย่างเชื่องช้า แล้วสวมกอดร่างนั้นไว้จากด้านหลังอย่างแนบแน่น

“เยว่ซิน... ลูกแม่...” เธอกระซิบเสียงเครือ น้ำตาที่อั้นไว้ทะลักออกมาอาบแก้ม “ไม่เป็นไรแล้วนะลูก ไม่เป็นไรแล้ว... ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ลูกก็ยังเป็นลูกของแม่เสมอ”

อ้อมกอดอันอบอุ่นและคำพูดที่เปี่ยมด้วยความรักนี้เองที่เป็นดั่งกุญแจไขทำนบน้ำตาของเยว่ซินให้พังทลายลง เธอบิดตัวหันกลับไปซบหน้ากับอกของมารดาแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น น้ำตาที่ไหลรินในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งตื้นตันใจต่างหาก

ชาติที่แล้วเธอโหยหาอ้อมกอดนี้มาตลอดสิบกว่าปีที่เหลือของชีวิต และในที่สุดเธอก็ได้มันกลับคืนมาอีกครั้ง

หลินเจี้ยนกั๋วเดินเข้ามาวางมือใหญ่กร้านของเขาลงบนศีรษะของเยว่ซินเบา ๆ แม้จะเป็นบุรุษที่แข็งกระด้างและพูดน้อย แต่ความรักที่มีต่อลูกสาวนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าภรรยาเลย

“เยว่ซินลูกพ่อ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงความห่วงใย “ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่เสียใจทีหลัง? ทางนั้นพวกเขาเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาลำบากกับพวกเรา”

นี่ไม่ใช่คำถามที่ต้องการจะผลักไส แต่เป็นคำถามสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้เธอได้เลือกเพื่ออนาคตของตัวเองอย่างแท้จริง

เยว่ซินเงยหน้าขึ้นจากอกแม่ ดวงตาแดงก่ำแต่กลับฉายแววแน่วแน่ เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของบิดาแล้วพยักหน้าช้า ๆ

“หนูแน่ใจค่ะพ่อ” เธอกล่าวเสียงชัดเจน “หนูไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต ความร่ำรวยมั่งคั่งก็เหมือนเมฆลอยบนฟ้า สวยงามแต่ว่างเปล่าจับต้องไม่ได้ แต่ครอบครัวของเราคือผืนดินที่หนูยืนอยู่ เป็นที่เดียวที่หนูรู้สึกปลอดภัย”

“หนูไม่เสียใจที่เลือกอยู่ที่นี่ แต่หนูเสียใจที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ต่างหาก”

สิ้นคำพูดนั้น เยว่ซินก็ยกกระดาษสัญญาในมือขึ้นมาแล้วฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าทุกคน เศษกระดาษปลิวกระจายลงบนพื้นดินราวกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย

“สัญญาบ้า ๆ นี่เป็นแค่เครื่องมือที่หนูใช้ตัดรำคาญเท่านั้น” เธอกล่าวต่อ “ในใจของหนู มันไม่เคยมีทางเลือกอื่นเลยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”

การกระทำและคำพูดของเธอเป็นดั่งคำยืนยันที่หนักแน่นที่สุด ขจัดความลังเลสงสัยทั้งหมดออกจากใจของครอบครัวหลินได้อย่างหมดจด ต้าเฉียงคลายหมัดที่กำแน่นออกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายิ้มกว้างพลางขยี้หัวน้องสาวอย่างมันเขี้ยว

“ทำดีมากน้องเล็ก แค่ก ๆ พี่ใหญ่หมายถึงตัดสินใจได้เด็ดขาดมาก ใครหน้าไหนก็มาพรากเธอไปจากพวกเราไม่ได้ทั้งนั้น!”

ซิวอิงรีบเข้าไปเช็ดน้ำตาให้น้องสาว “ใช่แล้ว พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะน้องเล็ก”

สายลมยามบ่ายพัดโชยมา นำพาความตึงเครียดให้ลอยหายไป เหลือไว้เพียงภาพครอบครัวสี่คนที่โอบกอดกันกลมท่ามกลางลานดินหน้าบ้าน เป็นภาพที่เรียบง่ายแต่กลับงดงามและอบอุ่นยิ่งกว่าภาพวาดใด ๆ ในโลก

เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามซวี [1] ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีน้ำหมึกและประดับประดาด้วยดวงดาวระยิบระยับ ภายในบ้านตระกูลหลินมีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่กลางโต๊ะอาหาร

หลังจากผ่านพ้นเรื่องราววุ่นวายมาตลอดทั้งวัน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นในวันนี้กลับเงียบสงบกว่าปกติ ทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่ความเงียบงันนี้ไม่ได้น่าอึดอัด กลับเป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน

อาหารบนโต๊ะวันนี้ก็ยังคงเรียบง่ายเช่นเคย มีเพียงข้าวต้มที่ค่อนข้างใส กับผักกาดดองที่เหลืออยู่ก้นไหเพียงน้อยนิด มันเป็นอาหารของคนยากจนโดยแท้ แต่สำหรับเยว่ซินในตอนนี้มันคืออาหารมื้อที่วิเศษที่สุด

แม่หลินใช้ทัพพีคนข้าวต้มในหม้อหลายครั้ง พยายามตักส่วนที่ข้นที่สุดซึ่งนอนก้นอยู่ก้นหม้อขึ้นมาใส่ในชามของเยว่ซินจนพูน

“กินเยอะ ๆ นะลูก วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“ขอบคุณค่ะแม่” เยว่ซินรับชามมาด้วยสองมือ สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านเนื้อกระเบื้องเคลือบ

หลินเจี้ยนกั๋วไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่ใช้ตะเกียบคีบผักกาดดองชิ้นที่ใหญ่ที่สุดจากจานกลางไปวางไว้บนข้าวต้มของลูกสาว

“ของพี่ใหญ่ด้วย!” ต้าเฉียงรีบคีบส่วนของตัวเองตามไปสมทบ “น้องเล็กต้องบำรุงเยอะ ๆ จะได้มีแรงไปสู้กับคนใจร้าย!”

“เยว่ซิน นี่ของพี่รองนะ” ซิวอิงคีบผักกาดดองชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจานมาใส่ให้เธอเช่นกัน ทำให้ตอนนี้ในชามของเยว่ซินมีเครื่องเคียงครบครัน ขณะที่ชามของคนอื่น ๆ กลับมีเพียงข้าวต้มเปล่า ๆ

ภาพตรงหน้าทำให้เยว่ซินรู้สึกจุกขึ้นมาในอก ในชาติที่แล้วเธอเคยนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับตระกูลซูมานับครั้งไม่ถ้วน บนโต๊ะนั้นมีอาหารเลิศรสละลานตาจนกินไม่หวาดไม่ไหว แต่ทุกคนกลับเอาแต่แข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีใครเคยคีบอาหารให้ใคร บรรยากาศเย็นชาประหนึ่งนั่งอยู่ในสุสาน

แต่บนโต๊ะอาหารที่แทบจะไม่มีอะไรเลย เธอกลับได้รับความรักและความห่วงใยทั้งหมดจากทุกคน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน นี่สินะความหมายที่แท้จริงของมัน

“พวกพี่ก็กินด้วยสิคะ” เธอกำลังจะคีบผักดองคืนให้ทุกคน แต่ต้าเฉียงกลับโบกมือห้าม

“ไม่ต้อง ๆ พวกพี่กินข้าวต้มเปล่า ๆ ก็อร่อยแล้ว” เขาพูดพลางซดข้าวต้มเสียงดังโฮก “อีกอย่างพี่ตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่จะไปสมัครทำงานที่เหมืองหินท้ายหมู่บ้าน ได้ยินว่าเขาจ่ายค่าแรงดี ถึงจะเหนื่อยหน่อยแต่ไม่เป็นไร พี่ทนได้! พี่ใหญ่จะหาเงินมาให้น้องเล็กได้กินของอร่อย ๆ ทุกวันเลย!”

“พี่รองก็ด้วย!” ซิวอิงรีบพูดเสริม “ที่โรงงานทอผ้ากำลังจะเปิดรับคนงานเพิ่ม พี่จะลองไปสมัครดู ถ้าได้งานมา พี่จะเก็บเงินซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องเล็กนะ!”

คำประกาศของพี่ชายและพี่สาวทำให้หัวใจของเยว่ซินยิ่งสั่นสะท้าน พวกเขาคิดถึงแต่เธอเสมอ ไม่เคยคิดถึงความเหนื่อยยากของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ความรักที่ได้รับมาในวันนี้มันมากมายมหาศาลเหลือเกิน มากเสียจนเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร

เธอวางตะเกียบลงช้า ๆ การเคลื่อนไหวนั้นดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันมามอง

เธอมองหน้าพ่อ มองหน้าแม่ มองหน้าพี่ชายและพี่สาวทีละคน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสะกดกั้นความตื้นตันที่จุกอยู่ตรงคอหอย

“พ่อคะ แม่คะ พี่ต้าเฉียง พี่ซิวอิง...” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน “ทุกคนไม่ต้องลำบากเพื่อหนูอีกต่อไปแล้วนะคะ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ

“นับจากนี้เป็นต้นไป...” แววตาของเยว่ซินทอประกายกล้าแกร่งภายใต้แสงตะเกียงสลัว “หนูจะเป็นคนทำให้ครอบครัวของเราสุขสบายเอง!”

“หนูสัญญาว่าพวกเราจะไม่ต้องกินแค่ข้าวต้มกับผักดองอีกต่อไป บนโต๊ะของเราจะต้องมีเนื้อ มีปลา เสื้อผ้าที่เราใส่จะต้องเป็นชุดใหม่ และบ้านที่เราอยู่จะต้องแข็งแรงกว่านี้”

“หนูจะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีที่สุดให้ได้ หนูขอสัญญา!”

คำประกาศก้องนั้นสะท้อนอยู่ในความเงียบงันของกระท่อมหลังน้อย ครอบครัวหลินทั้งสี่ต่างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก พวกเขามองลูกสาวคนเล็กกับน้องสาวคนสุดท้องราวกับเพิ่งเคยเห็นเธอเป็นครั้งแรก

แววตาของเธอนั้นไม่ได้มีเพียงความใสซื่อของเด็กสาวอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือแววตาของผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับจะฝนทั่งให้เป็นเข็ม แววตาที่พร้อมจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อปกป้องสิ่งที่รัก

————

[1] ยามซวี         คือช่วงเวลา 19:00-20:59 น.

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๖ จุดจบของตัวร้าย

    กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๕ คำตอบรับ

    วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๔ คำขอจากใจจริง

    ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๓ ตระกูลใหม่ที่รุ่งโรจน์

    ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๒ เปิดโปงสู่สาธารณะ

    หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๑ สิ้นไร้หนทาง

    ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status