Share

๐๕ ปากตลาดและข่าวลือ

last update Last Updated: 2025-10-17 22:14:09

หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่หลินเยว่ซินไปสมัครสอบเทียบ ชีวิตภายในกระท่อมตระกูลหลินดูเหมือนจะเข้าสู่สมดุลใหม่ กลางวันทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานอย่างขยันขันแข็ง พอกลางคืนก็กลับมารวมตัวกันใต้แสงตะเกียงเพื่อเรียนหนังสือ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่นเงียบ ๆ

ทว่า โลกภายนอกรั้วบ้านที่ผุพังนั้นกลับไม่ได้สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย

ข่าวการปฏิเสธครอบครัวมหาเศรษฐีของหลินเยว่ซินได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียงรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เรื่องราวที่ควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวของสองครอบครัว บัดนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในวงน้ำชาและตลาดสด

และแน่นอนว่าเรื่องเล่าที่แพร่หลายที่สุด ย่อมเป็นฉบับที่ถูกปรุงแต่งรสชาติโดยตระกูลซู

ด้วยความอับอายและเสียหน้าที่ถูกเด็กสาวบ้านนอกหักหน้าอย่างไม่ไยดี ตระกูลซูจึงไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย พวกเขาไม่ได้ออกมาโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โต แต่เลือกใช้วิธีที่แนบเนียนและร้ายกาจกว่านั้นมากนัก... นั่นคือการปล่อยข่าวลือ

พวกเขาปล่อยข่าวผ่านปากของญาติสนิทมิตรสหายที่ชอบสอดรู้สอดเห็น บอกเล่าเรื่องราวในเวอร์ชันที่บิดเบือนไปอย่างสิ้นเชิง

“น่าสงสารคุณท่านซูเหลือเกิน อุตส่าห์ตามหาลูกสาวที่พลัดพรากเจอ แต่เด็กคนนั้นกลับถูกครอบครัวชาวนาโลภมากเป่าหู บอกว่าถ้าอยากให้กลับไปก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตเป็นค่าเลี้ยงดู พอไม่ได้ดั่งใจก็เลยแสดงธาตุแท้เป็นเด็กเนรคุณ อกตัญญู ไม่รู้จักแม้กระทั่งบุพการีผู้ให้กำเนิดตัวเอง”

ข่าวลือนี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจี้ใจดำผู้คนในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นที่สุด ภาพของหลินเยว่ซินในสายตาชาวบ้านจึงแปรเปลี่ยนจากเด็กสาวน่าสงสารกลายเป็นเด็กสาวใจทมิฬหินชาติในทันที

แรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อครอบครัวหลินอย่างช้า ๆ

เวลาพ่อหลินออกไปทำไร่ เพื่อนบ้านที่เคยทักทายอย่างเป็นมิตรกลับเบือนหน้าหนี เวลาแม่หลินไปซักผ้าที่ริมคลอง กลุ่มแม่บ้านที่เคยจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานก็พลันเงียบกริบแล้วขยับตัวออกห่าง พวกเขากลายเป็นเหมือนตัวประหลาดที่ถูกสังคมรังเกียจ แม้จะไม่มีใครพูดออกมาตรง ๆ แต่สายตาที่เย็นชาและเหยียดหยามนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าคำด่าทอเสียอีก

ทุกคนในบ้านรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุนี้ แต่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดออกมา โดยเฉพาะกับเยว่ซิน พวกเขาไม่อยากเพิ่มภาระทางใจให้ลูกสาวต้องแบกรับไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แต่หลินเยว่ซินหรือจะดูไม่ออก?

ด้วยวุฒิภาวะที่ผ่านโลกมาสามสิบกว่าปี เธออ่านทุกอย่างออกทะลุปรุโปร่ง เธอรู้ดีว่านี่คือสงครามประสาทที่ตระกูลซูจงใจก่อขึ้น และการนิ่งเฉยยอมให้พวกเขาใส่ร้ายป้ายสีอยู่ฝ่ายเดียวนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีเลย

ซึ่งโอกาสในการตอบโต้ก็มาถึงเร็วกว่าที่คิด...

เช้าวันหนึ่ง เกลือในบ้านหมดลงพอดี แม่หลินกำลังจะออกไปที่ตลาดในตัวอำเภอ แต่เยว่ซินกลับอาสาขอไปแทน

“ให้หนูไปเองค่ะแม่” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่พักผ่อนเถอะค่ะ ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“แต่ว่าลูก...” แม่หลินมองลูกสาวด้วยความลังเลและเป็นห่วง ตลาดเป็นศูนย์รวมของผู้คนและข่าวลือ การไปที่นั่นตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปในสนามรบ

“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่” เยว่ซินบีบมือมารดาเบา ๆ “บางครั้งการหนีปัญหาก็ไม่ได้ช่วยอะไร สู้เราเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ เสียยังจะดีกว่า”

แววตาที่มุ่งมั่นของเธอทำให้แม่หลินไม่อาจคัดค้านได้อีก สุดท้ายจึงได้แต่พยักหน้าอนุญาตอย่างเป็นกังวล

ตลาดในตัวอำเภอยามสายเป็นช่วงเวลาที่คึกคักจอแจที่สุด เสียงผู้คนต่อรองราคาสินค้า เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าดังเซ็งแซ่ กลิ่นผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ที่นี่คือเวทีละครโรงใหญ่ของชุมชนโดยแท้

ทันทีที่หลินเยว่ซินก้าวเข้ามาในตลาด บรรยากาศที่เคยจอแจก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาด เสียงพูดคุยในบริเวณที่เธอเดินผ่านจะเบาลงทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงซุบซิบที่ดังราวกับฝูงผึ้งแตกรัง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว บางสายตาก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางสายตาก็แฝงแววดูแคลน และบางสายตาก็แสดงความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

เยว่ซินแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ เธอเดินตรงไปยังร้านขายของชำด้วยท่าทีสงบนิ่งราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน ทว่าขณะที่เธอกำลังจะจ่ายเงินค่าเกลือ กลุ่มแม่บ้านกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ใกล้ ๆ ก็มีคนหนึ่งแกล้งพูดขึ้นมาเสียงดังราวกับจงใจให้เธอได้ยิน

“นี่เธอได้ยินเรื่องนังหนูอสรพิษนั่นรึยังล่ะ? น่าสงสารพ่อแม่เศรษฐีของเธอจริง ๆ อุตส่าห์ตามหาจนเจอ แต่กลับได้ลูกเนรคุณมาตอบแทน เฮ้อ... นี่แหละนะที่เขาว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก”

เสียงนั้นเป็นของป้าหลิว หญิงวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อเรื่องปากตลาดและสอดรู้สอดเห็นเป็นที่หนึ่งในตำบลนี้

“ใช่ ๆๆ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน” อีกคนรีบผสมโรง “เห็นว่าเรียกเงินก้อนโตเลยนะ พอไม่ได้ก็เลยตัดพ่อตัดแม่ น่าไม่อายสิ้นดี!”

เยว่ซินหยุดชะงัก เธอค่อย ๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับกลุ่มแม่บ้านกลุ่มนั้น รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก แต่ดวงตาของเธอกลับสงบนิ่งจนเย็นเยียบ

ป้าหลิวเห็นเธอจ้องมาก็ยิ่งได้ใจ เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกระทบกระเทียบต่อ

“มองอะไรยะ? หรือว่าที่ฉันพูดมันแทงใจดำเข้าให้ล่ะสิ? เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด คิดจะถีบหัวส่งกันง่าย ๆ แบบนี้ ตกนรกขุมไหนก็คงไม่รับ!”

แทนที่จะโกรธหรือร้องไห้เหมือนที่ทุกคนคาดหวัง เยว่ซินกลับเดินเข้าไปหาป้าหลิวช้า ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่คมกริบ

“ป้าหลิว ฉันขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ?”

ป้าหลิวชะงักไปเล็กน้อยที่ถูกเรียกชื่อตรง ๆ “มีอะไร?”

“สมมติว่าป้าปลูกต้นทุเรียนไว้ในสวนหลังบ้านหนึ่งต้น ป้ารดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลเอาใจใส่มาตลอดสิบเจ็ดปี จนกระทั่งมันกำลังจะออกลูกให้ป้าได้เก็บกิน แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาแล้วบอกว่าต้นทุเรียนต้นนี้เป็นของเขา เพราะเขาเป็นเจ้าของเมล็ดพันธุ์ที่ปลิวมาตกที่นี่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ป้าหลิวคะ ป้าคิดว่าใครกันแน่ที่มีสิทธิ์ในผลทุเรียนลูกนั้นคะ?”

คำพูดอันเรียบง่ายแต่เฉียบคมนี้ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน ป้าหลิวเองก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“นั่น... นั่นมันคนละเรื่องกัน! นี่เรากำลังพูดถึงคนนะ ไม่ใช่ต้นไม้!”

“แล้วมันต่างกันตรงไหนหรือคะ?” เยว่ซินถามกลับทันที ดวงตาของเธอเริ่มฉายแววจริงจังขึ้น “พ่อแม่ตระกูลหลินของฉันคือคนที่รดน้ำ พรวนดิน และเลี้ยงดูฉันมาตลอดสิบเจ็ดปี พวกท่านยอมอดเพื่อให้ฉันได้อิ่ม ยอมลำบากเพื่อให้ฉันได้เรียนหนังสือ พวกท่านคือชาวสวนที่ดูแลต้นไม้ต้นนี้มาด้วยชีวิต”

“ส่วนคนที่ป้าเรียกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดพวกเขาเป็นแค่คนที่ทำเมล็ดพันธุ์หล่นหายไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน แล้วก็ไม่เคยหันกลับมามองอีกเลย จนกระทั่งวันนี้วันที่พวกเขาเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้เติบโตพอที่จะให้ร่มเงาและเก็บผลได้แล้ว ก็คิดจะกลับมาแสดงความเป็นเจ้าของ ป้าบอกฉันทีสิคะว่ามันยุติธรรมแล้วหรือ? นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว?”

เสียงของเธอเริ่มดังขึ้นเล็กน้อย แฝงไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ แต่ก็ยังคงความหนักแน่นไว้ได้ทุกถ้อยคำ

“พวกคุณพูดถึงความกตัญญู แล้วการทอดทิ้งลูกตัวเองไปสิบเจ็ดปีเรียกว่าอะไรคะ? การกลับมาเพื่อดูถูกคนที่ช่วยชีวิตลูกของตัวเองไว้เรียกว่าอะไร? ครอบครัวไม่ใช่ตำแหน่งที่เอาไว้แอบอ้าง แต่คือความรับผิดชอบที่ต้องลงมือทำ! และคนที่ทำหน้าที่นั้นมาตลอดก็คือครอบครัวหลินของฉันเพียงครอบครัวเดียว!”

คำปราศรัยที่ทรงพลังของเธอทำให้ทั้งตลาดเงียบกริบ ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ ป้าหลิวหน้าซีดสลับแดงด้วยความอับอาย ไม่สามารถหาคำใดมาโต้แย้งได้อีก

เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ทิศทางของมันเปลี่ยนไป...

“เออ นังหนูคนนี้พูดมีเหตุผลแฮะ”

“จริงด้วย ถ้ามองในมุมนี้ตระกูลซูนั่นก็ใจดำเหมือนกันนะ ทิ้งลูกไปตั้งนาน”

“เรื่องราวมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราได้ยินมาก็ได้...”

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย ยังคงมีเสียงกระซิบกระซาบจากคนหัวโบราณบางคนดังขึ้นมาแผ่ว ๆ “ถึงอย่างนั้น เลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่ดีนั่นแหละ การตัดขาดสายเลือดตัวเองแบบนี้มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ”

หลินเยว่ซินได้ยิน แต่เธอไม่คิดจะสนใจอีกต่อไป เธอได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว เธอได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยลงในใจของผู้คนแล้ว ส่วนมันจะเติบโตต่อไปอย่างไรก็คงต้องแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน

เธอจ่ายเงินค่าเกลือเสร็จก็รีบรับของ แล้วหันหลังเดินออกจากตลาดไปอย่างสง่างาม แผ่นหลังที่ตั้งตรงของเธอเป็นดั่งสัญลักษณ์ของความไม่ยอมแพ้ แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน

ข่าวการโต้ตอบอย่างชาญฉลาดของหลินเยว่ซินที่ตลาดในวันนี้ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แม้มันจะสามารถทำลายภาพลักษณ์เด็กเนรคุณที่ตระกูลซูพยายามสร้างขึ้นจนเกิดรอยร้าวครั้งใหญ่ได้ แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อและมองเธอในแง่ร้ายอยู่บ้าง ทว่าก็มีคนอีกไม่น้อยที่เริ่มหันมาฉุกคิดและตั้งคำถามกับเรื่องราวที่ได้ยินมา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๖ จุดจบของตัวร้าย

    กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๕ คำตอบรับ

    วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๔ คำขอจากใจจริง

    ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๓ ตระกูลใหม่ที่รุ่งโรจน์

    ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๒ เปิดโปงสู่สาธารณะ

    หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ

  • ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ฉันไม่ขอกลับไปตระกูลเดิม!   ๒๑ สิ้นไร้หนทาง

    ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status